แต่เขากลับไม่โกรธเลยแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังทำเพียงแค่เผยอริมฝีปากอันน่าดึงดูดขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางเย้ายวนชวนลุ่มหลง

 

 

รอยยิ้มนั้นค่อยๆ กว้างขึ้นทีละน้อย ประหนึ่งกุหลาบที่แย้มบานอยู่ภายใต้แสงสลัวยามค่ำคืน ล่อลวงคนที่เห็นให้หลงใหล…

 

 

จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปข้างหนึ่งเพื่อช่วยฉุดเฮ่อเหลียนเฮ่อเหลียนเวยเวยให้ลุกขึ้นจากพื้น

 

 

กลิ่นเย็นๆ ของไม้จันทน์ที่อยู่บนร่างของชายหนุ่มโชยเข้ามาในโพรงจมูกของนางทันที

 

 

กลิ่นนั้นยากเกินกว่าที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้านทานได้ แต่เมื่อเห็นมืออันงดงามเสียจนผู้หญิงยังต้องอิจฉาคู่นั้น นางก็ถึงกับมึนงงไปเล็กน้อย

 

 

องค์ชายสามรักความสะอาด และไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวมิใช่หรือ

 

 

เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ เขาเพียงช่วยให้นางลุกขึ้นยืน ก่อนจะผละออกไปในทันที หลังจากนั้นเขาก็มองไปทางเจ้าแมวขาวที่อยู่บนพื้น แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า “ข้าหิวแล้ว”

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”

 

 

[พวกนางเพิ่งจะกินกระต่ายย่างไปเมื่อกี้เองมิใช่หรือ เขาหิวเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าคนในรั้วในวังกินน้อยหรอกรึ]

 

 

ดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นจะเชื่อไม่ได้เอาเสียเลย ตัวอย่างก็เช่นองค์ชายเจ็ด เด็กชายหัวโล้นนั่นกินเยอะทีเดียว

 

 

“หม่อมฉันจะไปล่ากระต่ายมาเพิ่มอีกเพคะ” พอพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตั้งท่าจะเดินออกไป อย่างไรเสียนางก็อยากหาสถานที่ลับตาคนเพื่อลองปลุกหยวนหมิงดูอยู่แล้ว

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับขวางทางนางเอาไว้ เมื่อได้เห็นในระยะประชิด ดวงตาเรียวดั่งหงส์ลึกล้ำคู่นั้นดูงดงามอย่างมาก “ไม่จำเป็น ที่นี่มีแมวอยู่ทั้งตัว”

 

 

ดวงตาของเจ้าแมวขาวหรี่ลง ขณะมองใบหน้าของชายหนุ่มที่มีรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้มปรากฏอยู่ ขนทุกเส้นบนร่างของมันก็พร้อมใจกันลุกซู่

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้ร่างของตัวเองขวางเขาไว้ในทันที “ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงจับมันกินได้ แต่เห็นทีตอนนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้เพคะ ในเมื่อมันทำพันธสัญญากับหม่อมฉันไปแล้ว มันจึงกลายเป็นสัตว์คู่พันธสัญญาของหม่อมฉัน ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาดูอีกที แล้วเสวยอย่างอื่นเถิดเพคะ”

 

 

“มันเป็นแค่สัตว์คู่พันธสัญญาจริงๆ หรือ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราบเรียบและเย็นชาเป็นอย่างมาก ราวกับก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำ ฟังดูคล้ายกับว่าเขากำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์ของตนอยู่

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าไม่อย่างนั้น แล้วมันจะเป็นอะไรไปได้อีกหรือเพคะ”

 

 

“เจ้าพูดถูก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรายตามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างลึกล้ำ แล้วค่อยๆ หมุนแหวนประดับหยกสีดำที่นิ้วโป้งของตน “นอกจากเป็นสัตว์คู่พันธสัญญา มันก็ไม่สามารถเป็นอะไรได้มากกว่านั้นอีก”

 

 

เจ้าแมวขาวตัวแข็งทื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า ในใจของมันสัมผัสได้ถึงความพ่ายแพ้อันไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ มันถึงคิดได้ว่า… สรุปแล้วนางไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

กิเลนอัคคีมองดูเจ้าแมวขาวที่คอตกด้วยความหมดอาลัยตายอยาก แล้วจึงหันไปมองร่างอันสง่างามของอีกฝ่าย เขาคิดมากไปหรือเปล่า ทำไมมันถึงรู้สึกว่าเมื่อครู่นายท่านไม่ได้พูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ตั้งใจพูดกับลูกหลานของเผ่าไป๋เจ๋อแทนล่ะ แต่กิเลนอัคคีไม่จำเป็นต้องขบคิดหาคำตอบเรื่องนี้ เพราะมันเข้าใจวิธีที่องค์ชายใช้จัดการเรื่องต่างๆ ได้ดี

 

 

ภายนอกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมักจะแสร้งทำเป็นใจดีอยู่เสมอ แต่ภายในนั้นนับได้ว่าเป็นปีศาจร้ายเลยทีเดียว เขารู้ดีเชียวล่ะว่าจะกำจัดความคิดที่ไม่ควรมีนั้นออกไปจากสมองของเจ้าแมวจรได้อย่างไร แต่วิธีการเหล่านั้นก็ยังได้ผลน้อยกว่าการทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยปฏิเสธมันด้วยตัวนางเอง

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าทำไมยิ่งคุยกัน บทสนาของพวกนางถึงยิ่งหลงประเด็นไปเรื่อยๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียองค์ชายสามก็ไม่ได้เอาเรื่องกินแมวมาพูดอีก ถือว่านางยังปกป้องสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองได้ ตอนนี้นางควรคิดว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไรมากกว่า

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดสายตามองหาหญ้าแห้งที่หายไปไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้ พื้นดินก็กลับกลายเป็นหลุมเป็นบ่ออีกครั้ง พวกนางคงไม่สามารถใช้ที่นี่พักค้างคืนได้อีกต่อไป

 

 

ดวงตาของนางจ้องมองหมอกที่จางลงไปมากแล้ว บางทีพวกนางอาจจะใช้โอกาสที่ยังพอมีแสงให้เห็นรำไรเช่นนี้ออกไปจากที่นี่ได้ เพราะถ้าหมอกกลับมาหนาขึ้นอีกเมื่อไหร่ การทำลายค่ายกลอาคมแห่งนี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

 

 

ยิ่งกว่านั้น ป่าวิญญาณก็กว้างใหญ่ไพศาล ในเวลานี้พลังกายของนางเกินขีดจำกัดไปนานแล้ว หากหลังจากนี้มีสัตว์อสูรโผล่มา นางก็คงไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร

 

 

ทางที่ดีควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เริ่มลงมือ โดยเริ่มคิดคำนวณระยะทางอย่างรอบคอบ

 

 

นางไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้ได้อย่างไร

 

 

แต่เรื่องหนึ่งที่นางมั่นใจก็คือ แผนที่ที่อยู่ในมือนางจะต้องมีปัญหาแน่ๆ

 

 

ส่วนคนที่คิดอยากทำร้ายนางจะเป็นใครนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถเดาได้โดยไม่ต้องคิดเลย

 

 

นางแค่สงสัยว่า เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และพรรคพวกของนางเห็นว่านางไม่เพียงแต่จะเอาชีวิตรอดออกมาได้ แต่ยังได้ทำพันธสัญญากับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย พวกนางจะมีสีหน้าเช่นใด

 

 

หึ… ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นอย่างชั่วร้าย สิ่งแรกที่นางทำคือสั่งให้เจ้าแมวขาวตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถช่วยให้พวกนางหนีออกจากที่นี่ได้มาสักตัว

 

 

จากนั้นก็จัดการกำจัดร่องรอยทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงการดับไฟให้สนิทด้วย

 

 

ทำเช่นนี้ก็น่าจะช่วยลบร่องรอยของพวกนาง และทำให้สัตว์อสูรไม่สามารถตามรอยได้

 

 

ในไม่ช้าเจ้าแมวขาวก็กลับมาพร้อมกับม้าลมทมิฬตัวหนึ่ง มันมีลักษณะแตกต่างจากม้าศึกทั่วไป เจ้าม้าลมทมิฬตัวนี้มีปีกสีดำงดงาม หัวจรดหางก็เป็นสีดำสนิท

 

 

มันหน้าตาเหมือนกับม้าปีศาจที่ปรากฏอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นไม่มีผิด ซ้ำยังไม่เพียงแค่มีฝีเท้าว่องไวยามอยู่บนพื้นดินเท่านั้น แต่ยังสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อีกด้วย

 

 

เพียงแต่เจ้าแมวขาวไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เจ้าม้าลมทมิฬตัวนี้ถึงได้ดูมีท่าทางแปลกไป แม้จะถาม แต่เจ้าม้าสีดำก็ไม่ได้ให้คำตอบ

 

 

อันที่จริง ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเจ้าม้าลมทมิฬ นางก็ถึงกับผิวปากด้วยความประทับใจ พลางคิดในใจว่าถ้าในยุคปัจจุบันมีของเล่นพรรค์นี้อยู่ นางก็คงจะกลายเป็นจอมโจรไปแล้ว นางสามารถขโมยของจากทุกที่ที่นางต้องการ แล้วก็บินหนีไปบนอากาศได้

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าโดยไม่รอช้า นางดึงบังเหียน และนึกอยากเตะเท้าให้เจ้าม้าตะบึงออกไปข้างหน้า

 

 

ทันใดนั้นที่นั่งด้านหลังของนางก็จมลง นางทำตาโตเมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ช่วงไหล่ จากนั้นก็มีฝ่ามือขนาดใหญ่ยกขึ้นมา

 

 

และแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ระลึกได้ว่าเป็นองค์ชายสามผู้ทำอะไรไม่เป็นที่กระโดดขึ้นมานั่งด้านหลังนางนั่นเอง แต่ว่า… มันจะไม่ใกล้ชิดเกินไปหน่อยหรือ

 

 

เขายกแขนขึ้นมาพาด แล้วทาบมันลงบนมืออีกข้างของนาง ท่านี้ทำให้ร่างของนางดูเหมือนจมหายเข้าไปในอ้อมกอดของเขา แต่ใบหน้าของเขากลับยังคงเก็บซ่อนอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ใบหน้าเย็นชาไม่แยแสต่อสิ่งใดนั้นทำให้ความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางรู้สึกว่าจิตใจตัวเองช่างอกุศลเสียจริง

 

 

“อะไร” คิ้วของชายหนุ่มเลิกขึ้น สง่างามอย่างยากจะหาใดเปรียบ ในเวลาเดียวกันเขาก็ใช้มือโอบรอบเอวบางของนางไว้

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจ ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจผิดไปเอง ในความคิดของคนที่ชอบไม้ป่าเดียวกันแล้ว นางก็เป็นแค่เพียงผู้คุ้มกันคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงเลย

 

 

“ไม่มีอะไรเพคะ ฝ่าบาทจับให้แน่นๆ นะเพคะ ม้าตัวนี้น่าจะฝีเท้าเร็วพอตัว” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ สถานการณ์ไม่ปกติย่อมต้องรับมือด้วยวิธีการที่ไม่ปกติ สิ่งสำคัญคือต้องรีบออกไปจากที่นี่ก่อนหมอกจะหนากว่านี้ต่างหาก!

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ‘เชื่อฟัง’ ยิ่งนัก เขาขยับตัวเข้ามาใกล้นางยิ่งขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่อยู่ด้านหลังใบหูได้อย่างสม่ำเสมอ บางครั้งบางคราวก็มีความรู้สึกคล้ายถูกจุมพิตที่ใบหู นางส่ายหน้า และหันกลับไปมองทาง พลางยกแส้ขึ้น แล้วควบม้าฝ่าหมอกหลายต่อหลายชั้นโดยมีหนึ่งคนและหนึ่งแมวอยู่ด้านหลัง

 

 

ถึงแม้ว่าในป่าวิญญาณจะมีสัตว์อสูรอยู่เป็นจำนวนมาก แต่สัตว์อสูรโดยรอบก็ล้วนแต่อยู่ในระดับต่ำทั้งสิ้น ความจริงแล้วสัตว์อสูรที่มีสติปัญญานั้นมีอยู่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้ว่าพวกมันจะเป็นสัตว์อสูรระดับสูง แต่ก็มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่ได้รับพรจากสวรรค์ และสามารถเปิดใจที่จะเรียนรู้ได้

 

 

ดังนั้นปกติแล้วพวกมันจึงใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณของตัวเอง พวกมันจะไม่โจมตีคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองก่อน

 

 

ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่พบอุปสรรคใดเลยตลอดทาง

 

 

ในตอนนั้นนั่นเองที่กิเลนอัคคีได้ยินคำสั่งของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มันจึงกลับไปซ่อนตัวอีกครั้ง และเมื่อใดที่มันถูกเรียกอีก มันก็จะปรากฏตัวออกมาในทันที

 

 

เพราะการกลับมาอยู่ข้างกายไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในเวลานี้ไม่เพียงแต่จะไม่มีประโยชน์อันใด มิหนำซ้ำยังมีโอกาสที่จะดึงดูดความสนใจของสี่ตระกูลใหญ่เข้ามาแทนอีกด้วย

 

 

ยิ่งกว่านั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็คงไม่คิดที่จะเปิดเผยตัวในเร็วๆ นี้แน่ อย่างไรเสียในสำนักไท่ไป๋ก็ยังมีอีกตัวตนหนึ่งของเขาอยู่ นั่นคือตัวตนของศิษย์ใหม่จากหอสามัญนั่นเอง…