บทที่ 61 จ่ายปันส่วนสาธารณะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 61 จ่ายปันส่วนสาธารณะ

ก่อนหน้านี้ซูฉางจิ่วได้ตกลงกับตู้ถงเหอว่า จากนี้ไปให้เขาสอนเรื่องวิธีการปลูกพืชในหมู่บ้านแก่ตระกูลซูโดยเฉพาะ และให้พูดผ่านปากคนบ้านนี้ก็พอแล้ว

เพราะถ้าคนที่คอกวัวพูดออกมามันจะทำให้คนไม่เชื่อถือ และอาจถูกรายงานอีกด้วย มันจะสร้างปัญหาอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

ถ้าได้ผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้นจริง ๆ ค่อยบอกถึงสาเหตุที่แท้จริงของรายได้ที่เพิ่มขึ้น เดี๋ยวพวกสมาชิกในทีมก็ยอมรับกันง่าย ๆ แล้วเชื่อเองแหละ

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องให้เหตุผลไปอย่างชัดเจนว่า เขาให้ตระกูลซูติดต่อกับคนที่คอกวัว เขาไม่อยากให้มีคนไปรายงานอีกว่าครอบครัวนี้ติดต่อกับคนที่คอกวัว

ณ คอกวัว ฉืออี้หย่วนกำลังตั้งใจนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านนอก เขาจดจ่อจนไม่ทันสังเกตถึงฉือเก๋อที่เดินเข้ามาใกล้

หนังสือพวกนี้ เป็นเฉินจื่ออันที่มอบหมายให้ซูเสี่ยวเถียนเป็นคนเอามาให้ ซึ่งเป็นหนังสือเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีทุกวิชาให้เลือกอ่าน

ฉืออี้หย่วนเป็นเด็กฉลาด เขารู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่คุณปู่ไม่สามารถสอนให้ได้ และทำได้เพียงเรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น

พอได้เห็นหลานชายมีสมาธิอ่านหนังสือ ฉือเก๋อก็สบายใจ

ไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้กำลังตั้งใจหรอก แต่เป็นเพราะเขาก้าวออกจากความเจ็บปวดจากอดีตได้ในที่สุด

เขาเต็มใจอ่านหนังสือพวกนี้อย่างจริงจัง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่า สักวันหนึ่งเขาจะกลับไปเรียนอีกครั้ง

“สหายฉือ นายสบายใจได้แล้วนะ อี้หย่วนจะดีขึ้นแน่นอน”

ไม่รู้ว่าตู้ถงเหอเดินมาหาตั้งแต่เมื่อไร เขาหยุดอยู่ตรงหน้าฉือเก๋อ มองดูหลานชายที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือก็รู้สึกโล่งใจด้วย

ในปีนั้น บ้านฉือประสบพบเจอกับความเจ็บปวด และหลายปีมานี้คนที่ก้าวข้ามไม่ได้ ไม่ใช่ฉือเก๋อแต่เป็นฉืออี้หย่วน

“นับเป็นความโชคดีของเราที่ได้พบกับตระกูลซู” ฉือเก๋อพูดแล้วมองไปทิศทางบ้านซู

“พวกเขาเป็นคนดีจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวเถียนเด็กคนนั้นจะยกคุณความดีให้ฉันขนาดนี้”

คนอื่นไม่รู้แต่ตู้ถงเหอรู้ และแม้ว่าเขาจะสอนเด็กคนนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอมีความรู้มากขนาดนี้ อีกทั้งเสี่ยวเถียนยังมีความคิดก้าวหน้า ทำให้เขามีแรงบันดาลใจล้นหลาม…

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซูเสี่ยวเถียนไม่ใช่ความสัมพันธ์ในระดับอาจารย์และลูกศิษย์ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นอาจารย์และสหาย

ในฐานะที่เป็นคนเฝ้าดูเรื่องราวทั้งหมด ทำไมจะไม่รู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับกันล่ะ

“สหายตู้ มิตรภาพพวกนี้เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว!”

“ที่นายพูดก็ถูก จดจำไว้ในใจ หากวันใดตาแก่คนนี้ออกไปจากที่นี้ได้ คงไม่สายเกินไปที่จะตอบแทนเธอ!” ตู้ถงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ใช่แค่เธอนะ สองเดือนมานี้กระเพาะของฉันดีขึ้นมากเลย ไม่ปวดอีกแล้วด้วย แกคงไม่รู้ ก่อนหน้าที่แกจะมา ฉันไม่ได้เตรียมใจที่จะใช้ชีวิตนานขนาดนี้เลยนะ ใครเล่าจะรู้ว่าได้เสี่ยวเถียนคอยดูแลจนดีขนาดนี้”

ครั้งหนึ่งเขาคิดว่าอาจจะตายในไม่ช้า เพราะตนเองไม่สามารถกินอาหารบำรุงกระเพาะมานาน ได้แต่กินผักป่าประทังชีวิตทั้งหิวทั้งไม่อิ่ม แล้วกระเพาะก็แย่ลงเรื่อย ๆ

แต่ตระกูลซูเอาอาหารมาให้เขา ให้เขากินกึ๋นไก่ ทำให้กระเพาะค่อย ๆ ดีขึ้น

นี่ต้องเป็นความเมตตาอันยิ่งใหญ่แน่

“สหายฉือ ทั้งชีวิตฉันมีลูกชายเพียงคนเดียว และเขาไม่ได้ทิ้งความทรงจำอะไรไว้ให้ฉันเลย ช่วงนี้จึงคิดอยู่บ่อย ๆ ว่าหากมีเสี่ยวเถียนเป็นหลานสาวก็คงดี” ตู้ถงเหอไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับสหายเก่า

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันตั้งแต่เขามีความคิดเช่นนี้แล้ว แต่เนื่องด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ จึงไม่กล้าพูดออกไปเพราะกลัวจะสร้างปัญหาให้เด็กหญิง

“ถึงจะแค่คิด แต่กลับไปไว้ค่อยไปปรึกษากับสหายซูแล้วกัน เขาอาจเห็นด้วย”

“แต่สถานะของเราในตอนนี้เหมาะที่จะพูดรึ?” ตู้ถงเหอส่ายหัว

ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ หากเข้าใกล้กับคนอื่นจะต้องเกี่ยวโยงกัน แล้วจะกลัวอะไรเล่า?

อนาคตมาถึงเมื่อไร ต้องมีวันพลิกกลับนี้ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน!

“สหายตู้ ตอนนี้นายก็นับว่าเป็นพ่อทูนหัวแล้ว หากมีโอกาสในอนาคตข้างหน้ามาถึง เด็กคนนั้นคงไม่ยินดีเอื้อมคว้าเอาไว้”

ฉือเก๋อใช้คำว่า เอื้อมคว้า สองคำนี้ ทำให้ตู้ถงเหอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“นายยังเชื่ออยู่ไหมว่าพวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่ และกลับไปใช้ชีวิตแบบก่อนหน้านี้ได้”

“เชื่อสิ อีกอย่างมันไม่นานหลังจากนี้หรอก เราต้องใช้ชีวิตไปให้ได้!”

“งั้นกลับไปเมื่อไร ฉันจะไปพูดเรื่องนี้กับสหายซูแล้วกัน!” ตู้ถงเหอได้แรงสนับสนุน ความมั่นใจจึงเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ธัญพืชของชุมชนการผลิตหงซินยังเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งนวดและตากแห้งแล้วด้วย

หัวหน้าชุมชนการผลิตเอื้อมมือไปสัมผัสธัญพืชแห้ง ก่อนจะยิ้มออกมา ผลผลิตในปีนี้สูงกว่าปีที่แล้วแน่นอน

นี่หมายความว่า ในปีนี้แต่ละครัวเรือนจะได้รับอาหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“เหล่าสมาชิกทั้งหลาย อีกสามวันข้างหน้าจะเป็นวันจ่ายปันส่วนสาธารณะ ที่ชุมชนใหญ่บอกไว้ว่ากองชุมชนกลุ่มแรกที่มาส่งเป็นสามอันดับแรกจะได้รับรางวัลเป็นเครื่องมือการเกษตรทั้งหมด” ซูฉางจิ่วกล่าวอย่างมั่นใจ

หลังจากฟังจบ เหล่าสมาชิกจึงเริ่นสนทนาหารือ

เครื่องมือการเกษตรของชุมชนเราเก่าแล้วและใช้งานไม่สะดวก พวกเขาคิดจะซื้อใหม่ แต่ไม่มีแบบมาตราฐาน หากได้รางวัลเป็นของใหม่จะทำให้ชีวิตในปีหน้าง่ายขึ้นมาก

“หัวหน้าชุมชน พวกเราแย่งชิงอันดับหนึ่งมากันเถอะ!” มีคนอดใจไม่ไหวตะโกนขึ้นมา

ซูฉางจิ่วว่า “ผมก็หมายความอย่างนั้นล่ะ เราจะเริ่มทำงานในอีกสองวันข้างหน้า ที่ผมหมายถึงคือ เราจะชั่งน้ำหนักปริมาณปันส่วนสาธารณะที่ต้องการก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน แล้วยังต้องเตรียมธัญพืชอีกสามร้อยจิน จะได้ทันการแล้วก็ไม่ส่งธัญพืชช้าด้วย”

สมาชิกบางคนไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องเตรียมธัญพืชสามร้อยจิน

“ถ้าพวกคุณรู้สึกว่าทำไมต้องทำงานหนักเพื่อเตรียมธัญพืชสามร้อยจินด้วย? พวกคุณคิดดูนะ ในปีที่ผ่านมาจะขาดแคลนธัญพืช มีไม่พอจนต้องหาอย่างอื่นมาแทนอีกจินกว่า ๆ ไม่แน่ว่าปีนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้ ดังนั้นควรเตรียมตัวให้พร้อมสักหน่อยดีกว่า อย่างมากพวกเราก็ใช้แรงลากกลับ”

หลังจากซูฉางจิ่วพูดจบ สมาชิกกลุ่มก็แสดงความยินยอม ส่วนเกษตรกรก็ไม่มีอะไรมากนักนอกจากรวมพลัง

“ได้ครับ หัวหน้าชุมชนพวกเราฟังคุณนะ”

“ใช่แล้ว พวกเราทุกคนฟังหัวหน้านะ คุณมีความรู้มากกว่าพวกเรา”

“งั้นตกลงตามนี้ ก่อนคืนวันนั้นก็ให้แม่ย่าแม่ยายที่บ้านทำอาหารแห้งกันหิ้วมาแล้วกัน พวกเราจะบรรทุกของขึ้นรถในตอนฟ้ามืด เสร็จแล้วค่อยออกเดินทาง”

ในชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามวัน และปันส่วนสาธารณะได้รับการจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย และวางไว้ในโกดังของชุมชนการผลิต

ตกเย็น พวกผู้ชายในหมู่บ้านพากันไปที่โกดังเพื่อขนของขึ้นรถ

ชุมชนการผลิตหงซินไม่ได้ร่ำรวย มีเกวียนลาหกเล่ม เกวียนวัวสามเล่ม และเกวียนม้าอีกหนึ่งเล่ม

หลังจากที่บรรทุกเต็มเกวียนทั้งสิบเล่มแล้ว มันยังมีธัญพืชเหลืออยู่บ้าง จึงหารถบรรทุกพื้นเรียบมาอีกคัน

แต่ที่ชุมชนการผลิตมีรถบรรทุกพื้นเรียบไม่มากนัก ทั้งยังไม่สามารถใส่ธัญพืชได้ทั้งหมดจึงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง หัวหน้าชุมชนได้เรียกให้ทุกคนใช้หาบยกไป