ตอนเที่ยง เป็นเวลาที่ทุกคนรับประทานอาหารร่วมกัน
และแน่นอน หันจื่ออี้และเลขาของเขาและสือมูเฉินนั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกัน ส่วนคนอื่นที่เหลือนั้น ก็นั่งกันตามอัธยาศัยกันทั้งหมด
หลานเสี่ยวถางพึ่งจะได้นั่งลงพร้อมกับหร่วนฉีเมื่อครู่นี้เอง ก็มองเห็นเฉินจื่อโร่วถือข้าวของเดินเข้ามาแล้ว การเคลื่อนไหวของเธอนั้นระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ท่าทางการเดินเหิน ก็ราวกับว่าพึ่งจะหัดเดิน เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อเด็กน้อย
ประจวบเหมาะกับที่เพื่อนร่วมโต๊ะรู้จักกับเฉินจื่อโร่วเข้าพอดี เมื่อเห็นเธอเดินช้ามากขนาดนี้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “จื่อโร่วจ๊ะ เธอเป็นอะไรไปน่ะ หรือว่าเมื่อวานว่ายน้ำแล้วขาได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ?”
เฉินจื่อโร่ววางถาดอาหารลง หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อยว่า “อันที่จริงแล้ว ฉันตั้งครรภ์แล้วน่ะ……” พูดไป เธอก็หันไปสบตามองหลานเสี่ยวถางด้วยความยั่วยุครั้งหนึ่ง
“ห๋า?!” เพื่อนร่วมบริษัทตกตะลึงก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “พึ่งจะตั้งครรภ์งั้นหรือจ๊ะ? เมื่อวานยังเห็นเธอว่ายน้ำอยู่เลยนี่น่า เธอไม่กลัว……”
สีหน้าของเฉินจื่อโร่วก็ดูหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว “ใช่จ้ะ ฉันก็พึ่งรู้เมื่อคืนวานนี้เหมือนกันจ้ะ โชคยังดีที่เจ้าหนูน้อยร่างกายแข็งแรงดี ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วหากเมื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ แล้วละก็ คงจะต้องรู้สึกผิดต่อพ่อของเขาแน่ ๆ เลย!”
เพื่อนร่วมงานรับรู้ว่าเฉินจื่อโร่วยังไม่ได้แต่งงาน เมื่อครู่นี้เธอเอ่ยถามขึ้นไปอย่างไม่ได้มีเจตนา ตอนนี้เห็นเฉินจื่อโร่วเอ่ยถึงขึ้นมาด้วยตนเองแล้ว ดังนั้นจึงถือโอกาสนี้เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “จื่อโร่วจ๊ะ ดูเธอสิ แต่งงานแล้วก็ไม่บอกไม่กล่าวกับพวกเราเลยนะเนี่ย!”
“ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือยังไม่ได้จัดงานนะจ๊ะ ดังนั้นก็เลยยังไม่สะดวกบอกน่ะ!” เฉินจื่อโร่วเอ่ยพูดไป ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปีติ “แต่ว่าเราพวกก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าเป็นเร็ว ๆ นี้แหละจ้ะ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเธอต้องเข้าร่วมด้วยนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วสามีของเธอก็คือ……” เพื่อนร่วมงานสบตามองไปยังโต๊ะของสือเพ่ยหลินด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หรือว่าจะเป็นท่านประธานสืองั้นหรือจ๊ะ?”
เฉินจื่อโร่วพยักหน้าหงึกหงัก บนใบหน้าฉายประกายความเขินอายและความสุข
“ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีด้วยนะจ๊ะ!” เพื่อนร่วมบริษัทเอ่ยขึ้นมาต่อ ก่อนจะทำท่าทางหนึ่งออกมาให้เห็น “ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราก็ต้องเรียกเธอว่าเถ้าแก่เนี้ยแล้วงั้นสิ?”
เฉินจื่อโร่วส่งเสียงออกมาอย่างถ่อมตนครั้งหนึ่ง “อย่าพึ่งบอกกับคนอื่นก่อนนะ พวกเราวางแผนเอาไว้ว่าจะเก็บเรื่องการแต่งงานเป็นความลับเอาไว้ก่อนสักระยะหนึ่งน่ะจ้ะ”
“อืมอืม ฉันไม่บอกคนอื่นหรอกจ้ะ แต่ว่านะมันสุดยอดไปเลย! ยินดีด้วยจริง ๆ นะจ๊ะ!” เพื่อนร่วมบริษัทเอ่ยขึ้น ก่อนจะมองเห็นว่าเฉินจื่อโร่วหยิบน้ำผลไม้มาด้วย จึงรีบเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “จื่อโร่วจ้ะ เธอตั้งครรภ์ควรที่จะบำรุงเสียหน่อย ฉันจะไปหยิบนมอุ่น ๆ มาให้เธอเองจ้ะ!” พูดไป ก็รีบกุลีกุจอลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปแล้ว
เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานคนนั้นเดินออกไปแล้ว เฉินจื่อโร่วขยับเข้าไปใกล้กับหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “หลานเสี่ยวถาง พี่ดูสิคะ แม้กระทั่งพี่ที่ก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย ก็ไม่มีใครรู้ว่า ว่าพี่เคยเป็นเถ้าแก่เนี้ยคนก่อนของ Times Group เลย!”
หลานเสี่ยวถางหันหน้าไปมอง แล้วสบตามองเข้ากับสายตายั่วยุจองเฉินจื่อโร่ว ก่อนจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก “เธอแน่ใจนะ ว่าพวกเธอจดทะเบียนสมรสกันแล้วน่ะ?”
“หึ เมื่อคืนนี้พี่เพ่ยหลินเอาพูดออกมาเองกับปาก ว่าวันนี้กลับเข้าเมืองไปจะไปจดทะเบียนสมรสกัน!” เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางอวดดี “หลานเสี่ยวถาง ผู้ชายของพี่น่ะ ตอนนี้ฉันใช้อย่างดีเลยทีเดียวเชียว!”
“งั้นหรือ ในเมื่อใช้อย่างดี ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขออวยพรให้เธอใช้ไปตลอดชีวิตเลยแล้วกันนะ!” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้น “เธอตั้งครรภ์แล้วก็ต้องระมัดระวังหน่อยแล้วล่ะ สือเพ่ยหลินไม่ได้สนอกสนใจคนข้างกายมากขนาดนั้น หากมาเห็นร่างกายของเธอที่แปรเปลี่ยนเป็นอ้วนท้วนเดินท้องโย้แล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถให้เธอได้ใช้ต่อไปอีกหรือเปล่านะ ฉันละกังวลแทนเธอเลยจริง ๆ นะเนี่ย!”
สีหน้าของเฉินจื่อโร่วแข็งค้าง อยากที่จะเอ่ยคัดค้านอะไรออกไป แต่ทว่าในเวลานี้ เพื่อนร่วมบริษัทคนนั้นเดินกลับมาหาแล้ว เธอจึงรีบกักเก็บสีหน้าดุร้ายในทันที ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนอีกครั้ง
ทุกคนร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน หลังจากที่พักผ่อนแล้วถ่ายภาพร่วมกันแล้ว หลานเสี่ยวถางก็นั่งรถบัสของบริษัทซอฟต์แวร์กลับไปด้วย แล้วกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทซอฟต์แวร์
ในตอนที่เธอตั้งใจที่จะจากไปแล้วนั้นเอง ก็เห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่แผนกฝ่ายบุคคลเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเธอว่า “ขอโทษนะคะ คุณหลานเสี่ยวถางหรือเปล่าคะ?”
เธอพยักหน้าขึ้นลง ก่อนที่ฝ่ายบุคคลจะเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “เชิญคุณตามพวกเราไปที่ห้องทำงานหน่อยค่ะ เพื่อยืนยันเกี่ยวกับสัญญาที่จะเก็บเป็นความลับในตอนนั้น เป็นเพราะว่าเราพบว่ามีบางส่วนที่ยังไม่ได้เซ็นชื่อน่ะค่ะ”
หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “ค่ะ”
เธอเดินตามขึ้นไป ก่อนจะเซ็นชื่อในจุดที่ตกค้างเอาไว้ ในตอนที่กำลังจะจากไปนั้นเอง ก็เห็นหันจื่ออี้เดินเข้าห้องประชุมมาแล้ว
เขาพูดคุยอะไรบางอย่างกับฝ่ายบุคคล ฝ่ายบุคคลจึงจากไปแล้ว ภายในตัวห้องจึงเหลือเพียงแค่หันจื่ออี้และหลานเสี่ยวถางสองคนเท่านั้น
หลานเสี่ยวถางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธอหันไปยิ้มให้เขา “ฉันเซ็นชื่อเสร็จแล้ว ควรจะกลับได้แล้ว”
“เสี่ยวถางครับ” หันจื่ออี้เรียกหยุดเธอเอาไว้ “ฉันตั้งใจมาหาเธอนะ”
หลานเสี่ยวถางชะงักฝีเท้าอยู่ครู่หนึ่ง “มีเรื่องอะไรงั้นหรือคะ?”
“เกี่ยวกับสือมูเฉิน” หันจื่ออี้พูดไป ก่อนจะแปรเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อยากจะดื่มอะไรหน่อยไหม?”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้น “ฉันเป็นพนักงาน มีอย่างที่ไหนให้เถ้าแก่มารินน้ำให้พนักงานกันละคะ?”
“เสี่ยวถาง เธอตั้งใจที่จะเว้นระยะห่างกับฉันงั้นหรือ?” หันจื่ออี้พูดไป ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงบานหน้าต่าง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เธอเดินมานี่สิ เรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอ เป็นเรื่องสำคัญนะ”
หลานเสี่ยวถางทำได้เพียงแค่เดินเข้าไปหา แล้วยืนที่หัวไหล่ทางด้านข้างของหันจื่ออี้
เขาหลุบตามองเธอ ก่อนจะหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนที่เธออยู่ม.ห้า รู้สึกเหมือนกับว่าเตี้ยกว่าตอนนี้เล็กน้อยนะเนี่ย? ฉันจำได้ว่าในตอนนั้น เธอพึ่งจะสูงเท่าหัวไหล่ของฉันเองนะ”
หลานเสี่ยวถางไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถลอบคาดเดาได้ว่าหันจื่ออี้อาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องในบ้านของเขา เขาถึงจากไปโดยไม่ล่ำลากันแบบนี้ แต่ทว่า ตอนนี้เธอแต่งงานแล้ว มีความสัมผัสลึกซึ้งกับสือมูเฉินแล้ว ย่อม ย่อมไม่สามารถเป็นอะไรกับหันจื่ออี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“เรื่องสำคัญที่คุณบอกคือเรื่องอะไรงั้นหรือคะ?” เธอเอ่ยถามขึ้นมาโดยตรง
นัยน์ตาของหันจื่ออี้เข้มขึ้นเล็กน้อย เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ได้ ฉันจะไม่เอ่ยถึงเรื่องอีกแล้ว เสี่ยวถาง เมื่อวานฉันได้คิดไตร่ตรองอย่างละเอียดดูแล้ว สือมูเฉินแต่งงานกับเธอ ต้องมีความคิดที่ไม่ง่ายแน่ ๆ”
หลานเสี่ยวถางพลันชะงักไปอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณรู้ไหมคะว่าในตอนที่เขาแต่งงานกับฉันนั้น ฉันมีสภาพเป็นอย่างไรน่ะ?”
เธอสบตามองทัศนียภาพภายนอกหน้าต่าง ราวกับว่ากำลังมองตนเองในตอนแรกผ่านทัศนียภาพเหล่านั้นอยู่
เธอยกยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากอย่างนึกขบขันให้กับตนเอง ภายในดวงตาก็เริ่มเปียกชื้นขึ้นมาแล้วเล็กน้อย “ในตอนนั้นเอง ฉันกลับบ้านแล้วค้นพบว่าสือเพ่ยหลินนอกใจ เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับ กลับกันกลับบีบบังคับให้ฉันหย่า คุณรู้ไหมคะ ฉันแต่งงานกับเขาสองปี สองปีก่อน เขาก็ประสบอุบัติเหตุ นอนติดเตียงขยับตัวไปไหนไม่ได้ เป็นฉันที่คอยดูแลเขาอยู่คนเดียว ในระยะเวลาสองปีนั้น กลับแปรเปลี่ยนให้นักศึกษามหาวิทยาลัยที่พึ่งจะจบการศึกษามาและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แปรเปลี่ยนเป็นพยาบาลแก่ ๆ ไปได้อย่างสำเร็จ เหมือนกับพยาบาลแก่ ๆ คนหนึ่งเลยล่ะ”
หันจื่ออี้สบตามองเธออย่างตกตะลึง แผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของเขาในตอนนี้ออกมา
“เป็นเพราะว่าฉันต้องดูแลเขา ไม่เคยแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่เคยตามกระแสนิยม นึกว่าในที่สุดเขาก็สามารถเดินได้แล้ว ฉันจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ แต่ทว่าเป็นรูปลักษณ์ภายนอกจึงทำให้เขารังเกียจ ใช้ข้อตกลงกับตระกูลหลานเพื่อบีบบังคับฉันให้หย่า แล้วเตะฉันออกจากบ้าน” หลานเสี่ยวถางหันศีรษะกลับไป แล้วสบตามองหันจื่ออี้ “ก็เป็นในตอนนั้นเอง ที่สือมูเฉินให้ฉันแต่งงานกับเขา คุณว่า ฉันที่ไม่มีอะไรเลย เขาจะตั้งใจเอาอะไรจากฉันกันละคะ?”
หันจื่ออี้คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบนี้ขึ้น ร่างของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะคว้าจับเข้าที่หัวไหล่ของหลานเสี่ยวถางเอาไว้ “ถางถางครับ ฉันไม่นึกเลยว่าจะเป็น……ถ้าหากในตอนแรกฉันรับรู้แล้วละก็ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะบีบบังคับฉัน ฉันก็จะไม่จากไปไหน เป็นฉันที่ไม่ดีเอง……”
“รุ่นพี่จื่ออี้คะ ที่ฉันจะบอกไม่ใช่ความหมายนี้นะคะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นมาว่า “ที่ฉันอยากจะบอกเลยก็คือ ที่ฉันพึ่งอธิบายเกี่ยวกับตัวฉันไปเมื่อครู่นี้ ไม่แน่ว่า ถ้าหากคุณกลับมาดูเร็วกว่านี้ขึ้นอีกสักหน่อย ก็ไม่แน่ว่าอาจจะรู้จักก็ได้นะคะ ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามที่สือมูเฉินแต่งงานกับฉัน ตอนนี้ ฉันก็ดีกว่าเมื่อก่อนขึ้นมามากแล้วละค่ะ อีกอย่างหนึ่งตอนนี้เขาก็ดีต่อฉันก็มาก ดังนั้นแล้ว คุณอย่ามาเสียเวลาและความตั้งใจกับฉันเลยค่ะ ฉันหวังว่าคุณจะหาแฟนสาวได้สักคน ลืมฉันไปเถอะนะคะ!”
“เสี่ยวถาง——” หันจื่ออี้ส่ายหน้า นัยน์ตาฉายประกายอ่อนแรง “ฉันจะลืมเธอได้อย่างไรกันครับ?”
เขาปล่อยเธอไป เบนสายตากลับไปมองโลกภายนอกหน้าต่างด้านล่าง นัยน์ตาแปรเปลี่ยนไปเป็นลุ่มลึกมากขึ้น “ฉันชอบเธอมาตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องในอนาคตที่จะอยู่ด้วยกันกับเธอ แทบจะแปรเปลี่ยนเป็นความมั่นใจและศรัทธา เธอจะให้ฉันเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน?”
เขาหลับตาลง “เพียงแต่ว่า หลังจากนี้ฉันจะไม่บีบบังคับเธอแล้วละ ฉันแค่อยากจะบอกว่า ถ้าหากว่าเธอใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขหรือว่าในตอนที่เธอต้องการความช่วยเหลือแล้วละก็ จำไว้เสมอนะครับ ฉันจะอยู่ที่หนิงเฉิง เธอสามารถติดต่อโทรศัพท์หาฉันได้ตลอดเวลาเลย แน่นอน ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขในทุก ๆ วัน ถึงแม้จะไม่ต้องการฉันก็ตาม ก็ถือเสียงว่าฉันกำลังยืนมองเธอจากหน้าบ้านของเธอเหมือนเมื่อก่อนก็ยังดี……”
หลานเสี่ยวถางเมื่อได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาดังนี้แล้ว ภายในหัวใจก็เริ่มมีความรู้สึกหลากหลายขึ้นมาเล็กน้อยในทันที
ถ้าหากว่าในตอนแรกเขาไม่ได้จากไปละก็ บางที ถึงแม้ว่าในตอนแรกพ่อแม่บุญธรรมของเธอจะบีบบังคับให้เธอแต่งงานกับสือเพ่ยหลิน ก็อาจจะมีจุดพลิกผันไหมนะ? ถ้าอย่างนั้นแล้ว เธอก็คงจะไม่ต้องประสบพบเจอกับสองปีแบบนั้น ในตอนนี้ เธอกับหันจื่ออี้ก็คงจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันแล้วใช่ไหม แม้กระทั่งมีเจ้าหนูตัวน้อยด้วยกันแล้วสินะ?
เพียงแต่ว่า ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดแปรผันแบบผิด ๆ มาเป็นแบบนี้แล้ว ตอนนี้ ก็กลับไปเป็นเรียบง่ายแบบเมื่อก่อนไม่ง่ายเสียแล้วละ
ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะเอ่ยด้วยกันอยู่เล็กน้อย ในตอนที่หลานเสี่ยวถางจะเดินจากไปแล้วนั้นเอง หันจื่ออี้จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ว่านะ เสี่ยวถาง เธอต้องเรียนรู้ที่จะป้องกันตนเองเอาไว้หน่อยแล้วละ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมสือมูเฉินถึงแต่งงานกับเธอ แต่ทว่า ฉันตรวจสอบข้อมูลของเขาดูแล้ว เขาถูกแย่งชิงหุ้นไปตั้งแต่เด็ก ในตอนเด็กบางทีอาจจะยังไม่ได้สนอกสนใจอะไรนัก แต่ทว่าโตมาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะยึดถือเป็นเรื่องเป็นราวเอาไว้ได้ทั้งหมดหรอกนะ ไม่มีทางที่จะไม่คิดที่จะเอาแย่งชิงกลับคืนมาอย่างแน่นอน”
เขาเอ่ยขึ้นต่อว่า “เขาสามารถรีบเอ่ยขอแต่งงานกับเธอได้ทันทีหลังจากในตอนที่เธอกับสือเพ่ยหลินหย่าขาดจากแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาก็ต้องคิดไตร่ตรองเอาไว้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว บางทีไม่แน่ว่าบนตัวเธอก็อาจจะมีอะไรบางอย่างที่เขาต้องการก็ได้นะ อีกอย่างหนึ่งเลย เขาแต่งงานกับเธอคงจะต้องมีแผนการอะไรเอาไว้แน่ นั่นก็คือ การประกาศสงครามกับสือเพ่ยหลิน”
หลานเสี่ยวถางพลันชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสบตามองไปที่หันจื่ออี้ด้วยความตกใจและสับสน
“ตอนนี้สือมูเฉินคงจะยังไม่ได้บอกกับสือเพ่ยหลิน ว่าพวกเธอแต่งงานกันแล้วใช่ไหมละ?” หันจื่ออี้เอ่ยขึ้นมาต่อว่า “เกรงว่าหลังจากที่เขาป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปแล้ว ก็เป็นในตอนที่เขาแบไพ่ที่อยู่ในมือให้กับสือเพ่ยหลินสองพ่อลูกดู เธอคิดว่า ถ้าหากว่าเขาเกลียดที่สือมูชิงแย่งชิงหุ้นของเขาไปจริง ๆ แล้วละก็ ถ้าอย่างนั้นแล้ว เขาแย่งชิงผู้หญิงของสือเพ่ยหลินมา เรื่องนี้ ก็ถือเป็นการตบหน้าสองพ่อลูกนั่นเข้าอย่างจังเลยไม่ใช่หรือ? สือเพ่ยหลินในอนาคต ถ้าคิดถึงจุดนี้ในทุก ๆ วันแล้ว เกรงว่าจะต้องทำให้เขาเจ็บใจแน่ ๆ อีกอย่าง ถ้าหากว่าสือมูเฉินได้รับชัยชนะจากการแย่งชิงหุ้นมาแล้วละก็ ถ้าจะให้เอ่ยถึงสือเพ่ยหลินแล้ว ย่อมต้องเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอยู่แล้ว”
หลานเสี่ยวถางได้ฟังเขาวิเคราะห์อธิบายอย่างละเอียด รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของเธอเริ่มหนักอึ้ง เดิมทีเธอไม่อยากคิดที่จะไปเชื่อ แต่ทว่า กลับรู้สึกว่าที่หันจื่ออี้เอ่ยขึ้นมานั้นก็สมเหตุสมผลอยู่เล็กน้อย
แต่ทว่า หัวใจของเธอเต้นอย่างรวดเร็ว ในสมองจับเหตุผลอะไรได้อย่างหนึ่ง “ถึงแม้ว่าจะเป็นการแก้แค้นก็ตาม เขาก็คงจะไม่คุ้มที่จะทำให้สือเพ่ยหลินเจ็บใจ โดยการมาแต่งงานกับฉันแน่ ๆ! เขาไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะทำให้สือเพ่ยหลินต้องเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วเสียสละความสุขของตนเองหรอกค่ะ!”
“ดังนั้นแล้ว ฉันคิดว่า บนตัวเธออาจจะมีของที่เขายังคงต้องการอยู่” หันจื่ออี้พูดไป ก่อนที่สีหน้าบนใบหน้าจะอ่อนลงเล็กน้อย “เสี่ยวถาง ฉันพูดแบบนี้ ไม่ได้เป็นการยุ่งแยงตะแคงรั่วนะ แต่ทว่าก็หวังเพียงแต่ว่าการวิเคราะห์ของฉันจะผิดพลาด แต่ทว่า ฉันกลัวว่าเธอจะใสบริสุทธิ์เกินไป แล้วถูกหลอกลวงเอาแล้ว รู้ใช่ไหม?”
เมื่อเห็นหลานเสี่ยวถางไม่ได้เอ่ยอะไร หันจื่ออี้ก็เอ่ยขึ้นมาต่ออีกว่า “สรุปแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่ ก็ต้องคิดไตร่ตรองดูให้ดี ๆ นะ หลังจากนั้นก็ค่อยตัดสินใจใหม่ สือมูเฉินเป็นคนที่ไม่เปิดเผยตัวตนของตนเอง เธออยู่กับเขา อย่าทำให้หัวใจของตนเองหล่นหายไปนะ”