บทที่ 63 เป็นไข้

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

พิชญาไม่ได้เห็นว่าเธอสงบมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีท่าทีที่ร้อนรนจนพูดไม่รู้เรื่อง เหมือนเมื่อครู่ที่ถูกกล่าวหาแล้ว เลยพึมพำเสียงเย็นชา “แม่ของฉันยอมรับไม่ได้ว่ามีคนจะมาแย่งตำแหน่งคู่หมั้นของนัทธีไปจากฉัน ฉันยุยงไปเพียงนิดหน่อย เธอก็มาหาคุณแล้ว นัทธีไม่มีทางยกเลิกสัญญาหมั้นเพราะเรื่องที่เธอทำนั้นหรอก”

“ทำไม?” แววตาของวารุณีเป็นประกาย ก่อนจะทำตามแผนต่อไป

พิชญานั้นตอบด้วยความภูมิใจเป็นอย่างมาก “เพราะทุกคนต่างรู้ว่าคุณเป็นเมียน้อย ถ้าเกิดว่านัทธีกับฉันยกเลิกสัญญาหมั้น ผลที่จะตามมาก็คือถูกสังคมนินทาว่าร้าย หุ้นของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็จะร่วง นัทธีนั้นเป็นนักธุรกิจที่ฉลาด เขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”

“พูดถูก” ในแววตาของวารุณีมีความแดกดันอยู่ไม่น้อย

พิชญามีสีหน้าหนักใจขึ้นมา “แต่ฉันคิดไม่ถึงเลย ว่าขยานีจะได้รับบาดเจ็บจริงๆ แต่ไม่ต้องกลัวนะ คุณเป็นแพะรับบาปไปเถอะนะ”

“คุณมั่นใจขนาดนี้คิดว่าไม่มีใครรู้ความจริงเลยเหรอ?” วารุณีเลิกคิ้วขึ้น

พิชญายิ้มขึ้นอย่างร้ายกาจ “แน่นอน ที่นี่ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่ใช่ว่าฉันอยากพูดอะไรก็พูด แต่ในสถานการณ์แบบนี้คนในแผนกออกแบบ เป็นพยานให้ฉันได้ทั้งนั้น”

“งั้นเหรอ……” วารุณีชายตาขึ้นมอง ก่อนจะมองไปที่บนหัวอย่างไม่ให้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ จากนั้นจึงผลุบสายตากลับมา “ฉันอยากจะถามคำถามหนึ่ง คุณเหมือนจะเกลียดขยานีมากนะ ทำไม เธอไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณเหรอ?”

“มันเกี่ยวอะไรกับคุณ ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย?” พิชญามีท่าทีเหมือนถูกจี้ใจเข้า เลยตะโกนออกมาอย่างร้ายกาจ

เมื่อวารุณีเห็นแบบนี้ ก็ยกมือขึ้นทำไม่รู้ไม่ชี้ “ฉันก็แค่สงสัยน่ะ”

“หึ คุณจะมาสงสัยเรื่องราวระหว่างฉันกับขยานีทำไม ไปคิดดีกว่าไหมว่าจะรับมือกับการกระทำต่อไปของฉันอย่างไรดีน่ะ!” หลังจากที่พิชญาจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตาแล้ว ก็เดินไปทางลิฟต์พร้อมกับรองเท้าส้นสูงด้วยความเย่อหยิ่ง

วารุณีมองประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง แต่ก็ไม่ได้ยืนเหม่ออยู่ที่เดิมนานมากนัก เมื่อจัดการผมเผ้าเสร็จ ก็เปิดประตูของห้องทำงานใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไป

ผ่านไปไม่นาน ข่าวที่ว่าวารุณีอ่อยนัทธีแถมยังผลักขยานีจนได้รับบาดเจ็บ ก็ถูกพิชญาปล่อยข่าวว่อนไปทั่วบริษัท

ในตอนนั้น วารุณีชื่อเสียงเสียหายเป็นอย่างมา เดินไปที่ไหนก็มีแต่คนชี้หน้าด่า

ถ้าเกิดเป็นคนอื่น ตอนนี้คงไม่มีหน้าจะอยู่ในบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปต่อแล้วล่ะ

แต่ว่าวารุณีนั้นไม่ใช่ ควรจะทำงานก็ทำ ควรจะกินข้าวพักผ่อนก็ไปทำตามเคย เธอสงบจนทำให้คนอื่นตกใจ เหมือนกับว่าคนที่ก่อเรื่องนั้นไม่ใช่เธออย่างไรอย่างนั้นเลย

ในตอนนี้ มีนักออกแบบคนหนึ่งพาตำรวจเดินเข้ามา ก่อนจะชี้ไปที่วารุณี “เธอนี่แหละ”

วารุณียืนขึ้น

ตำรวจทั้งสองคนหยุดตรงหน้าเธอ หนึ่งในนั้นหยิบเอกสารการแจ้งความออกมาให้เธอดูพลางพูดขึ้น “สวัสดีคุณวารุณี พวกเราได้รับแจ้งความ ว่าคุณตั้งใจผลักจนคนได้รับบาดเจ็บ กระทบกระเทือนถึงสมอง ทำให้ถือเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายรุนแรงระดับสอง ขอให้ไปกับพวกเรา เพื่อให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วย”

เมื่อได้ฟังน้ำเสียงอย่างพูดแทรกได้ยาก วารุณีก็รู้ว่าตัวเองไม่ไปไม่ได้ เลยพยักหน้าตอบรับไป

แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจก็คือ ขยานีได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น ถึงขั้นกระทบกระเทือนถึงสมองเลยทีเดียว

จะว่าไปตอนนั้นพิชญาก็ปรี่เข้ามาเพื่อจะผลักเธอให้ถึงแก่ชีวิตเลยนะ

กำลังคิดอยู่ วารุณีก็มีแววตาเย็นชาขึ้นมา

จากนั้น เธอก็ไปที่สถานีตำรวจกับตำรวจสองคน ท่ามกลางการมองของคนมากมาย

หลังจากไปถึงสถานีตำรวจ ผู้ช่วยตำรวจคนหนึ่งก็หยิบโทรศัพท์ของเธอออกมา ก่อนจะพาเธอไปที่อีกห้องหนึ่ง

วารุณีเงยหน้ามองป้ายตรงประตูของห้อง จากนั้นก็เครียดขึ้นมา ตอนที่กำลังจะถามออกไป ก็ถูกผู้ช่วยตำรวจผลักเข้าไปเต็มแรง

หลังจากที่เธอเซเดินเข้าไป ท้องก็ชนกับมุมของแท่นตรงกลางของห้องตัดสิน มันเจ็บจนเธอถอนหายใจออกมา พร้อมกับเหงื่อที่แตกออกมาบริเวณหน้าผาก

ส่วนผู้ช่วยตำรวจนั้นทำเหมือนไม่เห็นอะไร เลยลากเก้าอีกมานั่งลง ก่อนจะเคาะโต๊ะ “คุณนั่งลงตรงข้าม ฉันจะเริ่มบันทึกเสียงการสารภาพแล้วนะ!”

วารุณีไม่ได้ทำตาม ก่อนจะมองเขาพลางเอามือกุมท้องด้วยใบหน้าคร่ำเครียด “คุณตำรวจ ฉันแค่มาให้ความร่วมมือในการสอบสวน ตอนนี้พวกคุณยังไม่มีหลักฐานว่าฉันผลักจนบาดเจ็บ ดังนั้นมีสิทธิ์อะไรมาจับฉันเอาไว้ในห้องตัดสิน?”

ผู้ช่วยตำรวจคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดแบบนี้ เลยมองเธอด้วยความแปลกใจ “โอ้โห ดูเหมือนคุณจะยังไม่ยอมนะ?ทำไมพาคุณมาห้องตัดสินคดีเหรอ คุณมาถึงสถานีตำรวจแล้ว มันก็หมายความว่าคุณผลักคนแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“อะไรนะ?” วารุณีเหม่อไปเพราะคำพูดของเขา ก่อนจะมีสติกลับมาในอีกไม่กี่วินาที พลางโกรธจนหน้าแดง “มันตลกเกินไปแล้วนะ ฉันมาที่สถานีตำรวจกับพวกคุณเพราะฉันผลักคน งั้นตามที่คุณพูด ก็หมายความว่าทุกคนที่มาที่สถานีตำรวจเพราะทำผิดหมดเลยงั้นเหรอ?หัวหน้าของพวกคุณล่ะ?ฉันอยากจะเจอหัวหน้าของพวกคุณ!”

พูดไป เธอก็เดินออกไปที่ประตู

ผู้ช่วยตำรวจมีประกายของความชั่วร้ายในแววตา เลยยืนขึ้นมา ก่อนจะหยิบกระบองมาฟาดไปที่หลังของเธอ

หลังจากที่วารุณีร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก็ล้มลงกับพื้น ก่อนจะมองไปทางผู้ช่วยตำรวจด้วยความเจ็บปวดเกินจะทนไหว

ผู้ช่วยตำรวจยืนอยู่ต่อหน้าเธอ ก่อนจะมองลงมาที่เธอ “ฉันว่าจะให้ดีคุณอยู่นิ่งๆ เถอะนะ มีคนรู้จักกับพวกเรา บอกว่าขอแค่ไม่เกินความเหมาะสม ก็ทำอะไรร้ายแรงกับคุณได้น่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น วารุณีก็ตกใจอึ้งไป

ที่แท้ผู้ช่วยตำรวจคนนี้ก็ถูกซื้อตัวไปเสียแล้ว เลยจะมาบังคับให้เธอยอมรับผิด ดังนั้นเธอเลยถูกพามาที่ห้องตัดสินคดีทันที!

คนที่ซื้อตัวพวกเขาไปจะเป็นใครได้ นอกจากพิชญา เธอก็นึกถึงคนอื่นไม่ออกแล้ว

เมื่อเห็นว่าวารุณีนิ่งสงบลง ผู้ช่วยตำรวจก็โยนกระบองอันนั้นไปข้างๆ “บอกมา ว่าทำไมต้องผลักด้วย?”

วารุณีลุกขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉันไม่ได้ผลักใคร!”

ปลายปากกาของผู้ช่วยตำรวจชะงักไป “ยังไม่ยอมรับอีกเหรอ?”

วารุณียิ้มอย่างเย็นชา “เรื่องที่ไม่ได้ทำ ทำไมต้องยอมรับด้วย?”

“นี่!” ผู้ช่วยตำรวจถูกเธอเถียงกลับไปทันควันจนเถียงไม่ออก

สุดท้าย ใช้ทั้งไฟฉายแรงสูงกับการบังคับทางจิตวิทยาแล้ว แต่วารุณีก็ยังพูดว่าไม่ได้ผลักใครอยู่นั่นแหละ

ผู้ช่วยตำรวจเลยเกาหัวด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะทำอะไรกับเธอไม่ได้จริงๆ

ถึงแม้ว่าคนนั้นจะบอกว่าทำอะไรโหดร้ายกับเธอสักหน่อยก็ได้ แต่ว่าพวกเขาจะลงโทษจริงๆ ไม่ได้

ขณะที่จนปัญญานั้น ผู้ช่วยตำรวจก็ทำได้เพียงขังวารุณีเอาไว้อย่างแน่นหนา

วารุณียืนตะโกนอยู่ตรงประตู ตำรวจที่ผ่านห้องตัดสินคดีไปมา ต่างทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร

เวลาผ่านไป วารุณีก็ตะโกนจนเหนื่อย เลยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างหน้า

เธอไม่มีโทรศัพท์ ติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้ แล้วก็มองไม่เห็นเวลาด้วย ทำได้เพียงรอคนเดินเข้ามาอย่างกังวลใจ เธอไม่เชื่อ ว่าพวกเขาจะกล้าขังเธอเอาไว้ในนี้ตลอด!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน อากาศในห้องตัดสินคดีก็เย็นลง วารุณีหนาวตัวสั่นในทันที เพียงไม่นาน เธอก็รู้สึกว่าสมองนั้นมึนงง เหมือนโลกหมุน

จากนั้นไม่นาน เธอก็หน้ามืดไป จนล้มลงบนโต๊ะตัดสินคดีความ

แต่ว่าก่อนจะหมดสติไป เธอพอจะเห็นว่าประตูของห้องตัดสินคดีนั้นถูกเปิดออกแล้ว ก่อนจะมีเงาร่างใหญ่ที่คุ้นตาเดินเข้ามา

“ประธานนัทธีเหรอ?” วารุณีถาม

คนที่มานั้นไม่มีท่าทีจะตอบ

วารุณีเลยพึมพำด้วยความรู้สึกแย่ เธออยากจะลืมตาดูให้เห็นชัดๆ แต่ว่าเปลือกตานั้นกลับหนักเป็นอย่างมาก มันลืมตาไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เลยเป็นลมไป

นิรุตติ์ก้มหน้ามองเธอ หลังจากที่แว่นเป็นประกายขึ้น ก็ยื่นมือไปอุ้มเธอขึ้นมา

เพิ่งจะออกมาจากสถานีตำรวจ ก็มีรถมายบัคสีดำขับมาจอดตรงหน้า

เมื่อประตูรถเปิดออก นัทธีก็ลงมาจากรถ แล้วก็เห็นนิรุตติ์อุ้มวารุณีอยู่ ในแววตาเลยมืดดำลง

แต่จากนั้นเขาก็พบว่าวารุณีหลับตาอยู่ แถมใบหน้าก็ยังมีความแดงอย่างประหลาดอยู่ด้วย เขาเองก็ไม่มีเวลาที่จะสนใจความไม่สบายใจนั้น เลยถามเสียงทุ้มออกไป “เธอเป็นอะไรเหรอ?”

“ไข้ขึ้นน่ะ” นิรุตติ์ตอบอย่างไม่เห็นด้วย พลางมองเขาเล็กน้อย “คุณบอกว่าจะอยู่รอนวิยาผ่าตัดเป็นเพื่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”

นัทธีไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยื่นมือออกมา “ส่งเธอมาให้ฉัน!”