อาวุโสสี่ผู้ที่กำลังหลอมเตาโอสถเพื่อใช้หนี้ยิ่งลอยล่องเหนือเมฆา สุขสบายจนไม่อาจบ่งบอกบรรยายได้
ส่วนอาวุโสใหญ่ เมื่อไม่กี่วันก่อนก็ออกจากพรรคไป ยังคงไม่กลับมา
ภายในพรรคหลิงเซียวมีแผ่นหยกกำเนิดวิญญาณของศิษย์สายในอยู่ห้าแผ่น ภายในหยดโลหิตของศิษย์ทั้งห้าไว้ หากผู้ใดประสบเคราะห์กรรม แผ่นหยกย่อมแตกสลาย
อาวุโสใหญ่มองดูแผ่นหยก พบว่าฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินไม่มีเรื่อง คนเร่งออกจากพรรคหลิงเซียว ไม่ทันได้พบกับเจ้าอ้วนน่าตาย
ผู้ประสบเคราะห์ร้ายรายแรกคือพรรคจอกประกายสิทธิ์ อาวุโสใหญ่บารมีราวเทพยดาเหินร่อนลงจากฟ้า รัศมีพลังอำนาจไพศาลจนผู้คนต้องคุกเข่ากราบกราน
ร้อยลี้ทั่วบริเวณพรรคจอกประกายสิทธิ์ สายตาแห่งความบูชาอันเร่าร้อนนับไม่ถ้วนมุ่งมายังอาวุโสใหญ่ อีกฝ่ายไอพลังตลอดร่างราวมังกรพยัคฆ์ พลังวิญญาณแผ่พุ่งราวพญาอินทรี สูงส่งถึงสุดขอบเขตแห่งกลั่นดวงธาตุอย่างแท้จริง
เมื่อทราบว่าบรรดาประมุขพรรคและยอดฝีมือทั้งหลายของพวกมันล้วนออกไปภายนอก อาวุโสใหญ่ไม่พบเป้าหมายระบายโทสะ
ดังนั้น คนถือรองเท้าไว้มุ่งหน้าต่อไปยังเมืองซวนอู่ เสาะหาอาวุโสมู่หยวนเพื่อหารือ ถามไถ่มันใช่สนใจดึงหน้าบ้างหรือไม่
อาวุโสมู่หยวนย่อมต้องปฏิเสธแล้ว ยังดีที่มันสังหรณ์ล่วงหน้า จัดแจงส่งเฉียนหยุนกลับสู่ประตูหายนะไปเนิ่นนานแล้ว ทำให้มันรอดพ้นชะตากรรมไปรอบหนึ่ง จากนั้นบอกทางต่ออาวุโสใหญ่ด้วยความเป็นมิตรถึงทิศทางไปของฉินจิ่วเกอ อาวุโสใหญ่ยังดัดหลังกรรโชกอาวุโสมู่หยวนไปอีกห้าหมื่นศิลาวิญญาณค่อยกระอิดกระออดสวมรองเท้าเข้าที่เดิมก่อนจากไป อาวุโสมู่หยวนถึงขั้นเป็นลมล้มพับไปหน้าประตูใหญ่
เมื่อหวนกลับมากล่าวถึงภายในตำหนักสุสาน ฉินจิ่วเกอตะกายอยู่บนพื้น ครึ่งซีกหน้าทางด้านซ้ายยามนี้เจ็บแสบอยู่แปลบปลาบ ปรากฏรอยประทับห้านิ้วขึ้นอย่างชัดเจน
ฉินจิ่วเกอเจ็บปวดรวดร้าวแทบใจสลาย ไม่ต่างจากบุปผาที่ถูกผู้คนย่ำยีจนแปดเปื้อนมลทิน
“ใคร? ใครตีข้า?” ฉินจิ่วเกอหรี่ตา ยังคงไม่ฟื้นตื่นจากความฝัน
ลั่วเฉินสั่นศีรษะเป็นท่วงทำนอง เอ่ยว่า “เมื่อครู่เจ้าฮิสทีเรียกำเริบ ตบหน้าตัวเองไปฉาดใหญ่”
ลั่วเฉินสลัดมือเบาๆ ฝ่ามือที่ใช้ปลุกฉินจิ่วเกอเมื่อครู่นี้ยังปวดไม่หาย ดูท่าหนังหน้าของหมอนี่ไม่บางเลยจริงๆ ฝ่ามือนี้ตบได้อย่างน่าแตกตื่นประทับจิต ทวีปฉงหลิงต้องแพร่กระจายข่าวดี ร่วมเฉลิมฉลองที่วิถีฟ้าช่างเจิดจ้านัก
ฉินจิ่วเกอกลับคืนสู่สภาพสติสมาธิแจ่มใส พบเห็นที่เบื้องหน้าล้วนเป็นเศษซากปรักหักพัง ปราศจากสมบัติพัสถานศิลาวิญญาณใดๆ พบเพียงเศษไม้หักผุพัง เศษซากในเศษซาก สมบัติสักเศษเสี้ยวล้วนไม่มีปรากฏ
ประตูตำหนักสกัดกั้นการไล่ล่าฆ่าล้างของซากอสุภะทั้งเจ็ดเอาไว้ ทว่าเมื่อเข้ามาภายใน กลับหลุดเข้ามาในมิติมายาอันสมจริงอย่างยิ่งยวด ลั่วเฉินเข่นฆ่าออกมาจากทะเลโลหิต ดวงดาราบนฟ้าหากคิดเปล่งประกายเจิดจ้า ที่ต้องผ่านคือการระเบิดทำลายบดร่างกายป่นกระดูกอวัยวะ
ไม่นานก็ฟื้นตื่นจากห้วงมายา ลั่วเฉินหันไปมองทางด้านข้าง เห็นเป็นฉินจิ่วเกอที่ยังคงฝันหวานไม่ยอมตื่น
เมื่อเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ฉินจิ่วเกอล้วนไม่อาจรักษาความเยือกเย็นและวิจารณญาณอันเฉียบคมไว้ได้อีกต่อไป
เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปในทันที
ลั่วเฉินที่มองเห็นศิษย์พี่ใหญ่ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นวิปลาสอุบาทว์โง่งม มุมปากปรากฏน้ำลายไหลเยิ้ม ดวงตาหรี่ตาจนโค้งดุจจันทร์เสี้ยว คอเอียงพับ คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยื่นแน่วนิ่งอยู่กับที่ เดี๋ยวๆ ก็หัวเราะ”เหอะเหอะ”ออกมาอย่างโง่งม ไม่ต่างจากคนเป็นอัลไซเมอร์
ลั่วเฉินอดรนทนไม่ไหว กางฝ่ามือออกตบใส่เข้าไปเต็มรัก เสียงตบสะท้านตลอดทั่วทั้งพรรคหลิงเซียวจนบรรลุสู่สรวงสวรรค์
ภายในพรรค ป้ายวิญญาณอาจารย์บรรพบุรุษแห่งพรรคหลิงเซียวต่างขยับโดยไร้ลม เข้าที่เข้าทางรอคอยผู้คนมากราบไหว้บูชา
เพี๊ยะะ!
กองเงินกองทองเท่าภูเขาเลากาที่เบื้องหน้าพลันอันตรธาน ฉินจิ่วเกอไม่ออมรั้งยั้งมือ ยกฝ่ามืออีกข้างตบใส่ใบหน้าอีกซีกด้านของตนเองเต็มแรงจนแสบร้อน
น้ำตาหลั่งไหลออกมาเป็นสายเลือด ฉินจิ่วเกอผวาเข้ากอดรัดต้นขาของลั่วเฉินอย่างน่าอนาถ น้ำมูกน้ำลายไหลทะลักเปรอะเปื้อนลงบนกางเกงสะอาดของลั่วเฉินอย่างไม่ปรานี
ลั่วเฉินดึงขาไม่ออก ถูกฉินจิ่วเกอรัดแน่นหนา ไม่ต่างจากคนงานกอดรัดขาเถ้าแก่ขอขึ้นเงินเดือน
“เจ้าบอกข้าที เจ้าใช่ศิษย์น้องรองตัวปลอมหรือไม่ นี่คือความฝัน นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ ภูเขาเงินทองเมื่อกี้ต่างหากจึงจะเป็นของจริง”
ลั่วเฉินไม่ได้ตอบคำ ยกเท้าถีบอีกฝ่ายจนกระเด็นตัวลอย ฉินจิ่วเกอกลิ้งหลุนๆ ไปไกล ร่างฟาดเข้ากับกำแพงเต็มรัก แต่ใครเล่าจะรู้อุบัติเหตุครั้งนี้กลับทำให้ค่ายกลที่ซ่อนอยู่แผลงฤทธิ์ออกมา ใจกลางค่ายกลถูกร่างของฉินจิ่วเกอกระแทกใส่ สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในถึงกับเผยออกมาให้เห็น
เป็นคนยี่สิบกว่าคน ระดับฝึกปรือชั้นพิสุทธิ์ไพศาล กระทั่งพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดก็ไม่เว้น
หนึ่งในนั้นยังมีกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งอยู่ด้วย แต่ก็กำลังจมอยู่ในห้วงฝันเมามายไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเดียวกัน
คนพวกนี้ติดอยู่ในห้วงมิติมายามาได้หลายวันแล้ว พลังจิตถูกหลอมละลายจนเปราะบางเป็นอย่างมาก ไม่นานเกินรอ พวกมันจะต้องถูกทำลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ กลับกลายเป็นซากศพเดินได้ที่ถูกฟ้าดินทอดทิ้งไปอย่างแน่นอน
เพราะพวกมันติดอยู่ในมิติมายานานเกินไป ต่อให้ค่ายกลพังลงแล้ว เพียงใช้สิ่งเร้าจากภายนอกย่อมไม่อาจเรียกสติพวกมันกลับมาได้ ฉินจิ่วเกอคิดได้วิธีหนึ่ง ล้วงเอาดอกพลับพลึงแดงออกมา
พลับพลึงแดงเมื่อถูกเอาออกมา พลังที่แฝงอยู่ก็จะรั่วไหลออกไปในทุกๆ วินาที ต่อให้มีกล่องหยกครอบใส่ไว้ ก็ยังไม่ได้ช่วยอะไร ฤทธิ์ยาในดอกไม้บางเบาจนถึงขีดสุดแล้ว อาจสลายไปได้ทุกเมื่อ
ลั่วเฉินหนังตากระตุก เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสมองของศิษย์พี่ใหญ่ถึงถูกประตูหนีบ ที่แท้มันแอบใช้ดอกพลับพลึงแดงขัดเกลาสังขารตัวเอง มิอาจไม่พูดว่านี่คือพฤติการณ์ของคนสติฟั่นเฟือน พลังในมิติมายาไม่อาจแบ่งแยกออกเป็นระดับขั้น นอกจากจะหยั่งรู้ในกฎเกณฑ์สูงสุดแล้วเท่านั้น
ใช้พิษสลายพิษ ฉินจิ่วเกอย่อยสลายดอกพลับพลึงแดงในมือ จากนั้นช่วยส่งฤทธิ์ยาเข้าสู่ร่างของพวกที่ยังหลับใหลไม่ได้สติ
ยามช่วยชีวิตคน ฉินจิ่วเกอก็ไม่ลืมหากำไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างการริบเอาแหวนมิติมาอย่างลับๆ ด้วย
ชายเสื้อปลิวไสว ไม่นำพาเมฆหมอก มีเพียงวัตถุนอกกายที่ถูกนำพาจากไป
ช่วยกี่ชีวิต ฉินจิ่วเกอก็ริบเอาแหวนมิติไปเท่านั้น ถือเป็นค่ารักษา ปราศจากความรู้สึกผิดทุกประการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งผู้นั้น
อีกฝ่ายเป็นถึงชนชั้นกลั่นดวงธาตุที่ไม่สังกัดพรรคสำนักใด ทรัพยากรทุกอย่างเป็นมันหาเอาเอง ดังนั้นเมื่อสุสานเปิดออก จึงล่อตาล่อใจมันเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีนึกว่าได้สมบัติมาไว้ในครอบครองแน่แล้ว ไม่คาดกลับติดกับ ทั้งยังถูกใครก็ไม่รู้ขโมยแหวนมิติไปอีก
ยามที่คนทั้งยี่สิบได้สติกลับมา ต่างก็ต้องตะโกนด่าทอผู้บงการจนปากคอแห้งผาก หากไม่ได้ลั่วเฉินและฉินจิ่วเกอช่วยเหลือ พวกมันย่อมโชคร้ายมากกว่าโชคดี
ในขณะที่กำลังกล่าวขอบคุณพวกฉินจิ่วเกอ พวกมันต่างก็ทำปากขมุบขมิบสวดส่งไอ้โจรใจหยาบที่ปล้นชิงเอาแหวนมิติของพวกมันไป คิดสานต่อความสัมพันธ์เกินมิตรสหายกับบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของอีกฝ่าย
ลั่วเฉินหน้าดำมะเมี่ยม แต่ก็เพียงก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา
ฉินจิ่วเกอแนะนำตัวเองและศิษย์น้องของมันกับทุกคนอย่างผ่าเผย ทั้งยังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งผู้นั้น
อีกฝ่ายมีนามว่าสวีเชิ่ง เป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในละแวกนี้
ปง!
บานประตูทานรับแรงกระแทกต่อไปไม่ไหวอีก ถูกซากศพทั้งเจ็ดทุบทำลายจนพังถล่ม
ศพทั้งเจ็ดพุ่งเข้ามาในห้องเล็ก หมายจะเข่นฆ่าทุกชีวิตในที่นั้นเสียให้เหี้ยน
ยังดีที่คนทั้งยี่สิบต่างก็บรรลุพิสุทธิ์ไพศาลเป็นอย่างน้อย ไหนจะมีสวีเชิ่งเป็นหัวหอก ชัยชนะย่อมนอนมาแน่นอนแล้ว
ในหมู่คนทั้งยี่สิบ มีอยู่คนหนึ่งที่ส่งสายตาอาฆาตมาทางฉินจิ่วเกอที่กำลังยืนหลบมุมอยู่เงียบๆ สุสานแห่งนี้มีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทั่วทิศทาง อัตราการเสียชีวิตของพวกที่เข้ามาเป็นกลุ่มแรกๆ สูงถึงเจ็ดในสิบส่วน
คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ ซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ฉินจิ่วเกอรับรู้ได้ถึงสายตาอันไม่เป็นมิตรจึงหันไปมองการต่อสู้ที่กำลังดำเนินไป แต่ชายชุดดำคนนั้นก็แฝงตัวเข้าไปในกลุ่มอย่างแนบเนียนเสียก่อน จึงไม่ถูกจับได้
เจ็ดซากศพโบราณล้วนถูกกำจัดฆ่าล้าง คนที่เหลือต่างจับกลุ่มรวมกัน ตอนแรกเริ่มมีกันทั้งหมดหลายร้อยคน แต่ตอนนี้กลับเหลือกันอยู่เพียงเท่านี้
ขณะที่กำลังปรึกษาหาทางออกกันอยู่นั้น ในกลุ่มกลับมีชายชุดดำคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วตะโกนออกมาว่า “ทุกท่าน ตอนที่ข้าเข้ามาที่นี่ มีนักจัดวางค่ายกลร่วมทางมากับพวกเราด้วย ตอนนั้นพวกเราค้นพบค่ายกลมิติที่ควบคุมศูนย์กลางของสุสานแห่งนี้เข้าโดยบังเอิญ”
สุสานที่พวกมันอยู่นี้ไม่ได้ตั้งอยู่ใต้ดิน แต่อยู่ในมิติอันเป็นเอกเทศที่ถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายนำพามา ผู้ที่สามารถสร้างมิติอันเป็นเอกเทศขึ้นมาได้ อย่างน้อยจะต้องเป็นยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นเก้าขึ้นไป ทั้งยังต้องการนักจัดวางค่ายกลระดับสูงจำนวนมาก รวมถึงทรัพยากรมหาศาลจึงจะสำเร็จ
ถ้าหากตามหาที่ตั้งของค่ายกลมิตินั้นจนเจอ ก็จะมีโอกาสให้ได้ควบคุมบงการมิติแห่งนี้ ถึงตอนนั้นคิดออกไปจากที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง
“ใจกลางมิติค่ายกลมีโลงหยกโลหิตอยู่หลังหนึ่ง นักจัดวางค่ายกลคนนั้นบอกกับข้าว่า ถ้าหากเปิดโลงหยกโลหิตนั้นได้ มิติของที่นี่ก็จะพาพวกเราออกไปเอง”
ชายชุดดำคนนั้นยังคงป่าวประกาศเรื่องราวให้ทุกคนได้ทราบ ในเมื่ออ้างว่าเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของนักจัดวางค่ายกลเอง เช่นนั้นย่อมมีความน่าเชื่อถือชนิดที่ไม่ต้องสงสัย และก็เป็นเพียงทางออกเดียวในตอนนี้เช่นกัน
พวกมันยังคงปรึกษาพูดคุยกันต่อไป จนได้ใจความว่าพวกมันทุกคนควรไปด้วยกัน
ชายชุดดำไม่พูดอะไรอีก เพียงก้มหน้ามุดศีรษะอยู่ในคอเสื้อ มุมปากบิดยกขึ้น คล้ายกำลังวางแผนชั่วร้ายบางอย่าง
“อาวุโสสวี ท่านคิดเช่นไร” ฉินจิ่วเกอถามความเห็นจากสวีเชิ่งผู้มีระดับฝึกปรือสูงส่งที่สุดในที่นี้ มีมันอยู่ด้วย ต่อให้เจอศพโบราณพวกนั้นอีกก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอีกต่อไป
สวีเชิ่งยกมือลูบเครา กล่าวอย่างลังเลอยู่บ้าง “ถ้าหากที่พูดมาเป็นความจริงแล้วละก็ พวกเราอาจใช้ค่ายกลมิตินั้นเพื่อออกไปจากที่นี่ได้ เพียงแต่……”
“สิ่งที่พูดอาจไม่เป็นความจริงทั้งหมด และไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดด้วย” ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ มีหรือมันจะดูไม่ออกว่าประเด็นสำคัญอยู่ตรงไหน
ฝ่ายนั้นวางแผนสังหารอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายก็คือล่อหลอกให้ผู้ฝึกตนพวกนั้นเข้ามายังสุสานและไม่ปล่อยให้มีโอกาสได้กลับออกไป
ดวงตาค่ายกลคือกุญแจที่นำไปสู่การยึดครองสุสานแห่งนี้ พูดอีกอย่างก็คือ ใครที่ได้ดวงตาค่ายกลไปครอบครอง คนผู้นั้นก็เท่ากับเป็นนายเหนือของสุสานแห่งนี้นั่นเอง
“สถานที่สำคัญขนาดนั้น จะถูกพวกมันหาพบเอาง่ายๆ ได้อย่างไร ทั้งยังไม่ถูกทำลายอีก ข้าว่าคนผู้นี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล ทันทีที่พวกเราไปถึงใจกลางค่ายกล อาจต้องประจันหน้ากับผู้บงการเสียก่อน ไม่อาจฝ่าวงล้อมออกมาได้”
ลั่วเฉินร่วมแสดงความเห็น ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแผนที่ชายชุดดำคนนั้นเสนอมา
สวีเชิ่งไม่กล้าดูเบาศิษย์น้องสองคนนี้ ภายในห้องที่มีค่ายกลมายาซ่อนอยู่ แม้แต่มันที่เป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งก็ยังไม่พ้นถูกเล่นงาน
และคนที่ปลุกพวกมันขึ้นมาก็คือสองคนนี้ เพียงพอชี้ได้ว่าสถานการณ์มีปัญหา
สวีเชิ่งไม่คิดว่าลำพังแค่ระดับฝีมือของตนจะรอดพ้นจากหายนะในครั้งนี้ไปได้ ใช้น้ำเสียงเป็นการเป็นงานกล่าวเจรจา “แต่ถ้าไม่ทำตาม พวกเราก็ไม่มีทางออกอื่น ถึงตอนนั้นมีแต่จะยิ่งตกเป็นฝ่ายตั้งรับมากขึ้นกว่าเดิม”
“ตอนนี้ก็ทำได้แค่ดูสถานการณ์และแก้ปัญหาไปทีละขั้น ก็หวังว่าพวกเราจะหวาดระแวงจนเกินไปเอง ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะบังเอิญค้นพบดวงตาค่ายกลเข้าจริงๆ? ” ฉินจิ่วเกออยากที่จะเชื่อความเป็นไปได้นี้อยู่เหมือนกัน
มันมองไปทางบุรุษชุดดำคนนั้น พวกมันต่างก็เป็นคนแปลกหน้าที่มาพบเจอกันโดยบังเอิญ แต่กลับมีความรู้สึกปฏิปักษ์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน
ทุกคนมองดูสวีเชิ่งที่มีระดับฝึกปรือสูงสุดพูดคุยกับพวกฉินจิ่วเกอที่มีระดับต่ำสุดอยู่นาน ท้ายที่สุดสวีเชิ่งก็เงยหน้าขึ้น เห็นฉินจิ่วเกอพยักพเยิดคางไปทางบุรุษชุดดำ เป็นนัยว่าให้คนทั้งหมดตามมันไป
ตลอดการเดินทาง สวีเชิ่งไม่กล้าคลายความระวังตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ภายในมิติแห่งนี้ที่พลังจิตถูกสะกดควบคุม มันเป็นคนที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
กวาดมองไปรอบตัว ไม่พบศัตรูสุ่มซ่อน ยิ่งไม่มีการลอบโจมตีอย่างที่คิดกันเอาไว้
ตลอดเส้นทางล้วนราบรื่นไร้เรื่องราว ไม่นานคนทั้งหมดก็มาถึงใจกลางค่ายกลตามที่บุรุษชุดดำบอกไว้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรคทั้งปวง
“ระวังด้วย คอยดูว่ามันจะกลายร่างอาละวาดอย่างไร ตอนนี้พวกเราก็ทำได้แค่ตามน้ำไปก่อน ขอเพียงผู้บงการยอมเผยตัวออกมา ก็จะสามารถขจัดปัดเป่าม่านหมอกปริศนานี้ออกไปได้” ฉินจิ่วเกอลดเสียงเอ่ยเตือนสวีเชิ่ง อีกฝ่ายคือผู้ที่มีกำลังรบสูงสุด คิดสยบชายชุดดำให้ราบคาบย่อมเป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
ฉินจิ่วเกอย่อมไม่วางใจเชื่อชายชุดดำอยู่แล้ว แม้ฝ่ายนั้นจะเป็นถึงยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด คิดต่อกรกับผู้บงการย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
ฉินจิ่วเกอค่อยๆ ย่องมาหลบอยู่ข้างๆ ลั่วเฉิน ในเวลาเช่นนี้การได้อยู่ข้างๆ ตัวละครเอกของเรื่องย่อมนับว่าปลอดภัยที่สุด
บนพื้นที่เปิดโล่ง มีโลงหยกโลหิตตั้งอยู่หลังหนึ่งจริงดั่งที่ว่า โลงศพนี้ใสกระจ่างมองเห็นไปถึงด้านใน ด้านนอกแกะสลักลวดลายค่ายกลเอาไว้เต็มพรืดไปหมด ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหนจะมาเปิดก็ได้
เพียงแต่ภายในนั้นมีเงาร่างคนผู้หนึ่งอยู่ แปลว่ามีศพอยู่ด้านใน
แค่โลงหยกโลหิตก็มีมูลค่าหลายหมื่นศิลาวิญญาณระดับต่ำแล้ว
ไหนจะลวดลายค่ายกลที่ถูกสลักเอาไว้บนพื้นผิวพวกนั้นอีก นักจัดวางค่ายกลทั่วๆ ไปไม่สามารถไขเปิดได้ จึงนับได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
.
.
.