คนยกชูตะบันไฟขึ้นมา แสงสีส้มสว่างถูกจุดขึ้น ขับไล่ความมืดมิด ขับเน้นให้เห็นฉากหลังของสุสานโบราณคร่ำคร่าที่ดูไม่น่าเป็นความจริง
แผ่นกระเบื้องแตกหักตะปุ่มตะป่ำ เผยให้เห็นศพโบร่ำโบราณที่พังทลาย ล้วนเปลี่ยนเป็นซากแห้งกรัง ทวารทั้งห้าหลงเหลือเพียงเส้นสายเลือนรางแบนราบ
มงกุฎประกอบอาภรณ์โบราณกาลล้วนผุพังสลาย กล้ามเนื้อแปรสภาพสีคล้ายผักดอง ผิวหนังหดเหี่ยวแห้ง รัดใบหน้าจมูกปากจนเหลือเพียงหลุมขนาดเท่ากำปั้น บิดเบี้ยวพิกลพิการยิ่ง
ผู้บงการเบื้องหลังไม่กล้าเผยโฉม ทว่า ยังคงมีซากศพโบราณสองสามซากที่ยังไม่เน่าเปื่อยเหี่ยวแห้งหมดสิ้น พลังที่แผ่พุ่งออกมาจากซากร่างกลับไม่อ่อนด้อย เพียงพอในการกวาดล้างผู้ฝึกตนทั้งหมดที่รุกล้ำเข้ามา
ก่อนกลายเป็นซากศพ พวกมันอย่างน้อยบรรลุพลังชั้นดวงธาตุทองคำ
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่ชีวิตเสื่อมสูญไปแล้ว พลังที่โครงร่างเหล่านี้แผ่ออกมา ยังเหนือล้ำกว่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลายเล็กน้อย แทบเทียบได้กับระดับพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด
“พบเจอพยัคฆ์ขวางทาง สับมันซะ!” ยังไงก็คุยกับซากศพไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ฉินจิ่วเกอทันทีที่พบเห็นศพเดินได้ก็เหมือนเห็นตัวเชื้อโรค ชักกระบี่หนักออกมาฟาดฟันทำลายทันที
“น่าจะมีศพโบราณและศพเดินได้คืนชีพมาเดินไปอยู่ทั่ว รีบจัดการรีบจบ พวกเราประสานทั้งซ้ายขวา” เมื่อก้าวย่างเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาล ลั่วเฉินสามารถควบรวมพลังวิญญาณของตนแปลงเป็นศัสตรา พอดีเสกกระบี่วิญญาณออกมาใช้แทน
“มหานทีสะบั้นสุริยัน!” กระบี่วิญญาณบริสุทธิ์ไร้ธุลี แสงสว่างซีดจางวาดโค้ง กลับมิได้มีขนาดใหญ่เฉกเช่นวันวาน ทว่าเพียงเส้นสายเล็กบางเท่าเส้นผมนี้ พลังที่บรรจุไว้กลับยิ่งอัดแน่นสู่ศูนย์กลาง
ประกายแสงสว่างวาดเป็นครึ่งวงกลม วนรอบเหนือกะโหลกศีรษะของซากศพโบราณ ก่อนสับผ่าครึ่งลงมา
ศพโบราณถูกบีบคั้นล่าถอยไปหลายก้าว กล้ามเนื้อเน่าเปื่อยถูกฉีกออก เปิดให้เห็นเนื้อกระดูกสีเหลืองซีดเลอะน้ำเน่าเปื่อย คล้ายไม่ได้รับความเสียหายใด
“ก่อนตายต้องเป็นยอดยุทธ์ชั้นกลั่นดวงธาตุแน่นอน กระดูกเลือดเนื้อได้รับการหล่อเลี้ยงจากไอดวงธาตุทองคำ สังขารจึงหนาทน อย่าได้ออมมือ!”
ลั่วเฉินลองทดสอบพลังของศพโบราณ ลงความเห็นอันเฉียบคม รวบรวมพลังประชิดร่างเพื่อโจมตี
ฉินจิ่วเกอเองก็สำแดงเคล็ดกิเลนครองฟ้าออกมาเช่นเดียวกัน ฝ่ามือขนาดยักษ์ประทับเข้าใส่ซากอสุภโบราณ บดขยี้ลงจนแม้แต่เหล็กยังต้องโค้งงอ
ตูมมม!
เมื่อผงคลีจางหาย ศพกลับไม่ล้มลง ข้อต่อเส้นเอ็นที่หลอมละลายเนิ่นนานแล้วถูกแทงทะลุ
ยามนี้ แม้แต่ระดับพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดยังไม่อาจต้านทานซากร่างเน่าเปื่อยเหล่านี้ พลังการป้องกันของพวกมันแข็งแกร่งเกินทำลายได้
ขณะที่ลั่วเฉินกล่าววาจา ปลายแขนเสื้อก็ถูกซากศพฉีกขาดทำลายไปครึ่ง กำปั้นแกร่งทุบเข้าใส่โครงกระดูกแข็งดั่งเหล็กหลอม ซากศพนั้นกลับไม่เขยื้อนแม้กระผีกริ้น ยังปลดปล่อยไอทมิฬมรณะออกมาอย่างทะลักทลาย กัดกร่อนมวลอากาศรอบด้าน
“พิฆาตสวรรค์!”
พลังวิญญาณปัดเป่าไอมรณะ ลั่วเฉินเหินร่างขึ้นสูง พร้อมใช้ท่าพิฆาตสวรรค์ ประกายแสงไขว้สลับกลางอากาศก่อนฟาดเฉือนลงมา ซากศพโบราณเพียงจุไว้ด้วยพลังก่อนตายเล็กน้อย ถูกลั่วเฉินโจมตีกดดันจากกลางอากาศ ต้องล้มลงข้างกำแพง หลงเหลือหลุมลึกเอาไว้
พร้อมกันนั้น ฉินจิ่วเกอฉวยโอกาสใช้กิเลนครองฟ้า ครอบลงใส่ซากโบราณนั้น
คนกระชับกระบี่หนักอีกครั้ง ตวัดฟาดเข้าใส่ส่วนลำคอที่เปราะบางที่สุดของมนุษย์
เสียงแคร่กแคร่กดังลั่น
กระดูกลำคอท่อนนั้นต้านรับกระบี่หนัก ซากศพอาศัยคมกระบี่โถมจู่โจมเข้าใส่ โชคยังดีที่เมื่อตอนปะทะกับหลิวเชียน คมกระบี่หนักปรากฏร่องรอยเสียหายเท่ากำปั้นขึ้น การเคลื่อนไหวของซากศพจึงชะลอชักช้าลง เกิดเป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้าง
ฉินจิ่วเกอยกเท้ายันซากศพไว้ พร้อมกันนั้นหยิบยืมแรงกระโดดขึ้นสูง ใช้กระบวนท่ากิเลนครองฟ้าออกมาอีกครั้ง ฝ่ามือยักษ์ครอบคลุมลงใส่ซากเน่าเปื่อยผุพัง
หลิงไถภายในหัวกะโหลกของซากเน่าสลายไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นภายในจึงว่างเปล่า เมื่อถูกฝ่ามือยักษ์ฟาดแตกกระจาย ภายในส่วนที่เป็นสมองล้วนแปรเปลี่ยนเป็นก้อนศิลาเทาขาวซ้อนอยู่
“ไป!”
กระบี่วิญญาณหลายสิบเล่มกลางอากาศพุ่งเข้าเสียบตำแหน่งเทียนหลิงที่กลางกระหม่อมของซากเน่า เสียบทะลวงทะลุลงมาจนถึงส่วนร่างกาย จากนั้นกระบี่วิญญาณสลายแรงกดดัน กลายเป็นพลังวิญญาณขยายออกภายในร่างเน่าเปื่อย
เส้นเอ็นและตันเถียนของศพเน่าที่จริงล้วนหลอมละลายไปกับซากร่างเนิ่นนานแล้ว พลังวิญญาณเมื่อถูกอัดเข้าไปกลับไม่มีที่ให้ระบายออก ร่างจึงบวมเป่งเบ่งพอง สุดท้ายก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โฮกกกกก!
ภายในความมืด ปรากฏซากร่างอสุภและคนตายเดินได้กระโจนออกมาอย่างไม่ให้หยุดพักหายใจ ฉินจิ่วเกอเตะก้อนศิลาขนาดพันจินเข้าสกัด ก่อนทะยานหลบหนีไปพร้อมกับลั่วเฉิน
ตลอดรายทางไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่น ทว่าตามพื้นกลับมีโลหิตอุ่นๆ อยู่ทั่วเต็มไปหมด เกรงว่าพวกที่เข้ามาก่อนหน้าล้วนโชคไม่เข้าข้าง นี่คล้ายกับเป็นแผนการดึงดูดเหล่าผู้ฝึกตนมาเพื่อหาที่ตาย ฉินจิ่วเกอประหวัดหวนนึกไปถึงบรรดาผู้ฝึกวิชาปีศาจเหล่านั้น การรวบรวมแก่นโลหิตมิใช่เพียงเพื่อการควบกลั่นศัสตรามารเพียงอย่างเดียว
มีทั้งแผนการ ทั้งวัตถุประสงค์อันชัดแจ้ง รวมถึงแบบแผนในการจัดการ อีกฝ่ายที่แท้คิดทำอะไรกันแน่?
เมื่อวิ่งหนีไปตามเส้นทางปรักหักพังอันคร่ำคร่ามาได้ระยะหนึ่ง ลั่วเฉินก็ลดความเร็วลง ภาพตรงหน้าแล่นเข้าสู่คลองจักษุของมันและฉินจิ่วเกอ
ไม่ไกลเท่าใด ปรากฏประตูศิลาใหญ่โตบานหนึ่งตั้งอยู่ กว้างยาวร่วมสิบเมตร คล้ายประตูยืนหยัดตระหง่านค้ำฟ้า เป็นที่พำนักของเทพบรรพกาล
ไอมารมรณะอันชั่วร้ายน่าสยดสยองไหลหลั่งทะลักล้นออกมาจากประตูหิน ภายนอกสลักเสลาด้วยเส้นวาดรูปลักษณ์อันแปลกประหลาดพิกล ล้วนถูกกาลเวลาชะล้าง หลงเหลือเพียงสีสันที่เป็นสีเทาทึบ
ท่ามกลางซากร้างแตกทำลายที่ถูกทิ้ง พลันปรากฏประตูศิลาบานหนึ่งที่ถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ มิอาจไม่กระตุ้นลางสังหรณ์ของผู้คน เบื้องหลังประตูบานนี้ที่แท้มีอะไร
เมื่อเดินมาถึงด้านล่างประตู ผู้คนเพียงสามารถสัมผัสลวดลายสลักที่สลักไว้ต่ำเตี้ยที่สุดเพียงเท่านั้น ที่ตีนประตูมีตราประทับ ถูกค่ายกลที่เพิ่งซ่อมแซมเมื่อเร็วๆ นี้ผนึกไว้ ทั้งหมดที่ถูกวางแผนการไว้ ค่อยๆ ปรากฏผิวหน้าลอยออกมา
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!” ฝ่ามือยักษ์ถูกฉินจิ่วเกอเรียกรวมอย่างแช่มช้า ฝ่ามือที่ก่อนหน้าปราศจากเส้นสายลายใด ยามนี้ค่อยๆ ถูกเสริมเติมเข้าไป ยิ่งมายิ่งสมบูรณ์แบบ เส้นหัวใจที่ใจกลางฝ่ามือนี้ เมื่อก่อนหน้าล้วนไม่มี
ฉินจิ่วเกอคาดการณ์ว่า รอจนตนเองเข้าสู่ชั้นพิสุทธิ์ไพศาล สมควรจำลองฝ่ามือกิเลนยักษ์ออกมาได้อย่างไร้ที่ติ
ยามนี้ที่ใช้กระบวนท่าออก ลักษณะเหมือนผลงานลอกเลียนชั้นเลวจากศิลปะชั้นเลิศ กระทั่งเจตจำนงของกระบวนท่ายังแทบไม่อาจสำแดงออกมาได้
ฝ่ามือยักษ์ขนาดเท่าประตูศิลา ทาบลงบนบานประตู
อักขระบนบานประตูเรืองแสงขึ้นติดต่อกัน ป้องกันประตูศิลา ไม่อนุญาตฝ่ามือยักษ์ผลักเปิดประตู
อักขระปรากฏขึ้นต่อเนื่องเป็นค่ายกล พลังวิญญาณไหลบ่าเข้าสู่ภายในอย่างไม่หยุดยั้ง
ฝ่ามืออสูรขนาดมหึมาค่อยๆ ผลักดัน ฉินจิ่วเกอร่างโน้มเอนไปด้านหน้า ประตูถูกกระแทกล่าถอยติดต่อกันห้าหกก้าว
อักขระยันต์เริ่มสั่นสะท้าน ผงคลีบนบานประตูร่วงกราว เสียงแคร่กคร่ากดังลั่น ค่ายกลที่ไม่อาจถูกทำลายได้พลันพังทลายลง ลั่วเฉินส่งกระบวนท่ามหานทีสะบั้นสุริยันติดตามไป อาศัยการบังคับควบคุมอันละเอียดแม่นยำถึงขีดสุด ส่งเงาจันทร์เสี้ยวแทรกเข้าไปในรอยแยกของประตู
ฉ่าฉ่า
อักขระยันต์แตกสลายลงทีละตัวทีละตัว ค่ายกลขาดความสมบูรณ์ สุดท้ายถูกมืออสูรทำลายลง
ลั่วเฉินเหลือบตามองฉินจิ่วเกอ ไม่กล่าวถึงทักษะยุทธ์ของอีกฝ่าย ยกเท้าถีบประตูใหญ่เปิดออก
เท้าเดียวถีบประตูนี้ ฉินจิ่วเกอที่จริงเคยเป็นพยานมา
เห็นหนึ่งเท้าเตะเปิดประตู ประตูศิลา พลังกดดันอันมหาศาลแผ่ออกมาจากเบื้องหลังประตู ผนึกประตูใหญ่ไว้ รัศมีพลังแห่งทรราชของพระเอกก็แผ่พุ่งออกอย่างเฉิดฉาย
เบื้องหลังประตู ที่หลับใหลอยู่ภายในโลงไม้ผุพัง เป็นโลงไม้เจ็ดโลงเรียงราย ล้วนเป็นซากศพโบราณนับพันปี
ทันทีที่ประตูเปิดออก ปรากฏโลหิตไหลเข้าสู่ภายในโลงไม้ ชัดเจนว่าเป็นผู้คนกระทำการไว้
โลงไม้ทั้งเจ็ด ถูกเรียงตามตำแหน่งดาวหมีใหญ่บนท้องฟ้า ทั้งยังเชื่อมโยงกับไอปฐพี ใช้ชีพจรแผ่นดินและเลือดสดๆ ในการหล่อเลี้ยงซากศพ ซากร่างภายในนั้น ก่อนตายล้วนกอปรไปด้วยพลังฝึกปรือระดับกลั่นดวงธาตุ หลังตกตาย รัศมีพลังที่อ่อนด้อยที่สุดยังอยู่ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง แฝงไว้ด้วยรัศมีดวงธาตุอันไร้ขีดจำกัดอยู่ไม่น้อย
หากคิดก้าวเข้าสู่ขั้นดวงธาตุทองคำ ต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์ แม้ว่ายามมีชีวิตสามารถหยั่งรู้กฎเกณฑ์ ทว่าสังขารหลังความตายเพียงสามารถเข้าใกล้ขอบเขตกลั่นดวงธาตุเท่านั้น ไม่อาจข้ามชั้นได้
นี่เป็นกฎที่ไม่อาจข้ามได้แห่งธรรมชาติ ผู้คนเรียกว่า วิถีฟ้า!
ซากร่างในโลงไม้ทั้งเจ็ดฟื้นตื่นขึ้น เมื่อพวกมันคืนชีพขึ้นทั้งหมดเมื่อไหร่ กระทั่งหลิวเชียนที่บรรลุชั้นสูงสุดของขอบเขตอันเข้มแข็ง ยังยากจะเอาชีวิตรอดได้
ซากเน่าลุกขึ้นนั่งจากภายในโลง แต่ละตัวน่ากลัวหวาดผวา กล้ามเนื้อเน่าผุของพวกมันล้วนสั่นกระตุก
“เอาไง?” ฉินจิ่วเกอตะลึงจนโง่งม วิธีการเปิดประตูของศิษย์น้องอล่างฉ่างเกินไป ทำเจ้าพวกซากศพในโลงพวกนี้ตื่นจนหมดสิ้น
กล่าวตามตรง หากมีคนกล้ามาปลุกตนเองตื่น ฉินจิ่วเกอจอมขี้เซาย่อมโมโหโทโสจนเตะมันกระเด็นไปสิบลี้
“ฆ่าให้หมด หากรอพวกมันคืนชีพหมดสิ้น นอกจากมียอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุเข้าต้านรับ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจรอดไปได้ ก่อนที่ข้อต่อฝืดเคืองของพวกมันจะสามารถขยับเคลื่อนไหวสะดวก ต้องชิงลงมือก่อน”
ลั่วเฉินทะยานขึ้นฟ้า ข้างหนึ่งดึงร่างฉินจิ่วเกอ ทดลองฝ่าด่านซากศพเน่าผ่านทางอากาศ เบื้องหลังประตูศิลาเป็นหนทางที่ยิ่งลึกล้ำเข้าไปภายใน ตรงดิ่งเข้าไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ประดุจกับหนทางตรงลงสู่อเวจี
เปรี้ยงง!
ฝาโลงอันหนึ่งปลิวขึ้นกลางอากาศ ซากอสุภยกมือขึ้นอย่างปลอดโปร่ง พลังนับหมื่นจินสามารถขยี้วัตถุไร้ที่หยิบยืมกำลังที่กลางอากาศได้อย่างง่ายดาย คนทั้งสองถูกบีบคั้นร่วงลงมาท่ามกลางดงซากศพโบราณ ผีดิบในโลงไม้ต่างผลักเปิดฝา รายล้อมคนทั้งคู่โดยพร้อมเพรียง
ตาทั้งสองไร้ซึ่งลูกนัยน์ตา ประดุจดั่งหลุมมืดสิบสี่หลุมที่กำลังดูดกลืนความมืดมิดแห่งมรณา จับจ้องมองมาอย่างเงียบงัน
คึ่กๆ
ซากศพทั้งเจ็ดขยับเคลื่อนไหวแล้ว ร่างไร้วิญญาณพร้อมพลังมหาศาลสะท้านฟ้าป่นพสุธาโดยง่าย พวกมันทลายโลงไม้ทั้งเจ็ดพุ่งเข้าเข่นฆ่าใส่สองศิษย์พี่น้อง
กรงเล็บอสูรร้ายคล้ายผุดโผล่มาจากมหาพายุวาตภัย รัศมีพลังทำลายบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!”
เมื่อมองดูขบวนที่ล้อมกรอบ ฉินจิ่วเกอเร่งรีบยามคับขัน กิเลนครองฟ้าที่ใช้ออกมิใช่มุ่งโจมตีซากศพ แต่ตะปบเข้าใส่กำแพงของเส้นทางที่ไกลห่างออกไป แม้เป็นเพียงฝ่ามือ แต่สามารถคว้าจับวัตถุ ลากดึงตนเองไปได้เช่นกัน
ฉินจิ่วเกอหยิบยืมพลังของฝ่ามือกิเลนครองฟ้า ลากลั่วเฉินออกพ้นวงล้อมพร้อมๆ กัน
แผ่นหินหนักนับพันๆ จินร่วงถล่มลงที่เบื้องล่างของตนเอง พื้นดินแตกทำลายจนไม่เหลือสภาพ
ซากศพคืนชีวิต ค้นพบกลิ่นอายมนุษย์ หากพวกมันไร้ซึ่งจิตสำนึกรู้ ใช้เพียงสัญชาตญาณความสามารถพื้นฐานในการหาอาหารไล่ล่าตามฆ่า
คนทั้งสองหลบหนีเข้าสู่เส้นทางได้ วิ่งเตลิดไปเบื้องหน้า คิดสลัดหลุดจากการติดตาม
ภายในเส้นทางเหม็นอับเน่าเปื่อย ปรากฏประตูตำหนักขึ้นมาอีกหนึ่ง ยังเล็กกว่าประตูศิลาหลายเท่า ให้ความรู้สึกคล้ายกับคุณหนูประตูผู้ตกอับ ประตูตำหนักถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กคุนหยวนบริสุทธิ์อันแกร่งกล้า ความแข็งแรงไม่ด้อยไปกว่าสมบัติเต๋าวิเศษขั้นสูง เหนียวด้านทนทานยิ่ง
เจ็ดซากอสุภะโหดร้ายน่าสยองติดตามหลังมาเป็นหางว่าว สองคนกระโจนเข้าในตำหนัก ปิดตายประตูทางเข้าเพื่อป้องกันซากศพโบราณ
เบื้องหลังประตูตำหนัก เป็นห้องหับขนาดเล็กห้องหนึ่ง ตะบันไฟไม่ทราบทำตกหล่นหายไปที่ใด ทว่าฉินจิ่วเกอกลับยังสามารถมองเห็นลวดลายเส้นสายบนพื้นอย่างชัดแจ้ง
มันคือแสงอะไรกัน? เจิดจรัสจนไม่ทราบควรบรรยายอย่างไร ที่แท้เป็นประกายเรืองรองของทรัพย์สมบัติที่สาดออกมา
ศิลาวิญญาณกองพะเนินเทินทึก ศัสตราวิเศษเกลื่อนกลาดดาษดาราวมหาสมุทร ในกล่องสมบัติบรรจุไว้ด้วยสารพัดโอสถวิญญาณ เคล็ดลมปราณทักษะยุทธ์
สมบัติของพรรคหลิงเซียว กระทั่งไม่อาจเทียบขนาดได้ถึงมุมหนึ่งของห้องเล็กแคบ ราคาค่างวดสูงล้ำจนเกินไป พรรคหลิงเซียวอันว่างเปล่า ล้วนไม่อาจเทียบชั้นได้ สิ่งของภายในที่นี้ อย่างน้อยมีราคาค่างวดไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้าน ราคาเท่านคร
คนยืนอยู่เบื้องหลังประตูศิลา ที่เบื้องหน้าคล้ายไม่มีที่ทางให้หยั่งเท้าทรงกาย
ดวงตาทั้งสองพร่าพราย เพียงเกรงว่ามีนัยน์ตาสองคู่ ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจสำรวจสมบัติหมดสิ้น แค่ดูยังยากลำบาก
ฉินจิ่วเกอตะลึงจนโง่งม ลืมเลือนอสุรกายด้านนอกจนหมดสิ้น
หูดับลงสิ้นเชิง ห้วงกาลเวลาและมิติ ฟ้าดินและสุริยันจันทรา เพียงหลงเหลือตัวมันและห้องสมบัติ วัตถุภายในนี้ ฉินจิ่วเกอประทับตราไว้หมดแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นของมันสิ้น
โอ้มายก็อด โอ้มายก็อดดดด
ฉินจิ่วเกอเบิกบานจนลืมตัว คนอ้าสองแขนออก คิดกระโจนลงไปในทะเลศิลาวิญญาณ ว่ายเล่นสักรอบสองรอบ
ของรักของข้า ของจริงไม่ล้อเล่น เพียงเอื้อมมือก็สัมผัสถูก ส่งผลให้ฉินจิ่วเกอหน้ามืดตาลาย
เพี๊ยะ
หนึ่งฝ่ามือ ลั่วเฉินตบเรียกสติฉินจิ่วเกอจนหน้าสะบัด ไม่ออมรั้งยั้งมือแม้แต่น้อย
…..
อาวุโสทั้งหลายในพรรคหลิงเซียวต่างแช่มชื่นแจ่มใส เพราะเหตุใดจู่ๆ ร่างกายก็ร่าเริงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งสภาวะจิตและสังขารพุ่งทะยานสู่ขีดสูงสุด
.
.
.