อู้ห่างหายไปนาน ด้วยข้ออ้างมากมาย ต้องขออภัยผู้อ่านที่รอติดตามด้วยครับผม
เฟลิซีเดินออกจากห้องบูชาพลางหันหลังมองอย่างอาลัยอาวรณ์
นั่นทำให้เคทลินที่เดินอยู่ข้างหน้าสงสัย ก่อนเฟลิซีจะตัดสินใจกล่าวออกมาในที่สุด
“นี่ พวกเราไม่มีเวลาจริงๆหรือ? อย่างน้อยแค่พื้นห้องก็ยังดี ฉันอยากใช้เวลาซาบซึ้งกับมันอีกซักนิด มันอาจไม่หลงเหลืออะไรให้ดูในคราวหน้าก็ได้”
ใบหน้าของนางแสดงถึงความเสียใจอย่างสุดจะกล่าว
ซิลวานถอนหายใจก่อนจะกล่าวตักเตือนในฐานะพี่ชาย
“นี่ เฟลิซี”
“เธอคิดว่ายังไงฉัตร?”
ทว่าถ้อยคำนั้นกลับโดนเฟลิซีมองข้ามอย่างสิ้นเชิง นางหันไปถามความเห็นของอินกองที่มีทีท่าลังเลเช่นกัน
“เวลา 10 วันเรียกได้ว่ามากเกินพออย่างที่เซร่าบอก ผมก็คิดว่ากลับออกไปทั้งอย่างนี้ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเหมือนเฟลิซีนูนะ”
สถานที่แห่งนี้เป็นถึงรังเก่าของมังกรบรรพกาล
ที่ผ่านมาพวกเขาเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งมีเพียงความเกี่ยวข้อง แต่สถานที่นี้เป็นถึงรังของพญามังกร
กรณีวิหารทั่งวัชระกร นั่นเป็นเพียงห้องสมบัติของเอนคิดู ในกรณีของพยานอันเคล พวกเขาไม่ได้แม้แต่เยือนไปยังสถานที่เก็บรักษาโล่ชีวาตม์
แน่นอนว่าคำตอบของอินกองทำให้เฟลิซีดีใจอย่างมีความหวัง
“ใช่มั้ย? ฉัตรก็คิดเหมือนกันสินะ? กลับไปทั้งอย่างนี้มันน่าเสียดายสุดๆเลย?”
สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าการสนับสนุนจากอินกองทำให้เฟลิซีพยายามโน้มน้าวสมาชิกท่านอื่น ทว่าอินกองก็พูดตัดบทออกมา
“แต่ว่านูนะคงไม่ได้แค่จะซาบซึ้งกับที่นี้หรอกใช่มั้ย? ถ้าผมเดาไม่ผิด พวกเราน่าจะสำรวจบริเวณนี้ได้ราวครึ่งนึงแล้ว ไว้มาสำรวจที่เหลือทีหลังก็ได้นิครับ?”
แผนที่ย่อสามารถทำให้อินกองคาดเดาอัตราส่วนได้อย่างคร่าว
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับของอินกอง แต่จากหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้สมาชิกคณะเชื่อใจในตัวเขา
“เฟลิซี”
ซิลวานยังคงไม่ลดละความพยายาม แต่ก็เปล่าประโยชน์
เฟลิซีกอดอกส่ายหน้า
“เอ่อ อย่างน้อยแค่วันนี้ก็ได้? พวกเรากลับไปหาอมิตาภาตอนกลางคืนก็ยังทัน?”
พวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยรถเลื่อน แต่เป็นเรือเหาะ แม้นางจะรู้สึกผิดต่อบรรดาลูกเรือของซิลวาน แต่ความอยากรู้อยากเห็นของนักสำรวจอยู่เหนือกว่า
เฟลิซีจดจ้องอินกองด้วยสายตาอ้อนวอน เดเลียในฐานะทหารคนสนิทก็ส่งสายตาเช่นเดียวกับนาง
สายตาปิ๊งๆ ฟรุ้งฟริ้งๆ อ้อนวอนแบบลูกหมาลูกแมว (ノ◕ヮ◕)ノ*:・゚✧
สายตาของทั้งสองจะสำเร็จหรือไม่?
ขณะที่ทั้งหมดต่างเพ่งความสนใจไปยังอินกอง ซิลวานผู้น่าสงสารก็รู้สึกว้าเหว่
ในสถานการณ์นี้ มิใช่ว่าเฟลิซีควรจะขออนุญาตจากตัวเขาผู้เป็นกัปตันเรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬหรอกหรือ?
ทำไมคำขอนี้กลับพุ่งเป้าไปยังฉัตร เจ้าชายที่อายุน้อยที่สุดในคณะเดินทาง?
ระหว่างที่ซิลวานยังคงสับสน อินกองก็ตอบออกมาราวกับยอมจำนน
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
พวกเขาต้องกลับไปยังวังจอมมารภายในสิบวัน ระยะเวลาเพียงครึ่งวันคงไม่ทำให้การเดินทางล้าช้าเกินกว่าเหตุ
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตัวอินกองเองก็สนใจในสถานที่แห่งนี้เช่นกัน
ถึงแม้เขาจะบรรลุเป้าหมายในการครอบครองของวิเศษ แต่การกลับไปเพียงเท่านี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
‘บางทีเราอาจพบข้อมูลอะไรเพิ่มจากที่นี่’
ร่องรอย หรือเอกสารบันทึกเกี่ยวกับชนเผ่าที่สาบสูญ…
รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่จู่โจมเหล่าพญามังกร
แม้ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่มีลำดับความสำคัญมากมาย แต่มันก็อาจเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคตได้
คำอนุญาตจากอินกองทำให้เฟลิซีกระโดดโลดเต้นราวกับเด็กน้อยที่ได้ของขวัญ
“ไชโย! โอเค! เดเลีย เราไปทางนั้นกัน!”
“เฟลิซี!”
เสียงของชายผู้ไม่ละความพยายามดังขึ้น แต่คำตอบรับจากเฟลิซีในครั้งนี้เรียกได้ว่าเลวร้ายกว่าเมินเฉยเสียอีก
“อปป้ากลับไปรอที่เรือเหาะก่อนได้มั้ย? อปป้าใช้ห่วงช่วยหายใจในน้ำเป็นใช่มั้ยละ?”
ซิลวานไหล่ตกราวกับหมดแรงจากการถูกแทงจุดสำคัญ
“ไม่ ไม่เป็นไร อปป้าจะคอยคุ้มกันให้ลิซซี่เอง”
“แบบนั้นก็ได้”
เฟลิซีเดินผิวปากอย่างร่าเริงไปยังบริเวณที่ยังไม่ได้รับการสำรวจคู่กับเดเลีย ระหว่างที่ทั้งหมดเดินตามนางไป คารัคก็หันไปตบไหล่ปลอบซิลวาน
“อย่าคิดมากเลยองค์ชาย องค์หญิงก็เป็นแบบนี้แหละ”
แม้น้ำเสียงและถ้อยคำเรียกได้ว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรงในฐานะองครักษ์ แต่ซิลวานก็ไม่ปริปากบ่นอย่างใด
หรือบางทีนี่อาจเป็นสเน่ห์ของพระเอกที่แท้จริง?
นี่ยังคงเป็นเรื่องที่ชวนสงสัยจนถึงตอนนี้
&
หลังจากเดินตามเฟลิซีถึงสามชั่วโมง เรียกได้ว่าการสำรวจเป็นผลสำเร็จอย่างมาก
แม้จะไม่มีของวิเศษในระดับเดียวกับฮูกคุ้มภัย ถึงกระนั้นพวกเขาก็ค้นพบสมบัติหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทอง สินแร่ล้ำค่า และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดในสายตาของเฟลิซี
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าที่สาบสูญ แต่อินกองก็พึงพอใจในผลลัพท์ ด้วยการชี้นำจากปราชญ์ดาบ ทำให้คณะสำรวจมีเงินทองใช้สอยมากขึ้นทีเดียว
คอรัปชั่น นี่มันคอรัปชั่นชัดๆ (╯°益°)╯彡┻━┻
แม้พวกเขาจะมีเงินทองติดตัวอยู่แล้ว แต่การมีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
พวกเขาพบขั้นบันไดทอดลงไปยังชั้นล่างในส่วนที่ลึกที่สุดของเส้นทาง แม้เฟลิซีจะพยายามร้องโอดครวญแต่พวกเขาไม่สามารถล่าช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว
แม้แต่ซิลวานก็ทำหน้าสลดหดหู่ ถึงไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แต่พี่น้องเอลฟ์รัตติกาลคู่นี้ก็ดูน่าเอ็นดูอย่างประหลาด
อินกองนำพวกเขาออกจากรังของไคทีนมาได้ไม่เกินเวลาที่เผื่อไว้
“ถอนสมอแล้วลอยลำได้ พวกเราจะกลับไปยังป่าแมงมุม ลมโชย! ท่องนภา, เพลิงมังกรทมิฬ ฮ่าไฮ่!”
เสียงร้องปลุกใจจากซิลวานดังขึ้นทั่วเรือเหาะ อาจจะดูน่าอับอายสำหรับเฟลิซี แต่ซิลวานร้องขึ้นอย่างภาคภูมิ เหล่าลูกเรือต่างทำหน้าที่ตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ครึ่งวันผ่านไป…
คณะของอินกองก็เดินทางกลับมาถึงป่าแมงมุมยามรุ่งสาง
“มาอะไรกันเช้าขนาดนี้ฮะ!”
ดาฟเน่อุ้มอมิตาภาออกมายังบริเวณประตูวัด โดยมีเสียงบ่นอุบอิบเป็นดนตรีประกอบ
คำถามที่ว่า ‘แรคคูนเป็นสัตว์กลางคืนไม่ใช่หรือไง?’ ผุดขึ้นในหัวของอินกอง แต่เขาก็เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไป
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ ข้าพระพุทธเจ้านำกำลังเสริมมาแล้วเพคะ”
“ยินดีต้อนรับกลับมา ทำดีมาก กัมมะ”
กัมมะยิ้มรับคำชมจากอินกอง แต่นางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก นั่นเพราะว่าแม้นางจะเดินทางไปขอกำลังเสริม แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็จบลงก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง เมื่อมองแล้วอาจเรียกได้ว่านางไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
คารัคส่งสายตาปลอบโยนให้กับนาง นั่นทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ในจังหวะนี้เองที่สายตาของดาฟเน่หันไปเห็นสิ่งที่บรรทุกอยู่บนเรือเหาะ
“นั่นมัน… หรือว่าจะเป็น… มังกร?”
เกล็ดที่ส่องสะท้อนแสง
อมิตาภาหรี่ตาลงพินิจพิเคราะห์ก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ใช่ฮะ นั่นคืองูทะเลยักษ์ฮะ เดิมเคยมีผู้พิทักษ์ทะเลสาบหน้าตาแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็คงไม่มีแล้วฮะ”
อมิตาภากระดกลิ้น ก่อนจะถามเพิ่ม
“แล้วมีเรื่องอะไรกันฮะ? ถึงได้รีบกันมาเช้าขนาดนี้ฮะ?”
การรีบร้อนกลับมาทำให้อมิตาภารับรู้ได้ว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่าง
เฟลิซีก้าวเดินออกมาตอบคำถามเจ้าแรคคูน
“มีบางอย่างเกิดขึ้นที่วังจอมมารทำให้พวกเราต้องรีบกลับไป นั่นทำให้พวกเรารีบกลับมาทีนี้เพื่อรับตัวกัมมะและดาฟเน่ พวกเราต้องขอโทษด้วย”
“ฮะ? กลับวังจอมมารหรือฮะ? แล้วของวิเศษที่สั่งอมิตาภาไว้ละฮะ?”
อุปกรณ์ทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน
คารัคกระพริบตาถามอย่างสงสัย
“หืม นี่แรคคูน แกไม่มีบริการส่งสินค้าหรอกหรือ?”
“จะบ้ารึเปล่าฮะ! อมิตาภาไม่อาจตรัสรู้ว่าจะมารับของกันเมื่อไรหรอกนะฮะ และอมิตาภาก็ไม่คิดจะส่งสินค้าอะไรนั่นด้วยฮะ”
อมิตาภาเป็นถึงช่างฝีมืออันดับหนึ่ง บริการส่งสินค้าเรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน
คารัคยิ้มออกมาราวกับทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่วางไว้
“ถ้าอย่างนั้นก็มากับพวกเราสิ?”
“ฮะ?”
“แกบอกว่าต้องคอยปกป้องแสงสุดท้ายใช่มั้ย? แทนที่จะมาหลบอุดอู้อยู่ในที่แบบนี้สู้ไปกับพวกเราซะจะดีกว่า ไม่มีที่ปลอดภัยมากไปกว่าวังจอมมารอีกแล้ว”
คารัคแอบส่งสายตาให้ดาฟเน่ระหว่างที่พูด นางเข้าใจและรีบพูดเสริมในทันที
“เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย อมิตาภาไม่คิดจะมากับพวกเราหรือ”
“บ้าบอที่สุดฮะ! เป็นไปไม่ได้หรอกฮะ! นี่พูดเรื่องอะไรกันอยู่ฮะ?”
อมิตาภาหรี่ตาอย่างไม่ชอบใจพลางบ่นโวยวาย แต่ดาฟเน่ที่อยู่กับเจ้าแรคคูนมาได้สองวันกลับแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยและกล่าวออกมาอย่างผิดหวัง
“ฉันอยากอยู่กับอมิตาภานานกว่านี้ แต่เหมือนอมิตาภาจะไม่ต้องการสินะ?”
นี่เป็นการล่อลวงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ได้ผลเกินคาด
อินกองและซิลวานมองไปยังอมิตาภาอย่างคาดหวัง และผลลัพท์ก็ไม่ต่างจากที่คิด
“เอ่อ เรื่องนั้น… ”
กลยุทธเกือบจะลุล่วงแล้ว เหลือเพียงต้องกระตุ้นอีกเล็กน้อย เฟลิซีรีบพูดเสริมต่อ
“ฉันก็อยากอยู่กับอมิตาภาอีกซักพักเหมือนกัน เคทลินละว่าไง?”
“ใช่แล้วนั่น… อมิตาภาสุดยอดมาก!”
คำว่า ‘สุดยอด’ ของเคทลินแสดงผลออกมาแทบจะทันที อมิตาภากอดอกใช้ความคิดอย่างลังเล
ทว่าความดื้อรั้นของอมิตาภาไม่สามารถถูกทำลายลงได้ง่าย อมิตาภาตัดใจกระโดดลงจากอ้อมกอดของดาฟเน่
“ไม่ฮะ! อมิตาภาจะไม่ยอมโดนหลอกอีกแล้วฮะ!”
ท่าทีที่แสดงถึงความเด็ดขาด เมื่อแผนการไม่สำเร็จดาฟเน่จึงดึงเอาแผนสำรองออกมาใช้
“เหมือนอมิตาภาเคยบอกว่าอยากจะปรับแต่งของวิเศษขององค์ชายเก้าใช่มั้ย?”
“หืม? พูดเรื่องอะไรหรือดาฟเน่?”
อินกองถามขึ้นอย่างประหลาดใจ ดาฟเน่พูอธิบายต่อ
“ของวิเศษเหล่านี้ล้วนอยู่ในสภาพดี แต่มันยังไม่ได้รับการปรับแต่งให้ตรงกับผู้ใช้เพคะ อมิตาภาเคยกล่าวไว้ว่าต้องการจะปรับแต่งของวิเศษเหล่านี้เพคะ”
แน่นอนว่าของวิเศษที่ดาฟเน่กล่าวถึงคือมรดกที่สืบทอดจากพญามังกร
อินกองรีบหันไปมองอมิตาภาทันที
“อมิตาภา?”
“ไม่ฮะ! อย่าพยายามเลยฮะ!”
การปรับแต่งของวิเศษจากพญามังกรเรียกได้ว่าเป็นข้อเสนออันน่าเย้ายวนสำหรับช่างฝีมือ
อินกองจ้องมองอมิตาภาสักครู่ก่อนจะกล่าวออกมา
“รอตรงนี้สักครู่นะ”
อินกองเดินเข้าไปในวัด เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
ทันทีที่อินกองเดินกลับออกมา อมิตาภาก็กระโดดโวยวาย ใบหน้าของเจ้าแรคคูนดูประหลาดใจพลางมองไปยังภายในวัด
“ฮึก? อะไรนะฮะ?”
แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ใด ทว่าเหมือนอมิมตาภาได้รับคำตอบจากบางสิ่ง มันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองไปยังอินกองอย่างโกรธแค้น
“แก! แกเข้าไปทำอะไรกับแสงสุดท้าย? ทำไมแสงสุดท้ายถึงบอกให้อมิตาภาติดตามแก?”
อมิตาภาใช้หางฟาดพื้นอย่างรุนแรงกว่าที่ผ่านมา
อินกองหัวเราะอย่างสบายใจก่อนแล้วถามกลับ
“ตกลง อมิตาภาจะมากับพวกเราไหม?”
“ไอ้… เฮ้อ… ช่วยไม่ได้ฮะ”
หรือก็คือเป็นคำสั่งจากแสงสุดท้าย
ภายนอกอาจดูผิวเผินว่าเป็นผู้ติดตาม แต่แท้จริงแล้วเรียกได้ว่าอมิตาภาเป็นสาวกของแสงสุดท้าย ผู้เคารพบูชาแสงสุดท้าย
อมิตาภาถอนหายใจออกมาอย่างยาวนาน
“ต้องเตรียมการเพื่อเคลื่อนย้ายแสงสุดท้ายอีกสักพักเลยฮะ การถอนรากยังไม่สำเร็จดีนัก กว่าจะเดินทางได้คงราวเที่ยววันฮะ”
“เข้าใจแล้ว ถือเป็นเวลาที่ให้เหล่าลูกเรือพักผ่อนไปด้วยเลยละกัน”
พวกลูกเรือต่างควบคุมเรือเหาะมาทั้งคืน ทำให้ยังไม่มีใครได้พักผ่อน เวลาจนถึงเที่ยงวันเรียกได้ว่าประจวบเหมาะ
หลังจากที่ทั้งหมดตกลงกันเรียบร้อย ซิลวานก็ก้าวเข้าหาอมิตาภา เขารับรู้ว่าสมาชิกต่างได้รับของวิเศษตนละชิ้น
“ขอประทานโทษนะครับอมิตาภา กระผมก็… ”
“ฮะ? ทำไม? หือ? มีอะไรรึไง?”
ความโกรธของอมิตาภาปะทุขึ้นอีกครั้งและนั่นทำให้ซิลวานก้าวถอยในทันที
“อ่า ไม่มีอะไรครับ”
อมิตาภาเป็นถึงสหายของปราชญ์ดาบ นั่นทำให้ซิลวานเคารพยำเกรง
“ร่าเริงเข้าไว้”
คารัคตบไหล่ซิลวานอีกครั้ง และซิลวานก็พยักหน้ารับอย่างยอมแพ้
&
เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน…
ทั้งหมดเตรียมตัวกันเรียบร้อย อมิตาภาเดินออกมาด้านนอกวัดพลางใช้หางตบพื้น
“ห้ามหัวเราะฮะ! ห้ามเด็ดขาดเลยฮะ!”
อมิตาภาแบกกล่องไม้ไว้บนหลังราวกับกระเป๋าสะพาย มีอักขระบางอย่างสลักเอาไว้แต่มันกลับเพิ่มความน่ารักให้กับเจ้าแรคคูน
“แรคคูนสะพายกระเป๋าน่ารักที่สุด”
เคทลินพูดโพล่งขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกต่างพยักหน้าเห็นด้วย
อินกองพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้พลางถาม
“อมิตาภา แสงสุดท้ายอยู่ในกล่องนั่นสินะ?”
“ถูกต้องฮะ เพราะงั้นคุ้มกันอมิตาภาดีๆด้วยฮะ”
อมิตาภาพูดจบก็กระโดดขึ้นเรือเหาะในทันที
สมาชิกทั้งหมดกล่าวอำลาคาฟร่าแล้วออกเดินทาง
เพลิงมังกรทมิฬกางใบเรือขึ้นแล้วลอยลำ หลังจากปลอบอมิตาภาที่ยังคงโวยวายอย่างไม่ชอบใจ เฟลิซีก็เดินเข้าไปถามไถ่ซิลวาน
แม้การแสดงออกของนางจะบ่งบอกอีกอย่าง แท้จริงทั้งเฟลิซีและซิลวานต่างรักใคร่สนิทสนมกันดี ผู้อื่นอาจจะเห็นซิลวานดูปกติแต่นางรับรู้ได้ว่าซิลวานดูผิดแปลกไป
“ซิลวาน ท่าทางแบบนั้นหมายความว่าไง?”
ซิลวานพยายามกลบเกลื่อนแต่ก็ไม่เป็นผล เขามองไปยังสถานที่อันห่างไกลพร้อมยิ้มแห้งแห้งออกมา
“เดี๋ยวเราก็คงได้เจอกับคริสต์แล้ว”
เป็นการพบหน้ากันของทั้งสองหลังจากที่ห่างกันมาหลายปี
เพลิงมังกรทมิฬล่องลอยไปในท้องฟ้า จุดหมายก็คือพระราชวังของเหล่าไลแคนโทรป
แผ่นดินของราชินีเอเลน มูนไลท์ และเจ้าชายลำดับที่เจ็ดคริสต์ มูนไลท์