บทที่ 60 อาจเป็นซูเสี่ยวฉิน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 60 อาจเป็นซูเสี่ยวฉิน
บทที่ 60 อาจเป็นซูเสี่ยวฉิน

พอได้ยินหัวหน้าชุมชนพูดเช่นนี้ ตู้ถงเหอเจ็บในอกเหมือนโดนทิ่มแทง ลูกชายของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม

แต่ไม่มีใครพูดถึงคุณความดีของเขาในตอนนั้นเลย จากนั้นเขากับภรรยาก็ถูกส่งมาตกระกำลำบากในสถานที่เช่นนี้

ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นที่อยู่ในโลกหลังความตายจะสงบสุขไหม

แต่ใครเล่าจะบอกความทุกข์ทรมานได้?

คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคดังกล่าวจากหัวหน้าที่แสนซื่อสัตย์คนนี้

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับผู้เฒ่าตู้ แต่ว่าผมยังมีบางอย่างจะพูดก่อน ตัวตนของคุณในตอนนี้มีข้อจำกัด ทำให้ผมปกป้องคุณมากไม่ได้ ตอนนี้พวกคุณอาจจะต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ แล้วก็ต้องยอมรับการสร้างอุดมการณ์ด้วย”

“อยู่ที่นี่พวกเราไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก แล้วก็พอใจมากด้วย หัวหน้าชุมชน พวกเราต่างก็รู้ถึงน้ำหนักของมันดี”

คืนวันนั้น กว่าซูฉางจิ่วจะออกจากคอกวัวก็เที่ยงคืนแล้ว

ตอนกลับมาเขายังเวียนหัวราวกับดื่มเหล้าเข้าไปหน่อยนึงด้วย

จูหลานฮวาผู้เป็นภรรยามองท่าทางนั้นแล้วกล่าวอย่างตำหนิ “คุณออกไปข้างนอกมา กลิ่นเหล้าก็ไม่มี ทำไมท่าทางเหมือนคนดื่มมาแบบนี้เล่า?”

“ภรรยาจ๋า คุณไม่รู้หรอกว่าเมื่อเย็นนี้ผมเพิ่งทำเรื่องสำเร็จมาก็เลยเหมือนดื่มเหล้ายินดีไง”

พอจูหลานฮวาถามอีกครั้ง สามีกลับไม่ได้พูดอะไร เรื่องแบบนี้ต่อให้เป็นคนที่หลับนอนบนเตียงเตาเดียวกันก็ใช่ว่าจะพูดได้

“ไม่พูดก็ไม่พูด เออใช่พ่อ วันนี้ฉันได้ยินคนซุบซิบมาว่า นักบัญชีหลี่กับเจ้าหน้าที่หลิวที่มาตรวจค้นบ้านใหญ่ตระกูลซูเป็นญาติกัน!” จูหลานฮวาจำเรื่องนี้ได้จึงนำมาบอกสามี

ซูฉางจิ่วฟังแล้วก็ตกใจ ทำไมเขาไม่รู้ล่ะ?

คิดดูอีกที ดูเหมือนว่ามีใครบางคนในบ้านภรรยานักบัญชีหลี่แต่งงานกับตระกูลหลิวนะ ไม่แน่ว่าอาจเป็นบ้านเจ้าหน้าที่หลิวก็ได้นะ?

“พ่อ พ่อว่านักบัญชีหลี่เป็นคนรายงานเรื่องนี้หรือเปล่า” วันนี้เธอครุ่นคิดเรื่องนี้มาทั้งวัน แต่ซูฉางจิ่วออกไปข้างนอกก็เลยไม่มีคนพูดด้วย

คนเป็นสามีฟังแล้วขบคิด

“เป็นไปได้ไหมที่เขาจะใช้เรื่องนี้หลอกล่อพ่อน่ะ” จูหลานฮวาคาดเดาอีกครั้ง

“นั่นก็โง่เกินไปแล้วไหม? แม้ว่าซูฉางจิ่วจะคงโชคร้าย แต่หัวหน้าชุมชนคนนี้ไม่ได้ไปยุ่งกับเขาเสียหน่อย อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนนอก แม่คิดว่าคนในหมู่บ้านจะฟังหรือไง?” ซูฉางจิ่วเยาะเย้ยเสียงเย็น

“งั้นใครล่ะ?” จูหลานฮวาไม่รู้ว่าใครในหมู่บ้านจะทำเรื่องชั่ว ๆ แบบนี้ได้

เพราะถึงอย่างไร ตระกูลผู้เฒ่าซูก็ล้วนเป็นคนนิสัยดี

“ก่อนหน้านี้พ่อเคยไปถามมา ได้ยินคนเขาบอกว่าวันนั้นมีเด็กผู้หญิงไปชุมชนใหญ่ด้วย”

พอจูหลานฮวาได้ยินว่าเป็นเด็กผู้หญิงก็ตกใจ

“หมู่บ้านเราจะไม่มีคนแบบนั้นใช่ไหม?”

ได้ยินมาว่าพวกหนุ่มสาวส่วนมากไม่ค่อยทำงานทำการ จะใส่ปลอกแขนสีแดงแล้ววุ่นอยู่กับการเดินไปตามท้องถนนเพื่อตรวจค้นบ้านคนอื่น

ไม่แปลกใจที่จูหลานฮวากลัวว่าชุมชนการผลิตของเราจะมีคนแบบนั้น เพราะมันจะทำให้ชีวิตไม่สงบสุข ถ้าไม่วิจารณ์กันก็สู้กัน มีแต่เรื่องโกลาหล แปลงผลผลิตรกร้าง ไม่มีกินอยู่ครึ่งปี

“ใครจะไปรู้เล่า แต่ผมสงสัยมาตลอดว่าอาจจะเป็นซูเสี่ยวฉิน เด็กทั้งหมู่บ้านมีแค่เธอที่เป็นเด็กไม่ดี!” ซูฉางจิ่วถอนหายใจ “แต่สุดท้ายผมก็ไม่อยากจะเชื่อ ทว่าเมื่อสองปีก่อนซูเสี่ยวฉินก็ไปขอข้าวที่บ้านซูชวนไม่น้อยเลย ถ้าเป็นเธอเป็นคนไปรายงานล่ะ…”

ซูฉางจิ่วไม่อยากคิดร้ายกับเด็กผู้หญิง แต่อิงจากข่าวคราวที่ได้ยินมาและหลังจากคลำหาอยู่หลายรอบ เขาก็ยังล็อกเป้าที่ซูเสี่ยวฉิน

กอปรกับอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างกะทันหัน เขารู้สึกจริง ๆ ว่านี่เป็นเรื่องที่ซูเสี่ยวฉินสามารถทำได้

จูหลานฮวานิ่งเงียบไป

ไม่กี่วันต่อมา ชุมชนการผลิตหงซินจัดการประชุมกับสมาชิกขึ้น

ประเด็นแรกคือต้องจ่ายปันส่วนสาธารณะ*[1] ในทุก ๆ ปีรวมถึงหลายปีมานี้ไม่มีเสียงค้านและทุกคนก็ไม่มีความเห็น

มีซูฉางจิ่วคอยจัดการ เมื่อถึงเวลา คนงานที่ขยันขันแข็งของแต่ละครอบครัวก็จะไปเอาจ่ายปันส่วนสาธารณะ นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าชุมชนการผลิตที่มาจ่ายก่อนสามแห่งแรกจะได้รับรางวัลด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแย่งมาให้ได้

“ถ้าพวกเราคว้าที่หนึ่งไม่ได้ เราจะไม่มีข้อได้เปรียบในด้านภูมิศาสตร์ แต่ก็ยังมีความหวังสำหรับอันดับที่สองและสามอยู่! เพื่อที่จะได้เครื่องมือทำฟาร์มเยอะขึ้นในปีหน้า เราต้องทำให้ดีที่สุด!”

หลังจากซูฉางจิ่วพูดให้กำลังใจ สมาชิกกลุ่มทุกคนต่างตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ เมื่อถึงเวลาที่ต้องจ่ายปันส่วนก็จะบรรทุกของขึ้นรถกันตลอดคืน

ซูฉางจิ่วพอใจกับสิ่งนี้มาก จากนั้นเขาจึงพูดเรื่องที่สองขึ้น นั่นคือตอนนี้ที่คอกวัวมีคนอาศัยอยู่ สี่คน และการสร้างอุดมการณ์จะต้องไล่ตามให้ทัน จึงแนะนำว่าให้ตระกูลผู้เฒ่าซูช่วยสอนคนในคอกวัวให้ดี เพราะตอนนี้เขากับพวกเจ้าหน้าที่ยุ่งมากจึงคอยดูแลไม่ได้

“หัวหน้าชุมชน ผมเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะ? ตระกูลซูไม่ใช่เจ้าหน้าที่เสียหน่อย ทำเรื่องนี้ไม่เหมาะหรอก!” นักบัญชีหลี่คัดค้าน

เขารู้สึกว่าอาจยังมีเหตุผลอื่น

ซูฉางจิ่วเหลือบมอง “ทำไมล่ะ งั้นจากนี้ไปคุณก็ไปสอนพวกเขาเองทุกวันไหมล่ะ?”

นักบัญชีหลี่จะมีเวลามากขนาดนั้นได้อย่างไร จึงพูดเขิน ๆ ว่าแค่ทำงานในฐานะนักบัญชีก็ยุ่งมากแล้ว

“หัวหน้าชุมชน ผมแค่รู้สึกว่าคนตระกูลซูไม่ใช่เจ้าหน้าที่ก็เท่านั้น ไม่งั้นให้พวกเราผลัดกันไปสอนไหม หากไม่ดีก็ให้ทุกคนมาเรียนกันที่ลานกว้างทุก ๆ สองวัน…”

เพราะสายตาเย็นชาของซูฉางจิ่วจ้องมองมา เขาจึงตื่นตระหนกและไม่พูดต่อ

“นักบัญชีหลี่ มีคนมากมายในหมู่บ้านที่สามารถเป็นนักบัญชีได้ ผมคิดว่าซูโส่วเวินก็ไม่เลวนะ การศึกษาสูงเป็นนักบัญชีก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ส่วนฉางซวนจื่อที่เพิ่งจบมัธยมต้นเมื่อปีก่อนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรด้วย!” ซูฉางจิ่วพูดอย่างเฉยเมย

นักบัญชีหลี่มีเหงื่อเย็นไหลท่วมตัว หรือว่าจะเปลี่ยนตัวเขาออก?

ไม่ได้นะ เป็นนักบัญชีดีกว่าเป็นเกษตรกรมาก มีใครบ้างในชุมชนการผลิตที่ไม่เคารพเขาน่ะ?

“หัวหน้าชุมชน ผมไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!” เขาปกป้องตัวเอง

“ชุมชนการผลิตหงซินของเราล้วนมีใจเป็นหนึ่งเดียวและเป็นสมาชิกที่ดี อย่าคิดที่จะทำสามหรือสี่อย่างนัก ถ้าทำให้มันล่าช้า อย่าหาว่าผมหยาบคายเลย!” ซูฉางจิ่วตำหนิตรง ๆ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจสักนิด

นักบัญชีหลี่ไม่กล้าพูด

ซูฉางจิ่วว่าต่อ “ซูชวนเป็นสหายอย่างไรเราทุกคนต่างรู้ดี และคนรุ่นหลังของตระกูลซูก็ล้วนเป็นสหายที่ดี จิตใจเป็นหนึ่ง ให้พวกเขาคอยสอน ผมว่าเหมาะสมที่สุด”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้คนอื่น ๆ ในชุมชนการผลิตคงมีความเห็นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฐานะของตระกูลซูสูงกว่าคนอื่นๆ ใครใช้ให้พวกเขาเคยช่วยผู้นำกันล่ะ?

เพราะช่วยผู้นำไว้ หัวหน้าอำเภอก็เลยมองพวกเขาต่างไปจากเดิม แม้กระทั่งเรื่องที่ถูกรายงานก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วย

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ชีวิตของตระกูลซูนั้นดีขึ้นจริง ๆ ก่อนหน้านี้ชีวิตของพวกเขาย่ำแย่ที่สุด ทว่าตอนนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการผลิตที่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว

รวมกับนักบัญชีหลี่ที่เป็นปฏิปักษ์เพราะเพิ่งถูกหัวหน้าชุมชนตำหนิติเตียนไป แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเช่นกัน

แม้แต่หลายคนก็ยังคิดว่าหัวหน้าชุมชนกำลังให้เกียรติตระกูลผู้เฒ่าซู บางทีเจ้าหน้าที่คนต่อไปอาจเป็นครอบครัวนี้ก็ได้

ใครให้รุ่นสามของตระกูลซูเติบโตขึ้นมาอย่างคนดีแบบนี้ล่ะ

เพราะงั้นคนในชุมชนจึงว่ากันว่า รุ่นหลังของผู้เฒ่าซูชวนเป็นสหายที่เชื่อถือได้มาก

มีสหายที่มีจิตสำนึกทางการเมืองสูงอยู่ พวกเขาจะต้องช่วยให้คนคอกวัวมีอุดมการณ์ได้อย่างแน่นอน และยังสามารถบรรเทาความกดดันของคนทำงานในชุมชนได้ด้วย ถือได้ว่ามีส่วนในการเสียสละของชุมชน

การจัดการของซูฉางจิ่วไม่ได้มีปัญหาอะไร!

คุณปู่ซูไม่ได้คาดหวังว่าหัวหน้าชุมชนจะช่วยครอบครัวหาเหตุผลติดต่อกับคนที่คอกวัวได้ หากในภายภาคหน้า เด็ก ๆ ไปที่นั่นจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นพบเห็นอีก

แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่า นี่เป็นข้อตกลงระหว่างหัวหน้ากับตู้ถงเหอ

*[1] ปันส่วนสาธารณะ คือ การที่เกษตรกรส่งมอบเมล็ดพืชที่เก็บเกี่ยวให้แก่รัฐโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายตามมาตรฐาน