บทที่ 62 ใส่ร้ายป้ายสี

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“ไม่รู้ เห็นว่ามาหาคุณวารุณีน่ะ”

คนมากมายภายในห้องทำงานใหญ่ ต่างพากันมองไปที่วารุณี

วารุณีขมวดคิ้วพลางยืนขึ้นมา ก็เห็นขยานีอยู่ที่หน้าประตูในทันที

เธอยืนเท้าเอวอยู่ตรงนั้น ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อก่อเรื่องวุ่นวาย

วารุณีเองก็ไม่อยากรบกวนการทำงานของคนอื่น เลยเดินเข้าไปหา แล้วก็ปิดประตูของห้องทำงานใหญ่นั้น แววตาของทุกคนที่อยากจะเห็นความวุ่นวายนั้นก็ถูกปิดกั้นเอาไว้ จากนั้นก็ถามด้วยเสียงเย็นชา “คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

ขยานีกัดฟันแน่นพลางยกมือขึ้น ก่อนจะเข้ามาตบหน้าของเธอ

วารุณีหรี่ตาคมกริบ ก่อนจะเบี่ยงหัวเพื่อหลบฝ่ามือของขยานี แล้วจับมือของเธอเอาไว้ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณอยากจะตบฉันงั้นเหรอ?”

ขยานีมองวารุณีด้วยความร้ายกาจ “ฉันจะตบนังแพศยาในตัวคุณต่างหาก คุณกล้ามาอ่อยลูกเขยของฉัน เราจะได้เห็นดีกัน!”

“ฉันไปอ่อยลูกเขยคุณตอนไหน?” วารุณีสะบัดมือของเธอออก

ขยานีเซไปสองก้าวก่อนจะยืนอย่างมั่นคง จากนั้นก็หยิบรูปมากมายออกมาโยนใส่วารุณี

วารุณีดูรูปเหล่านั้นเล็กน้อย ก็พบว่าเป็นภาพที่นัทธีพาพวกเขาแม่ลูกทั้งสามคนไปที่สวนสนุก

“ตอนนี้คุณมีอะไรจะพูดอีกไหม?” ขยานีมองเธอด้วยความแดกดัน

วารุณีหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะพูดอย่างใจเย็น “แค่รูปพวกนี้ คุณจะมาบอกว่าฉันอ่อยประธานนัทธี มันไม่น่าตลกไปหน่อยเหรอ อีกอย่างฉันกับประธานนัทธีมีลูกด้วยกันแล้ว จะมาพูดเรื่อยอ่อยอีกทำไม เขามาอยู่กับพวกเราแม่ลูกสามคนนั้น มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ตอแหล ฉันได้ยินพิชญาบอกมาหมดแล้ว ลูกนอกสมรสของคุณไม่ใช่ลูกของนัทธีด้วยซ้ำ ครั้งก่อนที่นัทธีบอกว่าเป็นลูกเขา ก็เพราะจะช่วยคุณเท่านั้นเอง แต่คุณยังอยากจะไต่เต้าขึ้นไปอีก เพื่อแย่งตำแหน่งไปจากพิชญา” ขยานีชี้ตรงไปพลางด่าเธอ

ถึงวารุณีจะโกรธที่ด่าเด็กทั้งสองคนว่าลูกนอกสมรส แต่สื่งที่น่าตกใจกว่าคือความไม่รู้ของขยานี “ที่แท้พิชญาก็ไม่ได้บอกคุณเหรอ”

พิชญารู้ว่าเด็กทั้งสองคนนั้นเป็นลูกของนัทธี แล้วก็บอกสุภัทรด้วย แต่กลับไม่ได้บอกขยานี แถมยังโกหกขยานีอีก

ดูๆ ไปแล้วพิชญาคงจะรังเกียจแม่อย่างขยานีมากเลยล่ะ

วารุณีมองขยานีด้วยความเห็นใจ “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าคุณน่าสงสารมากเลยล่ะ”

“คุณหมายความว่าอย่างไร?” ขยานีถามเสียงสูงขึ้นมา

“ไม่มีอะไร” วารุณียักไหล่ ก่อนจะหยิบรูปขึ้นจากพื้นขึ้นมาปัดๆ ในมือ “รูปพวกนี้พิชญาเป็นคนให้คุณใช่ไหม?”

ขยานีแววตาเป็นประกาย

วารุณีรู้ว่าตัวเองเดาถูกแล้ว เลยพูดจาแดกดันด้วยความเย็นชา “ขนาดการตามเพื่อแอบถ่ายยังทำได้เลย ชั้นต่ำจริงๆ”

“พิชญาของฉันสูงส่งกว่าคุณตั้งเยอะ” ขยานีมองเธอด้วยความดูถูก “แอบถ่ายแล้วมันทำไมเหรอ?เธอเป็นคู่หมั้นของนัทธี เมื่อเห็นเขากับเมียน้อยอยู่ด้วยกัน ก็ต้องถ่ายเอาไว้ไม่ใช่เหรอไง?”

“เมียน้อยงั้นเหรอ?” วารุณีเลิกคิ้วขึ้น

ขยานีเดินวนเธอรอบหนึ่ง “ทำไม คุณไม่ใช่เมียน้อยเหรอ?ทั้งๆที่เธอรู้ว่านัทธีกับพิชญาหมั้นหมายกันแล้ว แต่กลับมาอยู่กับนัทธีตลอดเวลา นี่มันไม่ใช่เมียน้อยแบบคลาสสิคเลยเหรอ?”

วารุณีเหมือนได้ฟังเรื่องตลก เลยกอดอกแล้วหัวเราะขึ้นมา “สมัยนี้แล้ว ถึงจะบอกว่ามีคนทุกแบบ แต่เมียน้อยจริงๆ มาว่าคนอื่นว่าเมียน้อยเนี่ย ฉันเพิ่งเคยเห็นนะ คุณน้าขยานี อยู่ตำแหน่งเมียหลวงมานานเกินไปแล้วใช่ไหม ดังนั้นคุณเลยลืมว่าคุณขึ้นมาเป็นเมียหลวงได้อย่างไร?”

“นี่……” ขยานีหน้าบูด แววตาที่จ้องวารุณีนั้นเหมือนจะพ่นพิษออกมาได้เลยล่ะ

สิ่งที่เธอเกลียดที่สุดในชีวิต คือการถูกคนอื่นด่าว่าขึ้นมาจากตำแหน่งเมียน้อย

แต่นังแพศยานี่ ตั้งใจมาเหยียบย่ำบาดแผลในใจเธอเลยนี่

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สติของขยานีก็เริ่มถูกความโกรธครอบงำ ก่อนจะรีบปรี่เข้าไปหาวารุณี เพราะอยากจะแหกหน้าของวารุณีออกเป็นชิ้นๆ

แต่ในครั้งนี้วารุณีก็หลบได้อีกครั้ง

แต่ว่าขยานีกลับไม่รีรอ จึงปรี่เข้าไปอีกครั้ง พลางตัดสินใจว่าจะเอาวารุณีให้ตายถึงจะหยุด

ถึงแม้ว่าวารุณีจะเคยเรียนการป้องกันตัวจากต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ขยานีนั้นเหมือนอีบ้า ที่พอทะเลาะขึ้นมาก็ไร้กฎเกณฑ์จนควบคุมไม่ได้เลยล่ะ

การป้องกันตัวของเธอนั้นใช้ไม่ได้แล้ว อย่างมากก็ทำได้เพียงมั่นใจว่าจะไม่ถูกขยานีจับเอาไว้ได้ แต่ก็ทำอะไรขยานีไม่ได้มากเท่าไหร่

ในตอนนั้นเอง มีเสียงรองเท้าส้นสูงเดินมา

จากนั้น ก็มาคนมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังของวารุณี

วารุณีล็อกขยานีเอาไว้ พลางหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นพิชญา จากนั้นแววตาก็มีความระแวงขึ้นมา

พิชญาสังเกตเห็นแววตาของวารุณี หลังจากที่ยิ้มร้ายๆ ใส่เธอ ก็จะยื่นมือออกไปผลักเธอ

วารุณีม่านตาหดลง ก่อนจะรีบย่อตัวลง แล้วข้างหน้าก็เผยให้เห็นขยานีในทันที

เพราะการหลบของเธอในครั้งนี้ ทำให้มือของพิชญาไปโดนขยานี

ขยานีถูกผลักจนเซไปหลายก้าว ก่อนจะล้มลงไปทั้งตัว แล้วหัวก็ไปชนเข้ากับพื้น ก่อนจะเกิดเสียงขึ้น แล้วก็สลบลงไปในทันที

เมื่อสถานการณ์พลิก ทำให้พิชญาตกใจตกใจไปสักพัก แต่หลังจากที่มีสติขึ้นมา เธอก็มองวารุณีพลางยิ้มร้ายๆ ใส่ “วารุณี คุณจบเห่แล้วล่ะ!”

เมื่อพูดไป พิชญาก็รีบเปิดประตูห้องทำงานใหญ่ออก ระหว่างที่วารุณีจับจ้อง จากนั้นก็วิ่งมานั่งข้างๆ ขยานี แล้วกอดขยานีเอาไว้ พลางตะโกนด้วยความเศร้าใจ “แม่ แม่ฟื้นสิ แม่อย่าทำให้หนูตกใจนะ แม่!”

“เป็นอะไรเหรอผู้จัดการพิชญา?” คนในห้องทำงานใหญ่ได้ยินเสียงดังขึ้น ก็รีบวิ่งมาดู

พิชญาชี้ไปทางวารุณีด้วยน้ำตาที่เต็มใบหน้า ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความโกรธ “เธอผลักแม่ของฉันล้มลงกับพื้น ตอนนี้แม่ฉันสลบไปแล้ว”

“อะไรนะ?มากเกินไปแล้วนะ!” เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้น ก็พากันด่าวารุณีขึ้นมา

วารุณีเข้าใจเป้าหมายของพิชญาแล้ว แววตาก็มีประกายขึ้นมาก่อนจะถอยหลังไป พลางแกล้งส่ายหัวด้วยความร้อนรนอย่างจอมปลอม “ฉันไม่ได้ผลักเธอนะ”

“เธอโกหก เธอนั่นแหละที่ผลัก ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เธอ แล้วจะให้ฉันผลักแม่ตัวเองล้มหรือไง?” พิชญาเถียงเสียงดังขึ้น

วารุณีกำหมัดแน่น “ทำไมคุณไม่บอกว่าคุณเป็นคนผลักล่ะ?”

ยังไม่ทันรอให้พิชญาพูดอะไร คนอื่นๆ ก็ด่าขึ้นด้วยความโกรธในทันที “คุณวารุณี หรือจะบอกว่าผู้จัดการพิชญาเป็นคนลงมือกับแม่ของเธอเองงั้นเหรอ?”

“นั่นสิ จะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานหน่อยนะ!”

วารุณีเห็นว่าไม่มีใครเชื่อตัวเอง เลยร้อนรนใจเป็นอย่างมาก “พวกคุณรู้อะไรบ้างล่ะ คนคนนี้ไม่ใช่แม่ของผู้จัดการพิชญาด้วยซ้ำ แต่เป็นแม่เลี้ยง พวกเธอไม่สนิทสนมกันเลย”

“คุณอย่ามั่วนะ นี่แม่แท้ๆ ของฉัน ถ้าเกิดว่าคุณไม่เชื่อ พวกเราตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะ” พิชญารีบตอบกลับ ในใจกลับสงสัย ว่าวารุณีรู้ว่าเธอกับขยานีเป็นแม่ลูกแท้ๆ กันอยู่แล้ว ทำไมยังมาบอกว่าขยานีเป็นแม่เลี้ยงของเธอนะ?

คิดอยู่สักพัก แต่พิชญาก็คิดไม่ออก เลยคิดเสียว่าตัวเองอาจจะคิดมากไปเอง

แต่เมื่อทุกคนได้ยินเธอพูดว่าตรวจดีเอ็นเอ เลยเข้าข้างเธอ “คุณวารุณี คุณได้ยินแล้วใช่ไหม ว่าเธอคือแม่แท้ๆ ของผู้จัดการพิชญา คุณใส่ร้ายว่าผู้จัดการพิชญาผลักแม่ของตัวเอง ก็ต้องเอาหลักฐานมาแสดงด้วยนะ”

“พวกคุณ……” วารุณีพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะก้มหน้าลง เหมือนกับเป็นการยอมรับความผิดของตัวเอง แต่ว่าในใจนั้นกลับกำลังยิ้มเยาะเสียงเย็นชา

นังโง่ มายอมรับต่อหน้าทุกคนว่าขยานีเป็นแม่แท้ๆ เสียอย่างนั้น

ตอนแรกเธอยังคิด ว่าควรจะแก้แค้นพิชญาฐานยุยงเด็กคนอื่นๆ และมากลั่นแกล้งลูกของเธออย่างไรดี แต่คิดไม่ถึงพิชญาจะส่งตัวเองมาให้แก้แค้นได้ง่ายดายขนาดนี้ ถ้างั้นจะมาโทษเธอไม่ได้แล้วนะ

พิชญาไม่รู้ว่าวารุณียังอยากจะพูดอะไรอีก ที่จะทำให้เธอกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีของทุกคน ในใจก็รู้สึกยโสเป็นอย่างมาก แต่ว่าบนใบหน้านั้นกลับไม่ได้แสดงออกชัดเจน พลางยังมีท่าทีร้อนใจเหมือนเดิม “ทุกท่าน รบกวนพวกคุณสองคนมานี่ เพื่อช่วยส่งแม่ของฉันไปที่ห้องพยาบาลหน่อย ฉันอุ้มไม่ขึ้น ส่วนคนอื่นๆ กลับไปทำงานต่อเถอะ”

เมื่อเธอพูดจบ ก็มีนักออกแบบชายสองคนเดินออกมา ก่อนจะอุ้มขยานีไปที่ลิฟต์ ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยเดินกลับไปที่ห้องทำงานใหญ่

คนที่เดินอยู่คนสุดท้าย ยังบอกพิชญาอีกว่าถ้าเกิดแจ้งความแล้วต้องการพยานบุคคล พวกเขาเป็นพยานให้ได้

นี่เป็นคำที่พิชญาอยากฟังอยู่พอดี เธอขอบคุณ พลางปิดประตูของห้องทำงานใหญ่อีกครั้ง

“คุณตั้งใจใส่ร้ายฉัน” วารุณีจ้องพิชญาเขม็ง

พิชญาเช็ดน้ำตาจระเข้พลางพูด “ใช่แล้วล่ะ ฉันจะใส่ร้ายคุณ เมื่อวานฉันได้รับข้อความลึกลับ บอกว่านัทธีพาพวกคุณแม่ลูกไปที่สวนสนุก ดังนั้นฉันเลยตั้งใจให้คนไปถ่ายภาพเอาไว้ จากนั้นก็บอกแม่ฉัน ว่าคุณอยากจะมาแย่งตำแหน่งคู่หมั้นไปจากฉัน”

“แล้วอย่างไรต่อล่ะ?” วารุณีผลุบตาลง