“ยังหาองค์ชายไม่เจออีกหรือ” ขันทีซุนร้อนใจจนแทบบ้า เขาคว้าตัวหน่วยสอดแนมคนหนึ่งเอาไว้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมบาดหู เขายังไม่ได้นอนทั้งคืน ในดวงตาของเขาจึงมีเส้นเลือดปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
จิ้งอู๋วั่งที่เพิ่งจะเจรจากับเผ่าไป๋เจ๋อเสร็จเดินเข้ามา แล้วพยายามปลอบเขา “ขันทีซุน ท่านอย่ากังวลไปเลยขอรับ องค์ชายสามจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ ข้าส่งมือดีที่สุดของสำนักออกไปตามหาเขาแล้วขอรับ หลังฟ้าสาง เราคงได้ข่าวคราวอะไรมาบ้าง”
“จะไม่ให้ข้ากังวลใจได้อย่างไร!” ขันทีซุนกระทืบเท้าซ้ายลงกับพื้น ความตื่นตระหนกและหวั่นวิตกทำให้เขาเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา “องค์ชายไม่มีพลังปราณในร่างเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหายตัวไปในป่าวิญญาณที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรเช่นนี้ เฮ้อ ตอนนี้ก็ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว ถ้า ถ้าเรายังหาตัวองค์ชายไม่เจอล่ะก็…” เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น!
“เราจะต้องหาเขาเจออย่างแน่นอนขอรับ ขันทีไม่ต้องเป็นห่วง” จิ้งอู๋วั่งมองขันทีผู้สูงวัยเดินวนไปวนมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดราวกับหนูติดจั่น แม้ปากของเขาจะเอ่ยคำพูดปลอบโยนออกมาเหมือนอย่างเคย แต่ภายในใจนั้นกลับรู้สึกรังเกียจ สรุปว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง องค์ชายสามที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องให้เป็นเด็กหนุ่มที่เก่งที่สุดในจักรวรรดิ มาตอนนี้กลับเป็นแค่องค์ชายผู้ไร้พลังปราณไปเสียแล้ว ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยมีฝีมือเก่งกาจเพียงใด แต่ในยามนี้เขาก็เป็นได้แค่เพียงของที่ใช้การอะไรไม่ได้ ว่ากันว่าแม้แต่กิเลนอัคคีก็ยังทอดทิ้งเขา และหนีไปซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก
ถ้ามีโอกาส เขาน่าจะลองเอาเรื่องนี้ไปคุยกับมู่หรงซื่อจื่อ และบอกให้อีกฝ่ายลองเดินทางไปแถบเทือกเขาคุนหลุนดู บางทีเขาอาจจะได้ทำพันธสัญญากับกิเลนอัคคีก่อนกลับมาที่นี่ก็ได้
ระหว่างที่จิ้งอู๋วั่งกำลังง่วนอยู่กับการดีดลูกคิดรางแก้ว [1] อยู่ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงม้าร้องดังมาแต่ไกล เงาร่างงามสง่าสีดำสนิท และเปี่ยมด้วยพละกำลังที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งให้เป็นผุยผงได้พลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันสยายปีกออกขณะค่อยๆ ลดระดับลงจนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา!
แม้แต่ผู้อาวุโสของหอชั้นเลิศผู้มากไปด้วยความรู้และประสบการณ์ก็ยังอดที่จะตกตะลึงไปกับภาพดังกล่าวไม่ได้
มันคือม้าลมทมิฬ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่จับยากที่สุดในป่าวิญญาณ!
มันมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
ยิ่งกว่านั้น คนที่ขี่มันอยู่…
จิ้งอู๋วั่งเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ใบหน้าจิ้มลิ้มติดจะหงุดหงิดนั่น ทันใดนั้นม่านตาของเขาก็ถึงกับหดเข้าหากัน!
เฮ่อเหลียนเวยเวย!
นึกไม่ถึงเลยว่านางยังมีชีวิตอยู่?!
จิ้งอู๋วั่งตัวสั่นไปทั้งร่าง เขาเผลอก้าวถอยหลังไปก้าวใหญ่
เดิมทีนั้นเขายอมร่วมมือกับลูกศิษย์ของตน และยอมเข้าร่วมแผนการนี้ก็เพราะเขาเชื่อว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคงไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาได้
เพราะจุดหมายปลายทางบนแผนที่แผ่นนั้นคือพื้นที่ต้องห้ามในป่าวิญญาณที่ไม่เคยมีใครกล้าย่างกรายเข้าไป ที่แห่งนั้นไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรกินคน แต่ยังมีหมอกหนาทึบที่ไม่เคยจางตลอดปีด้วย
แม้แต่ศิษย์ปีสามจากหอชั้นเลิศ หากหลุดเข้าไป ก็คงติดอยู่ที่นั่นไม่อาจหนีออกมาได้ แล้วนับประสาอะไรกับเด็กสาวเอาแต่ใจที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเช่นนี้!
ดังนั้นในความคิดของจิ้งอู๋วั่ง ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยควรจะกลายเป็นศพไปแล้ว
แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแค่ไม่ตาย แต่นางยังควบม้าลมทมิฬกลับมาที่สำนักไท่ไป๋อีก!
เรื่องนี้นอกจากจะทำให้จิ้งอู๋วั่งตกใจจนตัวแข็งแล้ว ยังทำให้ความมั่นใจของเขาสั่นคลอนด้วย
เพราะความรู้สึกผิดในใจ จิ้งอู๋วั่งจึงยังไม่ทันได้สังเกตเห็นคนที่อยู่ด้านหลังของนางว่าเป็นใครด้วยซ้ำ เขาลากตัวบ่าวรับใช้ตัวน้อยมา แล้วสั่งให้อีกฝ่ายไปตามเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์
ในเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเขาก็จะใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ เขาจะให้คนจากเผ่าไป๋เจ๋อมาลากตัวนางกลับไปรับโทษเสีย!
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอันใดขึ้นในอนาคต เขาจะใช้ประโยชน์จากตำแหน่งและอำนาจของตนจัดการทุกอย่างเอง!
“อาจารย์จิ้งดูประหลาดใจยิ่งนักที่เห็นข้าโผล่มาที่นี่” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับตัวแล้วกระโดดลงจากหลังม้า นางยืนอยู่ข้างม้าลมทมิฬ มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของม้า ขณะที่มุมปากของนางยิ้มอย่างชั่วร้าย
ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเช่นนั้นทำให้หัวใจของจิ้งอู๋วั่งตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะผลักให้เฮ่อเหลียนเวยเวยออกไปขวาง ‘ปากกระบอกปืน’ แทน
อย่างไรก็ตาม จากการเคลื่อนไหวของเฮ่อเหลียนเวยเวย ร่างของคนอีกคนที่อยู่บนหลังม้าก็ถึงกับทำให้เขารู้สึกตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก
องค์ชายสามมิใช่หรือ
ทำไมสองคนนี้ถึงมาอยู่ด้วยกันได้
ขันทีซุนเองก็เห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเช่นกัน ดวงตาของชายสูงวัยเป็นประกายด้วยหยาดน้ำตา เขารีบพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย “องค์ชาย ในที่สุดฝ่าบาทก็กลับมา ฝ่าบาททำให้กระหม่อมเป็นห่วงแทบตายพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่มีคลื่นอารมณ์ใดเลยแม้แต่น้อย เขาทำเพียงนั่งอยู่บนหลังม้า แล้วเลิกคิ้วขึ้น
องค์ชายเจ็ดที่อายุได้ห้าขวบใช้ขาอวบๆ ของตนยืนปักหลักอยู่กับพื้น พร้อมกับกินซาลาเปาไปด้วย ใบหน้าน่ารักของเขาแหงนขึ้น “ท่านพี่ พวกท่านสองคนมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไรขอรับ”
“องค์ชายเจ็ดพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ” จิ้งอู๋วั่งขัดขึ้น แล้วสาวเท้าเข้าไปหาเขา สีหน้าเป็นกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของเด็กชายหัวโล้นผิดไป
“ฝ่าบาทน่าจะหาคนที่มีฝีมือมาติดตามข้างกายนะพ่ะย่ะค่ะ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะรับประกันความปลอดภัยของฝ่าบาทได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฝ่าบาทล่ะก็ กระหม่อมคงหัวใจวายด้วยความเป็นห่วงแน่ โชคดีที่ทั้งสองคนกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย”
พอพูดจบ เขาก็หันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย “ม้าลมทมิฬตัวนี้พาเจ้ากลับออกมาหรือ ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ทำพันธสัญญาเลยนี่ ทำไมมันถึงยอมให้เจ้าสองคนขี่ล่ะ”
จิ้งอู๋วั่งนับว่าเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในสำนักไท่ไป๋มานานหลายปี และรู้ดีว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยอยู่ในป่าวิญญาณจำพวกนี้มีความหยิ่งยโสยิ่งกว่าสัตว์อสูรเป็นไหนๆ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ที่ทำพันธสัญญากับพวกมัน ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีพลังปราณแข็งแกร่งเพียงใด พวกมันก็จะไม่ยอมให้ขี่เด็ดขาด
เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ แล้วหันไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสีหน้าราวกับกำลังพูดว่า ‘ฝ่าบาทปราดเปรื่องยิ่งนัก คราวนี้ยกให้ฝ่าบาทจัดการก็แล้วกันเพคะ’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้รับข้อความของนาง เขามองอาจารย์จิ้งที่ยืนอยู่ข้างล่างจากบนหลังม้า ดวงตาอันลึกล้ำของเขาเป็นประกายวาบ สิ่งที่ผสมกันอยู่ในนั้นคือความเฉยเมยและความเย็นชา ดวงตาคู่นั้นดูราวกับพร้อมที่จะปล่อยพลังปราณอันน่าตกใจออกมาได้ทุกเมื่อ
เมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ หัวใจของจิ้งอู๋วั่งก็สั่นสะท้าน แต่พอเขามองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าริมฝีปากบางของอีกฝ่ายยังคงซีดเซียวเหมือนอย่างเคย แม้ว่านัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นจะพยายามซุกซ่อนมันไว้ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ยังมีร่องรอยจากอาการบาดเจ็บสาหัสปรากฏให้เห็น…
จิ้งอู๋วั่งขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า เมื่อครู่เขาคงเข้าใจผิดไปอย่างแน่นอน
แม้ว่าทุกคนจะเคยอยากเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์ชายสามมาก่อน แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว อย่างไรเสียเรื่องที่ร่างกายขององค์ชายสามไม่อาจใช้การได้อีกก็เป็นเรื่องจริง
คนที่ทำอะไรไม่ได้เช่นนั้น จะมีท่าทางข่มขวัญ และสามารถกดดันคนที่อยู่ระดับทองอย่างเขาให้กลัวจนตัวสั่นได้อย่างไร
คงเป็นเพราะองค์ชายสามอยู่ในตำแหน่งสูงเช่นนี้มานานกระมัง เมื่อวานนี้ตอนที่เขาเห็นอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเหมือนกัน
ระหว่างที่จิ้งอู๋วั่งกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ เขาก็พลันได้ยินเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดังออกมาจากปากที่เผยอน้อยๆ นั้น มิหนำซ้ำในน้ำเสียงนั้นยังมีร่องรอยของรอยยิ้มอันชั่วร้ายเย็นชาแฝงอยู่เสียด้วย “ในเมื่ออาจารย์จิ้งอยากเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องของข้าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นตอนข้ากลับไป ข้าจะไปคุยกับอดีตฮ่องเต้แทนท่าน แล้วบอกให้เขาเรียกตัวท่านเข้าวังเพื่อมาทำหน้าที่แทนขันทีซุนในอนาคต”
พูดอีกอย่างก็คือ ประโยคนี้ไม่ต่างจากการบอกว่าข้าจะตัดไอ้นั่นของเจ้าออก แล้วทำให้เจ้ากลายเป็นขันที
เมื่อจิ้งอู๋วั่งได้ยินเช่นนั้น เหงื่อเย็นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็ซึมชื้นขึ้นมาจากหน้าผากของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองใบหน้าซีดเผือดของเขาแล้วเกือบกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ จากนั้นจึงหันไปมองทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง นางอดคิดไม่ได้ว่าองค์ชายสามสร้างความเจ็บช้ำให้กับอีกฝ่ายได้อย่างมาก สี่ตำลึงปาดพันชั่ง [2] ซ้ำยังจี้จุดเข้าเต็มเปา แค่คำพูดประโยคเดียวก็สามารถทำเอาจิ้งอู๋วั่งถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึง การกล่าวว่าจะส่งตัวเขาเข้าไปในวังหลวงแทนตำแหน่งของขันทีซุนนั้นเบื้องหน้าอาจจะฟังดูเปี่ยมไปด้วยเมตตา แต่เบื้องหลังนั้นกลับชั่วร้ายอย่างที่สุด
ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครกล้าทำตัวเสียมารยาทต่อเขาแม้ว่าเขาจะสูญเสียพลังปราณไปแล้วก็ตาม
เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ ความรู้สึกอันตรายที่แผ่ออกมาจากร่างของผู้ชายคนนี้ก็ทำให้ทุกคนไม่กล้าดูเบาเขา
หากเขายังมีพลังปราณที่คนทั้งโลกต้องอิจฉาอยู่ในครอบครองเช่นในอดีต โครงสร้างทางอำนาจปัจจุบันของจักรวรรดิจ้านหลงก็คงไม่มีทางเป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้
แน่นอนว่าองค์ชายสามเองก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่านางไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางในป่าวิญญาณ ดังนั้น เขาจึงไม่เอ่ยอะไรถึงเรื่องนั้นออกมาสักคำ
“ดูเหมือนว่าอาจารย์จิ้งจะไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำของจิ้งอู๋วั่งอย่างไม่แยแส และทำท่าจะเดินจากไป แต่ที่ทางออกกลับถูกองครักษ์ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนขวางเอาไว้!
[1] ดีดลูกคิดรางแก้ว หมายถึง คิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้ฝ่ายเดียว
[2] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็นเทคนิคการต่อสู้ขั้นสูง หมายถึง การใช้แรงเพียงเล็กน้อยตัดกำลังคู่ต่อสู้ไม่ปะทะตรงๆ เพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่าได้