บทที่ 58 เป็นเธอที่ช่วยให้แกพ้นจากเคราะห์ร้าย

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

หลานเสี่ยวถางกลับมาที่บ้านของตนเองในช่วงบ่าย สือมูเฉินยังไม่ได้กลับมา

เมื่อหวนนึกถึงคำพูดเหล่านั้นของหันจื่ออี้ ภายในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนวุ่นวายเล็กน้อย

จะไม่พูดก็ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเธอไม่อยากที่จะถูกหันจื่ออี้ทำให้รบกวน แต่ทว่า เรื่องนั้นที่เขาวิเคราะห์ มันกลับส่งผลกระทบต่อเธอเข้าอย่างจังเลยจริง ๆ

ที่ผ่านมา เธอรู้สึกว่า บนโลกใบนี้ไม่มีรักที่จะไม่มีเหตุมีผล แล้วก็ไม่มีความเกลียดชังที่ไม่มีเหตุมีผลเฉกเช่นเดียวกัน

ในเมื่อมันเป็นรักแรกพบ ก็เต็มไปด้วยพื้นฐานขององค์ประกอบหลายอย่าง เธอในตอนแรกนั้น สือมูเฉินจะมองเห็นรักแรกพบได้อย่างไรกัน?

แต่ทว่า เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเธอไม่มีอะไรเลย เขาก็ดีต่อเธอเป็นอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นแล้ว……

ในตอนที่กำลังครุ่นคิดอย่างสับสนวุ่นวายอยู่นั้นเอง ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก หลานเสี่ยวถางเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นสือมูเฉินเดินเข้ามาแล้ว

เวลาเขาอยู่บ้านก็เป็นคนที่เรียบง่ายมาก ๆ ไม่ชอบที่จะต้องโดนพันธนาการเอาไว้ ดังนั้นแล้ว เมื่อเดินจากโถงทางด้านเข้ามาในห้องรับแขกในระยะเวลาอันสั้นแล้ว เขาก็ดึงเนกไทออก ก่อนจะโยนไปทางด้านข้าง อีกทั้งยังปลดกระดุมสองเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตออกอีกด้วย ก่อนจะเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่งอย่างวับ ๆ แวม ๆ

“ดูอะไรอยู่ครับ?” หาได้อยากนักที่สือมูเฉินจะเห็นหลานเสี่ยวถางนั่งดูโทรทัศน์ ดังนั้นแล้ว จึงเดินเข้าที่นั่งที่ทางด้านข้างของเธอ ก่อนจะนำแขนขึ้นไปคล้องเอาไว้ที่หัวไหล่ของเธอด้วยความเคยชิน

วันนี้หลานเสี่ยวถางกลับมา เดิมทีความรู้สึกภายในหัวใจก็สับสนและยุ่งเหยิง รู้สึกว่าอยู่บ้านคนเดียวรู้สึกเหงาหงอยเล็กน้อย ดังนั้นจึงเปิดโทรทัศน์ ในส่วนของกำลังฉายอะไรอยู่นั้น เดิมทีเธอก็ยังไม่รู้เลย

เมื่อได้ยินประโยคจากสือมูเฉิน เธอถึงจะรวบรวมความสนใจไปตรงกลางหน้าจอ

ในข่าวกับกำลังรายงานเกี่ยวกับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดอยู่ เป็นเพราะว่าหลานเสี่ยวถางเรียนเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ มีความสนอกสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินการนำเสนอจากโทรทัศน์ จึงอดไม่ได้ที่จะลืมเลือนความหงุดหงิดวุ่นวายในสมองก่อนหน้านี้ไปจนหมด ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสือมูเฉินว่า “บริษัทรายย่อยของ AllianceTechnology เขาเปิดตัวโทรศัพท์ใหม่อีกแล้วค่ะ!”

สือมูเฉินเลิกคิ้ว “อยากได้ไหมครับ ผมซื้อให้คุณเครื่องหนึ่งเอาไหมครับ?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้าไปมา “ในตอนที่พึ่งจะออกรุ่นใหม่มาปกติแล้วต้องแย่งชิงกัน ยุ่งยากมากเกินไปค่ะ อีกอย่าง โทรศัพท์ของฉันเครื่องนี้ก็ยังใช้งานได้ดีมากอยู่เลยนะคะ”

สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมากว่า “ไม่เป็นไรหรอก ผมสามารถแย่งซื้อมาได้ คุณชอบสีอะไรครับ?”

หลานเสี่ยวถางยังคงส่ายหน้า “รอให้โทรศัพท์เครื่องนี้ของฉันใช้งานไม่ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่าค่ะ ไม่สามารถสิ้นเปลืองมากได้หรอกนะคะ”

สือมูเฉินวาดแขน ก่อนจะดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด “ภรรยามัธยัสถ์มากขนาดนี้ เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีกันนะ?”

“ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้วสิคะ” หลานเสี่ยงถางเอ่ยขึ้น ก่อนจะเบนความสนใจไปในโทรทัศน์อีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พูดถึงบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยแล้ว ได้ยินมาว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็คือคุณ Jarvis ที่เป็นคนก่อตั้งแบรนด์ แต่ทว่า กลับเขาไม่เคยปรากฏตัวบนโทรทัศน์หรือสื่อเลย”

สือมูเฉินหลุบตามองเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างมีเลศนัยว่า “ทำไมครับ สนใจเขาหรือไง?”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “ใช่สิคะ คุณก็ทราบนี่คะว่าฉันเรียนเกี่ยวกับซอฟต์แวร์มา ดังนั้นถึงรับรู้ว่าในตอนแรกที่เขาตีตลาดนั้นมันยากมากขนาดไหน! คุ้นเคยกับตลาดต่างประเทศมาตั้งนานแล้ว แต่ทว่า สองสามปีมานี้เขาเริ่มจากศูนย์ แต่ทว่าในตอนนี้กลับสามารถดำเนินธุรกิจได้ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก บริษัททำกำไรได้ตั้งหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ เก่งกาจมากเลยจริงๆ!”

รอยยิ้มของสือมูเฉินเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย เขาสบตามองเธออย่างมีเลศนัย “เสี่ยวถางครับ คุณแสดงออกว่ายกย่องและเลื่อมใสเขามากขนาดนี้ ไม่กลัวว่าสามีของคุณจะหึงเข้าหรือไงกันครับ?”

หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา “แม้กระทั่งสัญชาติของเขา เขาอายุมากหรืออายุน้อยฉันยังไม่ทราบเลยค่ะ ก็เพียงแค่รู้สึกว่าเขาเก่งกาจมาก ๆ ก็เท่านั้นเอง มีอะไรให้น่าหึงหวงกันละคะ? จะว่าไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นคนพิเศษที่ไม่ปกติเหมือนคนอื่นมาก ๆ ก็ได้นะคะ!”

สือมูเฉินแทบจะสำลักออกมาทันที เขาเลิกคิ้วขึ้น “คนพิเศษที่ไม่ปกติเหมือนคนอื่นงั้นหรือ? คุณดูได้จากที่ไหนกันน่ะครับ?”

หลานเสี่ยวถางวิเคราะห์ให้เขาฟังว่า “คุณคิดดูสิคะ เป็นธรรมดาที่อัจฉริยะกับคนบ้าจะมีเส้นบาง ๆ กั้นเอาไว้อยู่ อีกอย่างนะคะ เขาก็ไม่เคยเปิดเผยใบหน้าให้ทุกคนได้รับรู้เลย ต้องเติบโตมาอย่างผิดปกติมาก ๆ แน่ ๆ เพียงแต่ว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันคิดว่าเขาโดดเด่นและเก่งกาจมาก ๆ หวังว่าบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยจะสามารถเติบโตไปได้เรื่อย ๆ ”

“คุณอยากเจอเขาไหมครับ?” สือมูเฉินเอ่ยขึ้น “ถ้าหากว่าในอนาคตมีโอกาสพบเจอเขาละครับ?”

หลานเสี่ยวถางกุลีกุจอพยักหน้าขึ้นลงทันที “ดีค่ะ ดีค่ะ!”

พึ่งจะเอ่ยจบไปได้ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็นึกภาพของสือมูเฉินที่ชื่นชอบหึงหวงอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาได้ในทันที เธอก็รีบเอ่ยชื่นชมออกไปทันทีว่า “ฉันก็แค่สงสัยก็เท่านั้นเองค่ะ คุณวางใจเถอะค่ะ ถ้าแม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มสุดหล่อก็ตามที ฉันก็จะไม่พูดคุยกับเขาเลยแม้แต่คำเดียวเลยนะคะ!”

“เด็กดี” สีหน้าของสือมูเฉินลึกซึ้งขึ้น “คุณจะต้องได้พบเจอเขาอย่างแน่นอนครับ”

หลานเสี่ยวถางเห็นเขาทำท่าราวกับแทบจะรู้จักคุณ Jarvis จริง ๆ เสียแล้ว เธอมีความรู้สึกอยากจะเอ่ยถามขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่าก็คิดได้ถึงความเป็นไปได้ว่าสือมูเฉินไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึงขึ้นมา ดังนั้นแล้ว ก็ทำได้เพียงแค่กลืนความสงสัยลงท้องไปเท่านั้น

ในเวลานี้ เฉินจื่อโร่วก็กลับเข้าห้องพักที่ตนเองเช่าเอาไว้แล้ว เดิมที เธอต้องการจะไปที่บ้านของสือเพ่ยหลิน แต่ทว่า เป็นเพราะว่าเรื่องของการตั้งครรภ์ เธอจึงต้องการที่จะโทรศัพท์สักหน่อย

ไม่นานนัก ชุยซื่อฮว๋าก็รับโทรศัพท์ เฉินจื่อโร่วกำโทรศัพท์ในมือแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ทางฝั่งคุณสะดวกที่รับโทรศัพท์หน่อยไหมคะ? ฉันมีเรื่องสำคัญจะพูดน่ะค่ะ”

ชุยซื่อฮว๋านั่งอยู่ในห้องทำงาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ได้ครับ คุณพูดมาเลย”

เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันตั้งครรภ์แล้วนะคะ”

ชุยซื่อฮว๋ารีบลุกขึ้นยืนจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ลูกของใครครับ?”

เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นต่อว่า “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ อีกอย่าง เรื่องนี้สือเพ่ยหลินก็ทราบเรียบร้อยแล้วนะคะ”

“ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วหรือยังครับ?” ชุยซื่อฮว๋าเอ่ยขึ้น

“ยังไม่ได้ไปค่ะ ฉันไม่กล้าไป กลัวว่าจะถูกคนอื่นจับได้” เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล

“คุณอยู่บ้านหรือเปล่าครับ?” ชุยซื่อฮว๋าหยิบกุญแจรถขึ้นมา “ผมจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนคุณเองครับ”

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เฉินจื่อโร่วดูผลตรวจเลือดที่ได้รับมา ภายในหัวใจก็สับสนวุ่นวายขึ้นมาทันที เธอหันไปเอ่ยกับชุยซื่อฮว๋าที่อยู่ทางด้านข้างว่า “ทำอย่างไรกันดีคะ? ถ้าหากว่าเด็กเป็นลูกของคุณขึ้นมา ถ้าคลอดออกมาแล้ว……”

“เรื่องของพวกเรา ไม่มีคนอื่นรู้ครับ อีกอย่างถ้าเด็กคลอดออกมา เติบโตขึ้นมากับใครก็จะคล้ายกับคนนั้น ดังนั้นแล้วไม่เป็นไรหรอกครับ” นัยน์ตาของชุยซื่อฮว๋าดูคาดเดาไม่ออกและสุขุมขึ้นอยู่มากโข ถ้าหากเด็กเป็นลูกของเขา ถ้าอย่างนั้นแล้ว เรื่องราวในอนาคตของตระกูลสือ ก็เป็นคนรุ่นหลังของเขาที่จะต้องรับช่วงต่อน่ะสิ!

“แต่ว่า——” เฉินจื่อโร่วยังคงมีท่าทางลังเลอยู่เล็กน้อย อันที่จริงแล้ว เมื่อก่อนเธอก็เคยคิด ว่าจะใช้เด็กเพื่อเป็นสะพานเข้าสู่ตระกูลสือ รอให้การแต่งงานเสร็จสรรพไปก่อน แล้วค่อยแสร้งทำเป็นหกล้มเพื่อจะให้แท้งเด็กออกมา แบบนี้แล้ว ก็คงจะไม่มีความเสี่ยงอะไรอีกต่อไปแล้ว

“จื่อโร่วครับ ผมเลือดกรุ๊ปโอ คุณลองดูว่าสือเพ่ยหลินเลือดกรุ๊ปอะไร ถ้าหากว่าเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นแล้วก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าหากไม่เหมือนกันแล้วละก็ พวกเราค่อยมาวิเคราะห์ลอกของเด็กกันอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน” นัยน์ตาของชุยซื่อฮว๋าเป็นประกายออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้ ยังไงก็ต้องคลอดออกมา!”

ร่างทั้งร่างของเฉินจื่อโร่วสั่นสะท้านเล็กน้อย “พวกเขาจะไม่เอาฉันถึงตายหรอกใช่ไหมคะ?”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกันครับ? มีใครที่ทานอิ่มแล้วขว้างทิ้งกัน ทำร้ายเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเหตุผลแค่นี้?” ชุยซื่อฮว๋าเอ่ยขึ้นต่อว่า “แต่ว่านะครับ หลังจากรอให้คลอดออกมาแล้ว คุณลอบนำดีเอ็นเอของผมไปตรวจสอบดูก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำเหมือนกันนะครับ อย่างน้อยในใจของคุณก็คงจะต้องคิดเอาไว้ได้อยู่แล้ว”

“ฉันก็ยังคงกลัวเล็กน้อยอยู่ดีนั่นแหละค่ะ……” เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นอย่างลังเล

ชุยซื่อฮว๋าดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด “ไม่ต้องกลัวนะครับ ในเมื่อคุณตั้งครรภ์แล้ว พวกเราก็ควรจะพบเจอหน้ากันให้น้อยลงหน่อย เรื่องทั้งหมดรอให้คุณได้ตบแต่งเข้าตระกูลสือก่อนแล้วค่อยว่ากันนะครับ” พูดไป เขาก็ประจบริมฝีปากจูบเธอ “คุณไม่ได้พูดเองไม่ใช่หรือครับว่า คุณอยากที่จะแต่งเข้าไปในตระกูลสือเร็ว ๆ น่ะ”

เมื่อเฉินจื่อโร่วได้ยินเข้าเอ่ยขึ้นมาดังนั้นแล้ว ทันใดนั้นเองก็หวนนึกถึงแผนการในตอนแรกเริ่มในทันที เธอพยักหน้า “อืม ฉันจะต้องแต่งเข้าไปให้ได้ค่ะ!”

ในตอนนั้นเอง สือเพ่ยหลินกำลังอยู่ในห้องทำงานของ Times Group ในขณะเดียวกันก็รู้สึกยุ่งเหยิงและสับสนเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

เมื่อก่อนเขาคิดอยู่เสมอเลยว่าต้องการที่จะให้เฉินจื่อโร่วตั้งครรภ์ แต่ทว่า พอเธอตั้งครรภ์จริง ๆ แล้ว เขากลับไม่ได้มีความปรารถนาที่จะอยากแต่งงานกับเธอเลย แทบจะ หมดความสนใจอะไรกับเธอไปแล้วด้วย

ตอนนี้เมื่อมามองย้อนมองกลับไปดูแล้ว เฉินจื่อโร่วพึ่งจะได้เข้ามาเป็นเลขาของเขาได้ในวันที่สอง เขาและเธอก็ขึ้นเตียงด้วยกันเสียแล้ว เหตุผลมันคืออะไรกันแน่นะ?

แทบจะ เป็นเพราะว่าในตอนนั้นหลานเสี่ยวถางต่อหน้าเขาก็ไม่ต่างอะไรจากคุณป้าจอมขี้บ่นเลย เขาเห็นเธอไม่แต่งเนื้อแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าราวกับเป็นภรรยาในชนบทในยุคแปดศูนย์ ก็รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเสียแล้ว

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ในตอนที่ห้องทำงานได้เห็นสาวสวยที่ยังเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งอยู่ ผู้หญิงคนนั้นเองก็ลอบส่งสายตาให้กับเขาเองด้วย เขากลับตอบแทนน้ำใจของหลานเสี่ยวถาง ด้วยการมีอะไรกันกับเฉินจื่อโร่ว

หลังจากนั้น ก็ยิ่งตัวติดกันอย่างกับกาวกับเฉินจื่อโร่ว กลับบ้านดึกทุกวัน บนร่างกายยังมีกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนอื่นติดอยู่ แต่ทว่า หลานเสี่ยวถางกลับทำเป็นไม่รู้เรื่องและไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเลย มีบางครั้งที่เขาก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า ยายผู้หญิงโง่คนนี้เสแสร้งแกล้งทำหรือเปล่ากันนะ?

จนกระทั่ง เธอจับชู้ได้คาเตียง เขาถึงได้รู้ว่า จิตใจโหดร้ายนั้น สุดท้ายแล้วก็แทบจะหาที่ระบายออกมาเจอแล้ว

ตอนนี้ ได้ระบายออกไปหมดแล้ว เฉินจื่อโร่วเขาก็ไม่ได้สนอกสนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว

เพียงแต่ว่า ในเมื่อเธอตั้งครรภ์ลูกของเขาแล้ว ความสัมพันธ์ใกล้ชิดในตอนแรกมันก็จริงอยู่หรอก แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนในแล้ว แทบจะ……

ในตอนนั้นเอง ประตูห้องทำงานของสือเพ่ยหลินถูกเคาะอยู่ครั้งหนึ่ง ตามมาด้วยถูกเปิดออก เขามองเห็นสือมูชิง ดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “พ่อครับ พ่อมาแล้วหรือครับ”

สือมูชิงพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟา ขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “มีเรื่องอะไรในใจหรือไง?”

สือเพ่ยหลินพยักหน้า ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “จื่อโร่วตั้งครรภ์แล้วน่ะครับ”

ปลายนิ้วของสือมูชิงที่คีบบุหรี่อยู่ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วแกวางแผนเอาไว้อย่างจะจัดการอย่างไร?”

สือเพ่ยหลินเอ่ยขึ้นมาว่า “เด็กอย่างไรก็ต้องการอยู่แล้วครับ แต่ทว่าเรื่องจะแต่งหรือไม่แต่งงานผมยังตัดสินใจไม่ได้ครับ”

สือมูชิงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ในตอนแรกไม่ได้อยากที่จะแต่งกับผู้หญิงคนนี้มากนั้นใม่ใช่หรือไง ตอนนี้กลับลำเสียแล้ว อีกทั้งยังลังเลด้วยงั้นหรือ?”

“ตอนแรกคิดแค่ว่าอยากจะหย่าครับ” สือเพ่ยหลินนึกถึงหลานเสี่ยวถาง ก่อนที่จะขมวดคิ้วแน่น ภายในหัวใจรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแต่ความหงุดหงิด

“อันที่จริง เรื่องการแต่งงานของแกกับหลานเสี่ยวถางน่ะ ในตอนแรกฉันก็ไม่เห็นด้วยมากนักหรอกนะ” สือมูชิงเอ่ยขึ้นต่อว่า “แต่ทว่าพวกเราทำธุรกิจ มีบางครั้งที่จะไม่เชื่อในเรื่องความเชื่อเลยก็ไม่ได้”

สือเพ่ยหลินรู้สึกสงสัยมาโดยตลอดว่าทำไมพ่อแม่ของเขาถึงให้เขาแต่งงานกับหลานเสี่ยวถาง มาตอนนี้สือมูชิงเอ่ยขึ้นมาแล้ว เขาก็รีบเอ่ยถามขึ้นมาในทันทีเลยว่า “ท้ายที่สุดแล้วคือเรื่องอะไรงั้นหรือครับ?”

“ตอนนี้เรื่องราวกับจบลงแล้ว พวกเราจะไม่บอกแกก็ไม่ได้สินะ” สือมูชิงเอ่ยขึ้นมาว่า “ในตอนนั้นฉันวางแผนเอาไว้ว่าจะให้แกกับตระกูลจินดองกัน เป็นเพราะว่าตระกูลหลานตอนนี้เสื่อมถอยลงไปมาก ถึงจะมีความสัมพันธ์อันดี แต่ทว่าก็เป็นแค่รุ่นก่อนหน้านี้ หลังจากที่ปู่ของแกไม่อยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นอันยกเลิกไปแล้ว แต่ทว่า เป็นในตอนเมื่อสองก่อนปีก่อนนั้นเอง ก่อนที่แกจะเกิดเรื่องขึ้นประมาณครึ่งเดือน ฉันกับแม่ของแกไปสวดขอพรที่วัดวัดหนึ่งมา ก็เลยไปพบเจอกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง”

สือเพ่ยหลินไม่เคยชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งยโสว่า “คงจะไม่ใช่ว่าพระสงฆ์รู้นั้นบอกว่าผมกับหลานเสี่ยวถางมีบุพเพสันนิวาสอะไรกันหรอกใช่ไหมครับ?”

“ไม่ใช่หรอก” สือมูชิงเอ่ยขึ้นมาว่า “หลังจากที่พระสงฆ์ดูฉันแล้ว บอกว่าคนในบ้านของฉันอีกครึ่งเดือนให้หลังจะประสบเคราะห์ร้ายอย่างหนึ่ง มีเพียงแค่คนที่มีวาสนาต่อกันเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้พ้นเคราะห์ไปได้ อีกอย่าง พระสงฆ์ยังเอ่ยวันเกิดของคนในครอบครัวออกมา ประจวบเหมาะว่าเป็นแกพอดี”

สือเพ่ยหลินส่ายหน้า “เหอะ พระสงฆ์อะไรกันครับ ไม่แน่ว่าอาจจะไปสืบวันเกิดของผมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ได้นะครับ ในเมื่อผมก็ถือเป็นบุคคลสาธารณะด้วย สื่อต่าง ๆ ก็รู้วันเกิดผมอยู่แล้วแหละ”

“ตอนแรกพวกเราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ทว่า ได้ยินมาว่าท่านลึกลับซับซ้อนมาก อีกอย่างก็ไม่เอาเงินด้วย อีกทั้งพวกเขายังให้วันเดือนปีเกิดของเนื้อคู่แกมาด้วย หลังจากที่พวกเราได้ไปตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าเป็นวันเดือนปีเกิดของหลานเสี่ยวถาง” สือมูชิงเอ่ยขึ้นต่อว่า “พวกเราเดิมทีก็จำยอมมีความคิดที่จะเชื่อถือดู เลยให้แกกับหลานเสี่ยวถางหมั้นหมายกัน รอกระทั่งครึ่งเดือนผ่านไปแล้ว ถ้าหากว่าเป็นปกติดี ถ้าอย่างนั้นแล้วการหมั้นหมายกันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร”

สือเพ่ยหลินในตอนนี้ เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว “ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ผมก็ประสบอุบัติเหตุ เธอยินยอมที่จะแต่งงานกับผม นี่ก็เป็นความต้องการของพวกคุณพ่อด้วยหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ เป็นเธอที่ยินยอมเอง” สือมูชิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ที่ท่านพระสงฆ์รูปนั้นพูดขึ้นก็ไม่ผิดไปเลยจริง ๆ แกดูสิ หลังจากที่เธอแต่งงานกับเธอแล้ว เดิมทีที่หมอบอกว่ามาไม่มีหวังแล้ว แต่แกตอนนี้กลับสามารถกลับมายืนแล้วเดินเหินได้อย่างคนปกติ แสดงให้เห็นเลยว่า การตัดสินใจในตอนแรกนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เธอช่วยให้แกพ้นเคราะห์จริงๆ”

เธอช่วยให้เขาพ้นจากเคราะห์ร้ายงั้นหรือ? ในตอนแรกเขาคิดว่าพ่อแม่ของเขาคงจะให้ผลประโยชน์อะไรกับตระกูลหลาน หลานเสี่ยวถางถึงยินยอมที่จะแต่งงานด้วย

ในเมื่อ ตอนนั้นเขากับเธอถึงแม้ว่าจะพึ่งรู้จักกันได้ระยะหนึ่งก็ตาม หรือแม้กระทั่งออกเดตกันแค่สองสามครั้งเท่านั้น แต่ทว่า ในเมื่อมันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวตลอดชีวิต ถ้าหากเขาไม่สามารถยืนได้ละก็ ถ้าอย่างนั้นเธอคง……

ดูจากตอนนี้แล้ว เธอไม่ได้ตอบตกลงเพราะว่ารับปากอะไรกับพ่อแม่เอาไว้ใช่ไหม? อีกทั้งเธอยังยินยอมด้วยตนเองอย่างนั้นหรอกหรือ?

ทันใดนั้นเอง สือเพ่ยหลินรู้สึกเพียงแค่ว่าความรู้สึกของเขาสับสนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว