ซิลวานออกแรงอย่างขึงขังจนกระทั่งยามดึก เขารวบรวมคาลโตสมาทั้งหมดสิบเก้าตัว ราวสองเท่าจากจำนวนที่อมิตาภาร้องขอ
เฟลิซีหอมแก้มให้รางวัลพี่ชายของนาง นั่นเพียงพอทำให้ซิลวานกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เป็นค่ำคืนอันสงบสุขของคณะอินกอง
เช้าวันถัดมา…
ซิลวานสั่งให้เหล่าลูกเรือรวบรวมวัตถุดิบที่เหลือระหว่างที่การสำรวจซากโบราณกำลังเริ่มขึ้น
“มีวิธีการสำรวจซากโบราณใต้น้ำอยู่ 3 วิธีใหญ่ๆ วิธีนึงก็คือแยกน้ำออกซะ ที่เหลือก็คือวิธีใช้ลุยดำเข้าไปในน้ำ”
ในโลกที่มีเวทมนตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง วิธีอันเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นไปได้ก็สามารถเป็นไปได้ เฟลิซีชูนิ้วสามนิ้วก่อนจะพับหนึ่งนิ้วลงมา
“แต่วิธีแรกต้องใช้พลังเวทมากเกินไปเลยไม่เป็นที่นิยมเท่าไร แล้วก็ถ้าทำอย่างไม่ระวังจะเกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมได้ ส่วนใหญ่ฉันเลยมักจะใช้สองวิธีที่เหลือ”
เดเลียหยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมาประกอบการบรรยายของเฟลิซี อุปกรณ์นี้ดูราวกับห่วงเหล็กที่ถูกผ่าครึ่ง
“ไม่ว่าใครก็สามารถหายใจใต้น้ำได้ถ้าอมส่วนกลางของอุปกรณ์นี้ไว้ในปาก เพราะมันใช้พลังเวทในการทำงาน ถ้ามีพลังเวทมากพอก็สามารถใช้งานได้ไม่จำกัดเวลา ฉันเตรียมมันมาเผื่อไว้”
นี่เป็นอุปกรณ์บางอย่างที่อินกองมองข้าม แม้มันจะถูกใช้ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า แต่ตัวอินกองเองไม่เคยใช้มันสักครั้ง
“แสดงว่าพวกเราจะใช้วิธีที่เหลือสินะ?”
“ถูกต้องแล้ว พวกเราจะใช้วิธีที่สาม ฉันเป็นมืออาชีพในด้านนี้อยู่แล้ว”
เฟลิซีตอบคำของคารัคแล้วร่ายเวทมนตร์บางอย่างพลางชี้ไปยังสมาชิก ฟองอากาศขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นตามจำนวนสมาชิก
“ว้าว”
เคทลินมองดูฟองน้ำอย่างตื่นเต้น นางสัมผัสมันอย่างลังเลว่ามันจะแตกออก แต่ฟองน้ำเหล่านี้ทนทานกว่าที่คิด
เฟลิซียิ้มมองการกระทำของเคทลินแล้วพูดต่อ
“ยังไงก็อมห่วงเอาไว้เพื่อความปลอดภัย พอพวกเราลงไปในน้ำแล้วก็คอยฟังคำสั่งฉันให้ดีด้วย เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วคะออนนี่”
เคทลินคาบอุปกรณ์ที่ว่าไว้ในปาก หลังจากที่เฟลิซีมองสำรวจสมาชิกทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็เริ่มปฏิบัตการ
เฟลิซีเลือกคัดคณะสำรวจ
ประกอบด้วย อินกอง คารัค เฟลิซี เดเลีย เคทลิน เซร่า ซิลวาน และดาฟเน่ รวมทั้งหมดแปดชีวิต
แม้ผิวน้ำจะเรืองแสงทอง แต่ลึกลงไปกลับมืดสนิท เฟลิซีเลือกเสกแสงสว่างเพียงเล็กน้อยครอบคลุมระยะมองเห็นไม่มาก นั่นก็เพื่อไม่ให้แสงนี้ไปก่อกวนสัตว์บางอย่างที่อาจอาศัยอยู่ในเบื้องลึกของทะเลสาบ
‘เราต้องคอยระวังไว้ก่อน’
ทะเลสาบที่มีงูทะเลยักษ์เฝ้าปกป้อง แน่นอนว่าย่อมมีปลาน้อยใหญ่ สัตว์น้ำหลากหลาย รวมถึงสัตว์อสูรใต้ทะเล การต่อสู้ภายใต้สภาวะที่พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้การสำรวจใต้ทะเลลึกเป็นเรื่องอันตราย
อินกองเพ่งสมาธิไปยังแผนที่ย่อของเขามากเสียกว่าความมืดรอบตัว ในสถานการณ์เช่นนี้ แผนที่ย่อของเขามีประโยชน์มาก
‘ตรงนั้นดูเหมือนจะเป็นทางเข้า’
หลังจากมองสำรวจผ่านแผนที่ย่อ อินกองก็ส่งสัญญาณบอกเฟลิซี แน่นอนว่าสมาชิกทั้งหมดยกเว้นซิลวานเชื่ออินกองอย่างไร้ข้อกังขา
ทางเข้าที่อินกองค้นพบอยู่ระหว่างโขดหิน สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือภายในช่องว่างนั้นไม่มีน้ำอยู่ ราวกับถูกบางอย่างขวางกั้นไม่ให้น้ำสามารถไหลเข้าไปได้
“สมแล้วที่เป็นฉัตร”
เฟลิซีสลายฟองอากาศพลางส่งเสียงชื่นชมออกมา แม้นางจะคุ้นเคยกับความสามารถอันไร้เหตุผลของอินกองมาหลายครั้ง แต่เมื่ออยู่ใต้ทะเลมิใช่บนบก ความสามารถนี้ก็ทำให้นางตะลึงอีกครั้ง
“ทีนี้ก็ถึงตาอปป้าออกโรง ลิซซี่บอกทางด้วย”
ซิลวานชักดาบของเขาออกพลางเดินนำหน้า แน่นอนว่าเมื่อเทียบพลังรบเพียงลำพังแล้ว ซิลวานคือผู้ที่มีกำลังต่อสู้มากที่สุด
แต่เฟลิซีกลับส่ายหน้า
“ให้เป็นหน้าที่ของฉัตร ฉัตรกับคารัคคอยนำหน้า ส่วนอปป้าคอยระวังด้านข้างให้พวกเรา ฉัน ดาฟเน่ และเดเลียจะอยู่ตรงกลาง ส่วนเคทลินกับเซร่าคอยคุ้มกันด้านหลัง”
ซิลวานมีสีหน้าไม่พอใจแต่ในเมื่อสมาชิกที่เหลือต่างพักหน้าเห็นด้วย เขาก็ไม่สามารถคัดค้านได้
หลังจากจัดตำแหน่งของสมาชิกทั้งหมดเรียบร้อย คณะสำรวจก็เริ่มเดินทางต่อ บริเวณรอบด้านค่อนข้างกว้างขวาง สมกับที่เคยเป็นรังของพญามังกรหัวรุนแรงไคทีน
มีร่องรอยของการต่อสู้อยู่รอบด้าน ร่องรอยที่อินกองไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร นั่นทำให้คณะสำรวจเดินทางอย่างไม่ประมาท
มีบางส่วนที่เป็นร่องรอยของการถล่ม กระดูกของผู้บุกรุกและซากของผู้พิทักษ์ต่างปะปนกัน
ทว่ากลับไม่มีผู้พิทักษ์หรือกับดักหลงเหลืออยู่ ต่างไปจากในตอนสำรวจปราสาทธันเดอร์ดูม
เฟลิซีหรี่ตาลงเมื่อนางรู้สึกถึงพลังเวทบางอย่าง
“สถานที่นี้… เหมือนจะถูกทิ้งร้างไว้เกือบพันปี นานเสียกว่าปราสาทธันเดอร์ดูมที่ถูกทิ้งร่างไว้หลายร้อยปี”
‘พันปี’
ตัวเลขที่ทำให้อินกองนึกถึงพยานอันเคล เท่าที่เขาจำได้ พยานอันเคลถูกสังหารเมื่อเวลาราวพันปีที่แล้วเช่นกัน
ทรราชเอนคิดูได้ละทิ้งรังของเขาเพื่อไปยังสถานที่ที่มิมีผู้ใดรับรู้ แต่เกิดอะไรขึ้นกับหัวรุนแรงไคทีน? เขาสละรังเช่นเดียวกับเอนคิดู? หรือว่าถูกสังหารเช่นเดียวกับอันเคล?
และหากเป็นอย่างหลัง ใครกันที่มีพลังมากพอสังหารพญามังกรที่มีพลังเทียงเคียงพระเจ้า? ไม่เพียงหนึ่ง แต่ถึงสอง?
ภาพแผ่นหินในปราสาทธันเดอร์ดูมผุดขึ้นมาในหัวของอินกองอีกครั้ง บุคคลทั้งสี่ผู้อยู่ตรงข้ามกับเหล่ามังกรบรรพกาล…
อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย และอาสัญ
แสงสุดท้ายได้บอกไว้ว่าเหล่าอาชาทั้งสี่คือผู้ที่โหยหาความวินาศ
หรือพวกเขาจะเป็นผู้สังหารมังกรบรรพกาล?
สี่ฑูตโลกาวินาศคือผู้ที่สังหารอันเคลและไคทีนเมื่อราวพันปีก่อนอย่างนั้นหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง จะด้วยเหตุผลอะไรกัน?
‘นายท่าน’
กรีนวินด์ส่งเสียงเรียกขึ้น นั่นทำให้อินกองหลุดจากภวังค์ ตัวเขาเดินนำทางอย่างเหม่อลอยมาได้สักพัก
คณะสำรวจได้เดินมาถึงหน้าศิลาจารึกขนาดใหญ่
ไม่ว่าเป็นความบังเอิญหรือบางอย่างชักจูง อินกองก็นำทางคณะสำรวจมาพบกับก้อนหินขนาดใหญ่ บางส่วนได้เสียหายไปตามกาลเวลานั่นทำให้เรื่องราวบางส่วนสูญหายไปด้วย
“ดูเหมือนจะเป็นการบันทึกบางอย่าง”
เฟลิซีเคลื่อนตัวเข้าหาศิลาจารึกอย่างตื่นเต้นก่อนจะหงุดหงิด นั่นเพราะสิ่งที่ถูกเขียนสลักไว้เป็นภาษาที่นางเพิ่งจะพบเจอเป็นครั้งแรก นางไม่สามารถอ่านมันออก
อินกองมองสำรวจตัวอักขระ นี่ไม่ใช่ภาษาของเหล่าดวอฟหรือมังกร
เป็นบางอย่างที่ดูเก่าแก่ยิ่งกว่านั้น
[คุณได้เรียนรู้ อักขระที่สาบสูญ ขั้น1]
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นในหูของอินกอง คำว่า ‘สาบสูญ’ ดังก้องอยู่ในหัวของเขา
แม้แต่ตัวอักขระเอกก็มีร่องรอยเสียหายเช่นเดียวกับตัวศิลาจารึก นั่นทำให้ประโยคส่วนใหญ่ไม่สามารถตีความได้ มีเพียงข้อความบางอย่างเท่านั้น
‘ฑูตโลกาวินาศ’
‘หกเสาสั่นคลอน’
‘ปล่อยไว้มิได้’
‘10,000 ปี’
‘จุดจบ —’
ทั้งหมดต่างส่อไปในทางลบ อินกองมองศิลาจารึกอีกครั้ง มีภาพวาดบางอย่างถูกสลักไว้ บางอย่างขนาดใหญ่สีแดง แต่มันก็เสียหายเกินกว่าจะมองออกว่าคืออะไร
จุบจบของชนเผ่าที่สาบสูญ…
ทั้งหมดนี้คือข้อความบันทึกถึงจุบจบของอารยธรรมโบราณ
‘นายท่าน ข้ารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งเรียกหา เพ่งสมาธิไปที่ของวิเศษจากมังกรก่อน’
เสียงกระซิบของกรีนวินด์ดังขึ้นอีกครั้ง พสุธากัมปนาทและโล่ชีวาตม์ แม้ทั้งสองจะมีที่มาของพลังที่แตกต่างแต่ทั้งสองก็เรืองแสงขึ้นอย่างแปลกประหลาด
สายตาของสมาชิกทั้งหมดจดจ้องมาที่อินกอง อินกองเพ่งสมาธิไปยังของวิเศษทั้งสองดังที่กรีนวินด์บอก มีเส้นทางถูกเผยขึ้น อินกองเดินตามเส้นทางนั้นไปจนพบกับอีกห้องหนึ่ง
เมื่ออินกองหยุดอยู่ตรงหน้าบานประตูของห้องนี้ ประตูก็เปิดออกเอง ภายในมีแท่นบูชาขนาดเล็ก ลักษณะเช่นเดียวกับแท่นบูชาในวิหารทั่งวัชรกรที่เขาค้นพบพสุธากัมปนาท
“หัวรุนแรงไคทีน… ”
เฟลิซีกระซิบขึ้น บนแท่นบูชามีชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเรืองแสงลอยอยู่
ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมก็สามารถบอกได้ว่านี่คืออีกหนึ่งของวิเศษจากพญามังกร ซิลวานพยายามเอื้อมมือไปจับของวิเศษตรงหน้าก่อนพลังเวทในห้องจะรวมตัวปัดเขาออกมา
ท่าทีของเฟลิซีก็ไม่แตกต่าง นางถูกพลังที่ว่ากีดกันไว้เช่นกัน
เคทลินมองไปยังอินกอง พลังเวทรวมตัวเข้าป้องกันผู้บุกรุกอีกครั้ง แต่พลังเหล่านี้ก็สยบลงเมื่อพลังแห่งอาณัติในตัวอินกองแผ่ขยายออกมา
เช่นเดียวกับเศษเสี้ยวแห่งอันเคล ม่านพลังของไคทีนยอมศิโรราบน้อมรับการปกครองจากอินกอง
หลังจากที่อินกองสามารถเคลื่อนตัวเข้าใกล้แท่นบูชาได้ ซิลวานหลับตาลงก่อนพยายามเดินเข้าไปอีกครั้ง แต่ก็ไร้ผล พลังเวทเหล่านั้นยังคงรวมตัวขึ้นปัดเขาออกมาเช่นเดิม
ฮูกคุ้มภัย
หรือก็คือชื่อของผ้าคลุมนั้น
ทันทีที่มือของอินกองเงื้อไปสัมผัสแท่นบูชา ผ้าคลุมวิเศษก็บินเข้ามาประดับที่ไหล่ของอินกอง และแน่นอนว่าความสามารถของผ้าคลุมนี้ก็ดังขึ้นมา
[พลังจิตเพิ่มขึ้น 10]
[พลังเวทเพิ่มขึ้น 10]
[ความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้น 10]
[คุณได้เรียนรู้ทักษะพิเศษของฮูกคุ้มภัย ชั่วพริบตา ขั้น3]
[ปลดปล่อยพลังแฝงบางส่วนของฮูกคุ้มภัย ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น]
[คุณได้เรียนรู้ ทรงตัวกลางอากาศ(บิน) ขั้น1]
[ฮูกคุ้มภัยแห่งหัวรุนแรงไคทีน]
[จากการปลุกพลังแฝง คุณได้เรียนรู้ทักษะ อสูรทมิฬ]
ไม่หมดเพียงเท่านี้ เช่นเดียวกับพสุธากัมปนาทที่ประกอบตัวใหม่ให้เข้ากับผู้ใช้ ฮูกคุ้มภัยก็เช่นกัน
แม้ชุดคลุมจะดูดีมีเสน่ห์แต่มันเรียกได้ว่าเกะกะสำหรับนักสู้ประชิดตัว ฮูกคุ้มภัยเรืองแสงก่อนเปลี่ยนสภาพเป็นผ้าสั้นยาวพันรอบบริเวณคอและไหล่ของอินกอง ลักษณะของฮูกคุ้มภัยในตอนนี้คล้ายผ้าพันคอปิดปากที่เยื่องไปด้านหลังมากเสียกว่าด้านหน้า
อินกองก้าวเท้าขึ้นไปบนอากาศในลักษณะเดินขึ้นบันได เขาไม่รู้สึกถึงแรงต้านเวลาที่เข้าเหยียบพื้น ร่างกายของเขากลับลอยขึ้นแทน
‘ไม่นะะะะะ บทบาทของข้าาาาาา… !’
เสียงร้องโอดครวญของกรีนวินด์ดังขึ้นสร้างรอยยิ้มให้กับอินกอง แม้การเคลื่อนตัวอย่างอิสระเสรียังคงเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็สามารถบินได้ในระดับพื้นฐาน
“และแล้วของวิเศษก็ตกเป็นของฉัตรอีกครั้ง ถึงฉันพอจะเดาไว้ก่อนแล้วก็ตามทีเถอะ”
เฟลิซีหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น เคทลินมองอินกองด้วยสายตาชื่นชม
การที่อินกองคนพบของวิเศษถือว่าเป็นเรื่องดี และจากสิ่งที่เกิดขึ้นก็บ่งบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับสมาชิกตนอื่น
เฟลิซีได้คำนึงถึงสิ่งนี้เอาไว้ก่อนแล้ว ซิลวานที่ถูกของวิเศษปฏิเสธได้แต่ถอยกลับไปด้านหลังด้วยสีหน้าหดหู่
หลังจากที่อินกองทดลองบินเสร็จและร่อนลงพื้น เคทลินและเฟลิซีต่างก็เข้าไปพูดคุยกับเขา แม้ทั้งสองจะมิได้รับการยอมรับจากของวิเศษ แต่การเฝ้าดูของวิเศษก็เรียกได้ว่าเป็นความประทับใจเช่นกัน
ซิลวานมองภาพตรงหน้าอย่างอิจฉา
จนกระทั้งมีแสงสว่างส่องขึ้นจากตัวคารัค เซร่า และเดเลีย คารัคลุกลี้ลุกลนค้นหาบางอย่าง ในขณะที่เซร่าและเดเลียหยิบสร้อยคอออกมาอย่างง่ายดาย หลังจากที่ทั้งสามยืนยันแสงสัญญาณที่เรืองขึ้นจากสร้อย ทั้งสามต่างพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“เดเลีย?”
เสียงของเฟลิซีดังขึ้นอย่างไม่สบายใจ เดเลียรีบพูดตอบให้นางคลายกังวล
“มีข้อความถูกส่งมาจากทางวังหลวง คาดว่าข้อความนี้ถูกส่งให้กับเหล่าองครักษ์ทั้งหมดเพคะ”
เพียงคำพูดของนางก็พอจะบ่งบอกได้ว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่นานครั้งจะเกิดขึ้น คารัคจ้องมองแสงสัญญาณจากสร้่อยคอของมันก่อนจะพูดเสริมอย่างไม่มั่นใจ
“เอ่อ… ดูเหมือนจะมีคำสั่งให้เจ้าชายเจ้าหญิงทั้งหมดเข้าเฝ้าในเวลาสิบวันหลังจากนี้”
คารัคหันไปมองเซร่าเพื่อความมั่นใจและนางก็ผงกหัวยืนยัน
คารัค เซร่า และเดเลียต่างก็ได้รับข้อความเดียวกันในฐานะองครักษ์ส่วนตัวของทายาทจอมมาร
“แต่พวกเรายังมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนอะไร”
อย่างที่คารัคบอก สิบวันถือว่าเป็นเวลาที่เกินพอ ถึงพวกเขาจะต้องเดินทางกลับไปหาอมิตาภาและคริสต์ด้วยก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรจะหยุดการสำรวจซากโบราณสถานเอาไว้เท่านี้ก่อน กลับไปขึ้นเพลิงมังกรทมิฬกันเถอะ”
ซิลวานพูดขึ้นพลางเดินนำออกจากห้อง เฟลิซีถอนหายใจพลางมองไปยังอินกองอย่างลังเล อินกองยิ้มกลับให้นางอย่างไม่คิดติดใจอะไร
ทว่าในเบื้องลึกแล้ว อินกองก็กระวนกระวายเช่นกัน หากอ้างอิงจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าแล้ว มีเพียงเหตุการณ์ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่สำคัญถึงขั้นเรียกเหล่าทายาททั้งหมดกลับวังจอมมาร
‘ฆ่าล้างเหล่าไลแคนโทรป’
เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเรียกรวมตัวเหล่าทายาททั้งหมดในเกมได้
อินกองหันไปมองเคทลินอย่างวิตกกังวล ก่อนเขาจะเดินตามนางออกจากซากโบราณสถาน
จบบทที่ 15 – สัญญาณ เริ่มบทที่ 16 – เข้าเฝ้าฯ