บทที่ 61 เป็นพ่อของพวกเรา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ถึงอย่างไรหนุ่มหล่อกับสาวงาม พร้อมกับลูกน้อยน่ารัก เมื่อเป็นครอบครัวที่ดูดีขนาดนี้ ถ้าไม่เป็นที่สนใจก็คงจะแปลกมากเลยล่ะ

หลายนาทีผ่านไป เมื่อครูอนุบาลเช็คชื่อเสร็จ และนับจนเรียบร้อย ก็จัดพาทุกคนไปที่สวนสนุก

เด็กทั้งสองคนไม่เคยไปสวนสนุกมาก่อนเลย เมื่อได้มาในตอนนี้ เห็นอะไรก็รู้สึกสงสัยและแปลกตาไปหมด

สวนสนุกมีคนมากมาย วารุณีกลัวว่าเด็กทั้งสองคนจะพลัดหลงกัน เธอกับนัทธีเลยจูงมือเด็กคนละคน จากนั้นก็ทำตามที่ครูกำชับ แล้วก็พาเด็กทั้งสองคนไปเล่นอะไรที่สามารถเพิ่มความสนิทใจกัน และไม่อันตรายด้วย

การมาเล่นในครั้งนี้ ใช้เวลาหลายชั่วโมง วารุณีเลยเหนื่อยเป็นอย่างมาก จนเล่นอะไรไม่ไหวแล้ว

นัทธียังพอไหว แต่เพราะอาการบาดเจ็บบนร่างกายนั้นยังไม่หายดี เลยเล่นได้น้อย ส่วนใหญ่เลยถ่ายรูปแทน ดังนั้นเลยไม่ได้เหนื่อยมาก

ส่วนเด็กทั้งสองคนนั้นกลับเหมือนมีพลังเหลือล้นอย่างไรอย่างนั้น แถมยังร้องอยากจะไปเล่นชิงช้าสวรรค์อีก

“ให้พวกเขาไปเล่นเถอะ พวกเราไปนั่งรอพวกเขาตรงนั้นก็ได้” นัทธีชี้ไปทางร้านชานมที่ห่างออกไปไม่ไกลมาก

วารุณีมองไป ก็เห็นร้านชานมที่อยู่ด้านล่างชิงช้าสวรรค์พอดี ถ้านั่งพักที่นั่น ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมองไม่เห็นเด็กทั้งสองคน เลยพยักหน้าตอบตกลง “ก็ดีเหมือนกัน”

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่ร้านชานม

หลังจากที่ไปถึงร้านชานม วารุณีก็สั่งนมสองแก้วให้เด็กทั้งสองคน ก่อนจะสั่งน้ำผลไม้ให้ตัวเอง จากนั้นก็หันไปถามนัทธี “ประธานนัทธีคุณอยากดื่มอะไร?”

“น้ำเปล่า” นัทธีไม่ได้สนใจพวกชานมหรือน้ำผลไม้อะไรอยู่แล้ว

“โอเค” วารุณีใช้ปากกาติ๊กถูกตรงน้ำเปล่าในเมนู

เพียงไม่นาน ของที่สั่งก็ได้แล้ว

วารุณีดันน้ำเปล่าไปตรงหน้าของนัทธี “ประธานนัทธี วันนี้รบกวนคุณจริงๆ นะ ฉันไม่รู้ว่าจะขอบคุณคุณอย่างไรดี”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่จากนี้ไม่ต้องเอาน้ำแกงบำรุงมาให้ฉันอีกก็พอ” นัทธีดื่มน้ำลงไป

วารุณีกะพริบตา “ทำไมล่ะ คุณยังไม่หายดีเลยไม่ใช่เหรอ?”

นัทธียิ้มมุมปากบางๆ ขึ้นเล็กน้อย “ก็ไม่ทำไมหรอก แต่ต่อจากนี้ไม่ต้องเอามาให้แล้ว”

น้ำเสียงที่ยากจะพูดแทรกขึ้นของเขานั้นทำให้วารุณีออกจะเศร้าใจ ก่อนจะพยักหน้า “โอเค ฉันเข้าใจแล้วล่ะ”

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ โทรศัพท์ของนัทธีก็ดังขึ้น

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเล็กน้อย หลังจากที่บอกว่าขอโทษ ก็ลุกขึ้นไปรับสายในที่ที่เงียบๆ

ผ่านไปสักพัก หลังจากที่นัทธีคุยโทรศัพท์เสร็จ ก็กลับมาด้วยสีหน้าหนักใจ

เมื่อวารุณีเห็นท่าทีของเขาแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง “ประธานนัทธี เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?ถ้าเกิดว่ามีธุระอะไร คุณกลับไปก่อนได้เลยนะ”

“ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ฉันค่อยไปหาเธอก็ได้” นัทธีพูดเสียงเบาพลางผลุบตาลง

“เธองั้นเหรอ?” วารุณีสงสัย “ใครเหรอ?”

“เป็นเพื่อนคนหนึ่งน่ะ พรุ่งนี้เธอจะเข้าผ่าตัดแล้ว” นัทธีลากเก้าอี้มานั่ง

วารุณีรู้ทันทีว่าคนนั้นคือใคร จะต้องเป็นนวิยาอย่างแน่นอน

ส่วนอารมณ์ตอนที่เขาเพิ่งจะรับสายเสร็จ มันดูตึงเครียดมากขนาดนั้น และแคร์มากขนาดนั้น คงจะเหมือนกับที่พงศกรพูดว่าน่าจะรักนวิยาอย่างสุดใจไปแล้วน่ะ

วารุณีมีแววตามืดมนไปเล็กน้อย

นัทธีสังเกตเห็น ขณะที่กำลังจะเปิดปากถามว่าเธอเป็นอะไร ก็เห็นว่าเด็กทั้งสองคนนั้นวิ่งออกมาทั้งๆ ที่ตัวเหงื่อออกเต็มไปหมด

วารุณีเองก็ไม่มีเวลาจะรู้สึกปวดใจต่อไป เลยรีบหยิบกระดาษทิชชูออกจากกระเป๋า พลางเตรียมจะเช็ดเหงื่อให้เด็กทั้งสองคน

หลังจากที่เธอเช็ดเหงื่อเสร็จ นัทธีก็เอานมที่เพิ่งสั่งมา ให้เด็กทั้งสองคน

เด็กทั้งสองคนคงจะหิวน้ำเป็นอย่างมาก เลยยกนมขึ้นกินอึกใหญ่

วารุณีเห็นดังนั้น เลยตบหลังของเด็กทั้งสองคนเบาๆ “ค่อยๆ ดื่ม เดี๋ยวก็สำลักหรอก”

“อือๆ รู้แล้วล่ะ” ถึงเด็กทั้งสองคนตอบทั้งที่ในปากยังเต็มไปด้วยของกิน แต่ว่าท่าทีในการกลืนนั้น กลับไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่น้อย

วารุณีส่ายหัวด้วยความไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี

“สบายดีจริงๆ เลย!” หลังจากที่ดื่มนมจนหมด อารัณก็วางแก้วนมลง จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์

ไอริณเองก็ทำตาม ขอปากยังมีนมติดเป็นรอยรอบๆ เหมือนหนวด มันดูน่ารักมาเลยล่ะ

นัทธีมีความเอ็นดูอยู่ในแววตา จากนั้นก็หยิบกระดาษที่วารุณีเพิ่งจะวางลง ดึงออกมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะเช็ดปากที่เปื้อนน้ำนมให้เด็กน้อย ด้วยท่าทีอ่อนโยน

วารุณีเห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้ ก็ขยับปากเล็กน้อยเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“หม่ามี๊” อารัณดึงมือของวารุณี ก่อนจะเรียกให้วารุณีมีสติกลับมา “สวนสนุกมันสนุกมากเลย ครั้งหน้าพวกเรามาอีกได้ไหม?”

“ได้สิ ถ้ามีเวลาครั้งหน้าหม่ามี๊จะพาพวกหนูมาอีกนะ” วารุณีลูบหัวของเขา จากนั้นก็ดันเขามาที่ด้านหน้าของนัทธี “แต่ตอนนี้พวกหนูควรจะขอบคุณคุณอานัทธีก่อนหรือเปล่า?คุณอานัทธีเป็นคนพาพวกหนูมาทั้งๆ ที่ยังเจ็บแผลอยู่เลยนะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กทั้งสองคนก็รีบขอบคุณ

ไอริณถึงกับโบกมือให้นัทธี “คุณอานัทธี คุณอาก้มหน้าลงมาหน่อย”

“ทำไมเหรอ?” นัทธีก้มมองเธอ

วารุณีเองก็มองเด็กน้อยด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าเธออยากจะทำอะไร

เมื่อไอริณเห็นว่านัทธีไม่ขยับ เลยทำปากจู๋ “เดี๋ยวคุณอานัทธีก็รู้เอง ก้มหัวลงมาเถอะ”

นัทธียอมทำตามแล้ว

เด็กน้อยเขย่งเท้า ก่อนจะจุ๊บเขา แล้วพูดคำที่ทำให้ทุกคนตกใจออกมา “คุณอานัทธี ไอริณกับพี่ชอบคุณอามากเลย คุณอาแต่งงานกับหม่ามี๊เถอะ แล้วมาเป็นพ่อจริงๆ ของไอริณกับพี่ได้ไหม?จะได้ไม่ต้องแกล้งเป็นพ่ออีกต่อไปแล้ว”

“พรวด!” วารุณีสำลักน้ำผลไม้ออกมา

นัทธีเองก็ตกใจอึ้งไปเหมือนกัน

มีเพียงอารัณที่ตาเป็นประกาย “นั่นสิ คุณอานัทธี คุณอามาเป็นพ่อของพวกเราได้ไหม?”

“พอได้แล้วทั้งสองคน!” ยังไม่ทันรอให้นัทธีตอบ วารุณีก็ดุออกไป

แต่เด็กทั้งสองคนนั้นไม่สนใจเธอเลย แววตาทั้งสองคู่ต่างมองไปทางนัทธี

“คุณอานัทธี คุณอาไม่อยากเหรอ?” อารัณถามขึ้น

นัทธีเม้มปากบางๆ เล็กน้อย “คำพูดแบบนี้ อย่าไปพูดมั่วๆ นะ”

“พวกเราไม่ได้พูดมั่วๆ พวกเราพูดจริงๆ นะ” อารัณจับมือน้อยๆ ทั้งสอง ด้วยอารมณ์จริงจัง

ไอริณพยักหน้าอยู่ข้างๆ

วารุณีปวดหัวเป็นอย่างมาก และทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยดึงเด็กทั้งสองคนมาที่ด้านหน้า ก่อนจะโค้งตัวให้นัทธีด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษประธานนัทธีจริงๆ นะคะ คำพูดของเด็กที่ไม่ได้คิด เลยทำให้คุณตลกน่ะ”

นัทธียกมือขึ้นปัด “ไม่เป็นไร”

เด็กทั้งสองคนไม่พอใจ “หม่ามี๊ พวกเราไม่ได้……”

“หุบปาก!” วารุณีดุออกมาด้วยความโกรธ

เด็กทั้งสองคนก้มหน้าลงด้วยความน้อยอกน้อยใจ

วารุณีเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ ก็ใจอ่อนขึ้นมา ก่อนจะนั่งยองลงไปสบตากับพวกเขา “เด็กน้อย หม่ามี๊ไม่ได้อยากจะดุพวกหนูนะ แต่พวกหนูทำผิดไปแล้วรู้ไหม?อีกอย่างคุณอานัทธีเองก็มีคู่หมั้น พวกหนูจะให้หม่ามี๊มาแต่งงานกับคุณอานัทธีได้อย่างไร?”

เมื่อนัทธีได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วแน่น เพราะไม่พอใจกับคำว่าคู่หมั้นที่เธอพูดออกมาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรสักเท่าไหร่

“โอเค ขอโทษคุณอานัทธีซะ จากนี้ จะพูดอะไรแบบนี้อีกไม่ได้นะ” วารุณีตบหลังของเด็กทั้งสองคนเบา

เด็กทั้งสองคนก็ขอโทษด้วยความเชื่อฟัง

และแล้วฉากของกิจกรรมจากอนุบาลเพื่อเชื่อความสัมพันธ์ ก็ปิดฉากลงตรงนี้

นัทธีส่งแม่ลูกทั้งสามไปที่ด้านล่างของคอนโด ก่อนจะขับรถออกไปทันที

วารุณีพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้าน จากนั้นก็เปลี่ยนรองเท้า แล้วก็ได้รับสายจากนักสืบ

“คุณวารุณี ฉันตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว มีคนยุยงเด็กเหล่านั้นเพื่อให้มาแกล้งลูกทั้งสองคนของคุณจริงๆ ด้วย” คุณณัทพูดขึ้น

วารุณีกำมือที่ถือโทรศัพท์แน่น “ใครงั้นเหรอ?”

“คนคนนี้คุณต้องรู้จักแน่ๆ ชื่อพิชญาน่ะ” คุณณัทตอบ

วารุณีหลับตาลงด้วยความโหดร้าย ก่อนจะกดความโกรธแค้นในใจลง “เป็นเธอจริงๆ ด้วย”

ช่วงหลายวันมานี้ เธอสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าไม่กล้าตัดสินไปก่อน

ตอนนี้ก็ดีแล้ว ถือว่ามั่นใจได้แล้วล่ะ!

วารุณีวางสายลงด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนจะตัดสินใจในใจแล้ว ว่าจะให้พิชญารับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น มากลั่นแกล้งเธอยังพอว่า แต่มากลั่นแกล้งเด็กทั้งสองคนของเธอ มันไม่ได้เด็ดขาด!

วันที่สอง วารุณีเพิ่งจะมาถึงที่แผนกออกแบบ เธอเพิ่งจะนั่งลงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงตะโกนโวยวายของหญิงบ้ามาจากหน้าประตู “วารุณี นังแพศยาออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”