บทที่ 73 ตบหน้าดังเพี๊ยะ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

[ที่นี่เกิดอะไรขึ้น]

คิ้วเรียวยาวของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันได้ขมวดเข้าหากันด้วยซ้ำ

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาหานางอย่างสง่างามเสียแล้ว มือของนางปิดบังใบหน้าเศร้าสร้อยของตนเอาไว้ “พี่ใหญ่ ความผิดที่ท่านก่อในครั้งนี้ช่างร้ายแรงยิ่งนักเจ้าค่ะ”

“ความผิดร้ายแรงหรือ ข้าไปทำอะไรมาล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม นางอยากรู้ว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์วางแผนร้ายอะไรเอาไว้อีก

“ทันทีที่ท่านเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของป่าวิญญาณ ก็มีข่าวว่าองค์ชายของเผ่าไป๋เจ๋อถูกตามล่าสังหาร พี่ใหญ่ บนโลกนี้คงไม่มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้หรอกกระมัง อย่าบอกนะเจ้าคะว่าท่านคิดที่จะปฏิเสธ” ดวงตาอันงดงามของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จับจ้องอยู่ที่นาง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าผิดหวังที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เป็นไปตามที่นางหวังเอาไว้

เวยเวยลูบคาง และหยักยิ้มขึ้นอย่างจงใจ “เจ้าหมายความว่าข้าเป็นคนที่ไล่ล่าและสังหารองค์ชายเผ่าไป๋เจ๋อหรือ”

“หากไม่ใช่ท่าน แล้วจะเป็นใครได้อีกล่ะ!” เฮ่อเหลียนเหมยเองก็เดินเข้ามา พลางใช้สายตาเหมือนกับที่ใช้มองผู้กระทำความผิดอย่างใหญ่หลวงจ้องมาที่นางอย่างไม่ลดละ “พวกเราปักหลักกันอยู่ที่เส้นทางสายหลัก แต่ท่าน มีแค่ท่านคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน! พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้ข้าแค่รู้สึกว่าท่านเป็นคนไร้ยางอาย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่จิตใจของท่านก็จะชั่วร้ายไปด้วย!”

เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะอ้าปากตอบ

“เฮ่อเหลียนเวยเวย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังคิดที่จะเล่นลิ้นอีกหรือ! หากเป็นอย่างที่พวกนางว่ามา เช่นนั้นต่อให้อาจารย์ของเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็คงไม่โชคดีพอที่จะรอดไปได้หรอก คนของเผ่าไป๋เจ๋อมาถึงหน้าประตูแล้ว ต่อให้ข้าอยากปกป้องเจ้า แต่ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้” จิ้งอู๋วั่งสะบัดแขนเสื้อ โทสะของเขาค่อยๆ ปะทุขึ้นทีละน้อย จากนั้นเขาจึงตัดบทนางว่า “ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าเจ้าทำความผิดอันใดไป! นี่มันถึงขั้นประหารชีวิตเชียวนะ!”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เหลือบตามองจิ้งอู๋วั่งพลางคิดในใจ

เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นที่นี่ แต่ชายผู้นี้ที่ทำหน้าที่แทนท่านเจ้าสำนักไม่สามารถแก้ปัญหาที่ว่าได้ จึงผลักนางออกไปเป็นแพะรับบาปแทน

เขาคงรู้ว่าถ้านางเข้าไปในป่าวิญญาณแล้ว นางจะไม่สามารถกลับออกมาได้อีก

เพราะคนที่วางแผนทั้งหมดนี้คือเขากับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์

ตอนแรกนางคิดว่าคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีเพียงแค่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เท่านั้น แต่เมื่อลองวิเคราะห์ดูดีๆ นางก็พบว่า ต่อให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะมีฝีมือเพียงใด แต่นางก็ยังเป็นแค่ศิษย์ใหม่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

คนที่สามารถสับเปลี่ยนแผนที่ของป่าวิญญาณโดยที่ไม่มีใครจับได้ จึงมีเพียงแค่คนที่มีตำแหน่งใหญ่ภายในสำนักเท่านั้น

ไม่อย่างนั้นอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็คงจะตระหนักได้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับแผนที่

และคนคนนั้นจะเป็นใครไปได้อีก นอกเสียจากจิ้งอู๋วั่ง

มาตอนนี้ เขาก็ยังร่วมมือกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อีก คนหนึ่งแสดงเป็นตัวละครแต่งหน้าแดง ส่วนอีกคนหนึ่งก็แสดงเป็นตัวละครแต่งหน้าขาว เพียงเพื่อให้นางหมดคำพูดตอบโต้ และยอมก้มหัวรับโทษแต่โดยดี

หึ

องค์ชายของเผ่าไป๋เจ๋อหรือ

บังเอิญจริง

นางเพิ่งจะทำพันธสัญญากับเขาไป

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเจ้าเล่ห์

เมื่อเห็นนางยิ้มออกมาเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็กลัวว่าจะมีอะไรผิดแผน หยดน้ำตาร่วงเผาะลงมาจากดวงตาของนาง “พี่ใหญ่ ตั้งแต่พวกเราก้าวเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ ข้าก็พยายามเค้นสมองจนหัวแทบแตกเพื่อหาทางทำให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดที่มีต่อท่าน แต่คราวนี้น้องสาวเช่นข้าไร้กำลังที่จะช่วยท่านได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็คาดไม่ถึงเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้”

หลังจากได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ทุกคนก็ได้ยินเสียงดัง ‘ฟุ่บ’ โดยทั่วกัน บรรดาองครักษ์คว้าหอกในมือของตนตั้งขึ้น

แม้จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์คุกคามเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่ประการใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นางกลับยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก “น้องข้า ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเจ้าก็เอาแต่พูดว่าข้าเป็นฆาตกรที่ไล่ล่าและสังหารองค์ชายเผ่าไป๋เจ๋อ โดยไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้อธิบายเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าคนที่ตามฆ่าองค์ชายเผ่าไป๋เจ๋อไม่ใช่ข้า เช่นนั้นครั้งนี้เจ้าจะขอโทษข้าอย่างไรหรือ พวกเจ้าสองคนจะตบตัวเองอีกครั้งหรือเปล่า”

“เจ้า!” เฮ่อเหลียนเหมยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดถึงความอัปยศคราวก่อน นางก็อยากบอกให้องครักษ์ของเผ่าไป๋เจ๋อพาตัวนังคนชั้นต่ำคนนี้ออกไป แล้วสับนางให้เป็นหมื่นชิ้นเสีย!

เห็นได้ชัดว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อยู่คนละระดับกับอีกคน ดวงตาของนางบวมแดงด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ และเลือกที่จะไปขอความชอบธรรมจากอาจารย์จิ้งแทน “ท่านอาจารย์เจ้าคะ ศิษย์รู้ว่าในอดีตนั้นศิษย์เคยเข้าใจพี่ใหญ่ผิดไป จึงเป็นเหตุให้พี่ใหญ่มั่นใจเป็นนักหนาว่าครั้งนี้นางก็จะต้องเป็นฝ่ายถูกอีก ครั้งนี้ศิษย์จะไม่ขอพูดอะไรแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ครั้งนี้คนจากเผ่าไป๋เจ๋อก็ยังยืนอยู่ที่นี่ด้วย จะถูกหรือผิด ข้าเชื่อว่าพวกเขาคงสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเจ้าค่ะ!”

เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ จิ้งอู๋วั่งก็ดูเหมือนจะหมดหวังในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาหลับตาลงอย่างแรง แล้วโบกมือยกใหญ่ด้วยท่าทางอ่อนล้า “เฮ่อเหลียนเวยเวย อาจารย์คงไม่สามารถรับมือกับลูกศิษย์ที่ชั่วร้ายเช่นเจ้าได้ ถ้าเจ้ายังมีสำนึกอยู่ เช่นนั้นก็รีบลงจากเขาไปพร้อมกับบรรดาองครักษ์ของเผ่าไป๋เจ๋อเสีย แล้วอย่าได้นำพาเรื่องเดือดร้อนอันใดมาให้พี่น้องของเราอีกเลย”

“อาจารย์จิ้งพูดถูกแล้ว คนเดียวทำเรื่อง คนเดียวรับ[1] เฮ่อเหลียนเวยเวย ถ้าเจ้ายังเป็นคนของตระกูลเฮ่อเหลียนอยู่ เช่นนั้นก็อย่าทำให้สายเลือดเฮ่อเหลียนต้องอับอายและเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกเลย!”

“ใช่แล้ว! แม้เจ้าจะเป็นคนที่ไม่ได้รับการสั่งสอน แต่ก็อย่าเอาคนอื่นไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย!”

เสียงประณามหยามเหยียดประหนึ่งคลื่นที่ซัดสาดเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง มันแทบจะกลืนเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าไปทั้งตัว

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงแค่เอียงศีรษะ แล้วจัดคอเสื้อของตนพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “อาจารย์จิ้ง ทุกคนต่างก็รู้ว่าข้าเป็นคนไร้ค่า เป็นคนไร้ค่าที่ไม่มีพลังปราณสักกระผีกเชียวนะ แล้วข้าจะไปไล่ล่าองค์ชายจากเผ่าไป๋เจ๋อได้อย่างไรหรือ ในฐานะอาจารย์ประจำวิชาพลังปราณ ไม่มีทางที่ท่านจะไม่รู้เรื่องนี้แน่! ท่านเป็นถึงคนที่ทำหน้าที่แทนท่านเจ้าสำนัก แต่กลับไม่สามารถแยกขาวกับดำได้ มิหนำซ้ำยังรีบสาดโคลนใส่ข้าโดยไม่คิดแม้แต่จะทำการสอบสวนเบื้องต้นอีกด้วย ท่านคงอยากจะให้ข้ารับโทษแทนอยู่แล้วใช่หรือไม่!”

พอพูดจบ นางก็หันไปมองคนจากตระกูลจางและตระกูลหลี่ที่อยู่ด้านหลัง “ตอนนั้นที่ทัพม้าของท่านตาข้าเอาชนะข้าศึกที่ชายแดนได้ ต้องหลั่งเลือดนอกไปทั้งแม่น้ำแลภูเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับความรุ่งโรจน์ของเจ้าในเวลานี้ แต่แล้วพวกเจ้าทำอย่างไร พวกเจ้าทุกคนกลับต้องการให้ข้าตาย”

“เฮ่อเหลียนเวยเวย!” เมื่อความคิดของตนถูกเปิดโปง ความอับอายของจิ้งอู๋วั่งก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขาตะคอกออกมาเสียงดัง “ข้าอุตส่าห์ไม่ทำตัวโหดร้ายกับเจ้า แต่เจ้ากลับใส่ความข้าเช่นนี้ พฤติกรรมนี้ของเจ้าช่างน่าอับอายยิ่งนัก!”

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดตามพลางเลิกคิ้ว “ใส่ความหรือ อาจารย์จิ้ง เดิมทีนั้นท่านเองก็ยังไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าข้าคือคนที่ไล่ล่าและสังหารองค์ชายเผ่าไป๋เจ๋อออกมาแสดงให้ดูเสียหน่อย ถ้าจะบอกว่าใส่ความ เช่นนั้นควรจะบอกว่าอาจารย์เช่นท่านต่างหากที่ใส่ความข้า”

“ท่านอาจารย์เจ้าคะ ท่านไม่จำเป็นต้องต่อความยาวสาวความยืดกับนางหรอกเจ้าค่ะ คนพยศเช่นนี้ย่อมสัมผัสถึงความเมตตาของท่านไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ!” เฮ่อเหลียนเหมยแทรกขึ้น “นางเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจมาตลอด อีกทั้งยังไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากว่ากันถึงเรื่องหลักฐาน นางเองก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเช่นกันมิใช่หรือเจ้าคะ ยิ่งกว่านั้น ในเวลานั้นพวกเราก็ออกมาจากป่าวิญญาณมาแล้วด้วย มีแค่นางคนเดียวที่ไม่ได้เดินตามเส้นทางบนแผนที่ นางจะต้องไปทำอะไรที่น่าละอายเอาไว้แน่ๆ เจ้าค่ะ!”

เมื่อได้ยินดังนั้น ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยักขึ้น “น้องสาม ใครบอกเจ้าหรือว่าข้าไม่มีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์”

อะไรนะ?!

เฮ่อเหลียนเหมยชะงัก

ตอนที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ยินคำพูดนั้น รอยยิ้มแห่งผู้ชนะของนางก็พลอยแข็งค้างไปด้วย!

เป็นไปไม่ได้หรอก นางจะไปมีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อย่างไรกัน!

พวกนางกล้าโยนความผิดให้กับนางเพราะทุกอย่างในสำนักไท่ไป๋ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว แม้บรรดาอาจารย์จะรู้อะไรเข้า แต่พวกเขาก็คงจะอุบเงียบเอาไว้ และไม่มีใครกล้าเป็นพยานให้กับนังคนชั้นต่ำคนนี้แน่!

แล้วหลักฐานที่นางพูดถึงมันจะมาจากไหนกัน!

“เสี่ยวไป๋ ออกมานี่สิ” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยไร้อารมณ์ แต่กลับแผ่บรรยากาศอันเย็นเยียบออกมา ทำให้คนฟังรู้สึกสั่นสะท้าน “ออกมาเล่าให้พวกเขาฟังว่าความจริงเป็นอย่างไร”

[1] คนเดียวทำเรื่อง คนเดียวรับ เป็นสำนวน หมายถึง คนที่สร้างปัญหาก็ควรจะรับผิดชอบคนเดียว