มองดูโลงหยกโลหิต ทุกคนก็ไม่สงสัยในคำพูดของบุรุษชุดดำอีก ดูเหมือนว่าพวกมันทุกคนจะได้ออกไปจากที่นี่เร็วๆ นี้ หลังพบเห็นโลงหยกโลหิต นัยน์ตาของบุรุษชุดดำก็ฉายแววลิงโลด ราวกับว่าคาดการณ์ไว้นานแล้ว

“ลำพังแค่ข้าคงยากจะที่เปิดได้” สวีเชิ่งสัมผัสโลงหยกตรงหน้า คล้ายรับรู้ว่าด้านในมีสิ่งมีชีวิตที่ถูกกักขังไว้กำลังใช้นัยน์ตาเยียบเย็นจับขั้วหัวใจมองดูมันอยู่

ฉินจิ่วเกอไม่กล้าเฉียดใกล้โลงหยกโลหิต ตลอดเวลาเอาแต่เกาะติดอยู่ข้างหลังลั่วเฉิน ลั่วเฉินเองก็รู้สึกเย็นสันหลัง น่าขนลุกขนพองยิ่ง

สุสานที่เรียกกันอยู่นี้มีที่ตั้งในมิติเอกเทศซึ่งเคยล่มสลายมาก่อน

มิตินี้อาจจะเป็นซากสถานของขุมกำลังเก่าแก่โบราณสักกลุ่มหนึ่ง ภายในมีซากปรักหักพังอยู่ทั่วพื้นที่ นอกจากโลงหยกโลหิตใบนี้แล้ว ก็ไม่มีที่ใดดึงดูดสายตาอีก

ในเมื่อรู้ว่าโลงศพนี้ไม่ธรรมดา ก็เหลือแค่เปิดมันออก จะเกิดอะไรขึ้นนั้นค่อยว่ากัน

“พวกเจ้าทุกคนรีดเค้นพลังวิญญาณออกมา ข้าจะควบรวมเอง” พลังชั้นกลั่นดวงธาตุทรงพลังเหนือสิ่งใด สามารถหลอมรวมพลังวิญญาณที่ต่างกันไปมาใช้กับตนเองได้

ชนชั้นกลั่นดวงธาตุ โดดเด่นเหนือล้ำในใต้หล้า กลั่นดวงธาตุทองคำผสานกำบังทั่วร่างกาย สามารถดูดซับพลังต่างคุณลักษณะธาตุได้

เหนือโลงหยกโลหิต พลังวิญญาณหลากสีสันของทุกคนพร้อมที่จะจู่โจม ต่างคนต่างก็ทยอยกันสำแดงพลังยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา โดยให้สวีเชิ่งเป็นฝ่ายผนึกหลอมรวม ฉินจิ่วเกอจ้องมองฝูงชน กลับพบว่าบุรุษชุดดำที่นำพวกมันมาที่นี่ได้หายไปแล้ว

ขณะที่ทุกคนกำลังรวบรวมพลังโจมตี ฉินจิ่วเกอเลือกที่จะเงียบปากไว้ เพียงหันไปส่งส่ายตากับลั่วเฉิน

ลั่วเฉินเองก็ไม่ได้ลงมือเช่นกัน มองอย่างรู้กันกับฉินจิ่วเกอ จากนั้นคนทั้งสองก็บ่มเพาะกำลังรอเวลาลงมือ

เหนือกระหม่อม สวีเชิ่งควบรวมพลังจนกลายเป็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ เหมือนดวงตะวันขนาดย่อมที่สาดส่องไปทั่วทั้งพื้นที่ โลงหยกโลหิตส่องประกายสีทอง คล้ายว่าเนื่องจากผนึกกำลังจะคลายออก สิ่งที่อยู่ด้านในจึงทำท่าจะออกมาได้ทุกเมื่อ

“รวม! ”

วัตถุทรงกลมหดลงจนเหลือขนาดเท่ากำปั้น สวีเชิ่งตามติดด้วยกระบวนยุทธ์จู่โจม เชื่อมโยงพลังจากทั้งร่างส่งหมัดที่คล้ายจะกวาดล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ออกไปทางฝาโลงอันหรูหรางดงามจนเกิดเสียงปริแตกดังขึ้นถี่ๆ

เพียงเสี้ยวพริบตา อักขระผนึกก็ถูกทำลาย เพียงหนึ่งกระบวนท่า พลังทำลายล้างขุมนั้นก็กวาดล้างผนึกบนโลงหยกโลหิตไป

ในฐานะยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุ กำปั้นที่ใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดของสวีเชิ่ง กระทั่งทุบทำลายภูเขาลูกย่อมๆ จนพังราบได้เลย

ต่อให้ถูกสุสานแห่งนี้สะกดพลังไว้ แต่หนึ่งกำปั้นของกลั่นดวงธาตุก็ยังเหนือกว่ากระบวนท่านับพันของพิสุทธิ์ไพศาล

บนโลงศพปรากฏรอยหมัดจางๆ ขึ้นรอยหนึ่ง ยามที่อักขระยันต์บนนั้นสลายไป กลับไม่ได้ชักนำปรากฏการณ์ผิดแผกใดตามมา

รอจนทุกอย่างซบเซาลง นอกจากซากอักขระแล้ว โลงหยกโลหิตก็ยังคงอยู่กับที่ราวกับถูกตอกยึดไว้กับพื้น

สวีเชิ่งสับสนงุนงง คนลองใช้มือสัมผัสฝาโลง ปรากฏว่ามีเสียงดังกริ๊กคราหนึ่ง ตัวโลงกับฝาโลงก็แง้มออกเป็นช่องเล็กๆ

คนหลายสิบแววตาลิงโลดยินดี ต่างยืนเขย่งตัวล้อมวงอยู่รอบโลงศพ เบิกตาจับจ้องมองดูข้างใน ราวกับกลัวว่าจะพลาดทรัพย์สมบัติไปสักอย่าง

โลงหยกโลหิตค่อยๆ แง้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ฝาโลงถูกเลื่อนออกจากด้านใน

ไม่ทันที่ทุกคนจะได้ประหลาดใจ ในโลงศพ มือแห้งกรอบข้างหนึ่งก็เหยียดยื่นออกมา ดำสนิทยิ่งกว่าเถ้าถ่าน

หากพิจารณาดูให้ดีจะพบว่า ฝ่ามือเหี่ยวชราข้างนั้นไม่ใช่ว่ามีผิวหนังเป็นสีดำ แต่เป็นเพราะว่าบนพื้นผิวได้มีไอมรณะสีดำจับตัวอยู่อย่างแน่นหนา

ปง!

ฝ่ามือขยับไหวเบาๆ ภายใต้สายตาแตกตื่นโง่งมของทุกคน สวีเชิ่งจ้องมองฝ่ามือข้างนั้นฟาดลงบนทรวงอกตนเอง ไร้ซึ่งพลังจะต่อต้าน จวบกระทั่งฝ่ามือข้างนั้นทิ้งรอยประทับจางๆ เอาไว้บนอก สวีเชิ่งถึงค่อยเบิกตากว้างโต ร่างลอยละลิ่วดุจว่าวที่ขาดจากสายป่าน

ตูมมม!

บนพื้นปรากฏหลุมลึกหลายสิบเมตรขึ้นแทนที่ สวีเชิ่งกระอักโลหิตออกจากปาก มันถึงกับได้รับบาดเจ็บ!

กระดูกทั่วร่างแทบปริแตกออกจากกัน สวีเชิ่งคลานออกมาจากหลุม แววตามีแต่ความไม่อาจเชื่อ

กลั่นดวงธาตุ ต่อให้ยืนให้พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดลงมือจู่โจมตามใจอยาก อีกฝ่ายก็ยังไม่อาจสร้างอาการบาดเจ็บให้แก่มันได้ ไม่แม้แต่เส้นขนสักเส้นเดียว ที่ว่ากันว่าชนชั้นกลั่นดวงธาตุสามารถถล่มขุนเขาแยกผ่ามหาสมุทรนั้นไม่ใช่พูดกันเล่นๆ

ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายเพียงแค่กระดิกฝ่ามือเบาๆ ไม่เพียงแต่ส่งร่างตนลอยปลิดปลิว แต่อวัยวะภายในยังบาดเจ็บร้ายแรง ชัดเจนว่าบาดแผลนั้นสาหัสไม่ใช่เล่น แล้วสวีเชิ่งมีหรือจะไม่กลัว?

ทันใดนั้น ฝาโลงก็ถูกดันลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะร่วงตกลงมาพร้อมด้วยน้ำหนักที่มากกว่าพันจิน

ทุกคนมองดูฝาโลงที่หมุนคว้างกลางอากาศอย่างโง่งม จากนั้นสองพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดก็ถูกทับจนน้ำสมองแตกกระจาย ตายคาที่ไปในทันที

ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทาน ไม่ว่าจะด้วยกลยุทธ์หรือพละกำลังประเภทใดก็ตามแต่ ยามอยู่ต่อหน้ามือดำแห้งเหี่ยวข้างนั้นก็เป็นได้แค่มดปลวกที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น

มดปลวกต่อให้มีฤทธิ์เดชสักปานใด จะมีเขี้ยวเล็บที่แหลมคมสักเพียงไหน มนุษย์อันอยู่เหนือพวกมันก็ไม่อาจรับรู้

“เปิดโลงหยกโลหิตได้เช่นนี้ พวกเจ้านับว่าไม่เลวเลยจริงๆ ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มีเงื่อนไขถึงพร้อม สามารถเข้าร่วมพิธีสังเวยในครั้งนี้ จงภูมิใจเสียเถอะที่ได้สละเลือดเนื้อให้แก่องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ทีนี้ก็ถึงเวลาตายของพวกเจ้าแล้ว! ”

เกิดเสียงพร่าเลือนไม่ดังไม่ค่อยแต่ราวกับสายอสนีบาตถล่มลงกลางน้ำ คลื่นซัดสาดกระเซ็น ทุกคนทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ เป็นต้องหวาดผวาจนล้มพับลงไปกองอยู่กับพื้น ไร้เรี่ยวแรงจะลุกกลับขึ้นมา

สวีเชิ่งคิดไม่ถึงว่าภายในโลงหยกโลหิตถึงกับมีตัวตนอันน่าหวาดหวั่นปานนั้นซ่อนอยู่ ราวกับว่าอีกฝ่ายเพียงแค่คิดคำนึง ชีวิตทุกชีวิตก็จะถูกพรากไปในทันที

“กล้าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเป็นใครกันแน่?” สวีเชิ่งขับเคลื่อนพลังเยียวยาบาดแผล ฝืนร่างกายที่บาดเจ็บถามออกไป

ทวีปฉงหลิงอันกว้างใหญ่ นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตัวตนที่ร้ายกาจที่สุดก็คือบรรพชนวิญญาณ

บรรพชนวิญญาณผ่าแยกท้องนภาฟ้าดิน ว่ากันว่ามันจุติลงทวีปฉงหลิงจากแดนไท่จี๋เก้าสวรรค์ ตกทอดกฎแห่งการฝึกตนแก่ทวีปฉงหลิงดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์มารอสูรก็ล้วนแล้วแต่นับถือบรรพชนวิญญาณเป็นบรรพชน

บรรพชนวิญญาณมาถึงทวีปฉงหลิงเมื่อล้านปีก่อน เปิดจุดชีพจร ก่อกำเนิดผู้บำเพ็ญพรต รวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง นับเป็นปีเริ่มต้นแห่งยุคไท่หวง

เวลานั้น สามเผ่ายังไม่แตกแยก สรรพชีวิตร่วมดำรง เป็นยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ที่สุด

แม้แต่ตัวมันเอง ยังเรียกตนเองเพียงคำว่าบรรพชน ในชื่อเรียกนั้น ปราศจากคำจักรพรรดิปกครองเก้าสวรรค์ล้ำฟ้าอันใด ทั้งไร้ซึ่งคำศักดิ์สิทธิ์ท่องทะยานทั่วจักรวาล เห็นได้ว่าคำจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์สองคำนี้ แต่ละคำมีความหมายสำคัญถึงปานไหน

“เจ้าไม่ต้องรู้ ในฐานะเครื่องสังเวย พวกเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว ส่งมอบกระดูกเลือดเนื้อออกมาได้แล้ว!” ดวงหน้าเหี่ยวเฉาราวผีดิบตายซากดวงหนึ่งเอื้อมตะปบออกมาจากโลงหยกโลหิต

สามคนที่ยืนหยัดใกล้โลงที่สุด กลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือนทั้งเป็น

ที่หลงเหลือแตกฮือกระจัดกระจาย ถูกจู่โจมโดยเงาดำ ต้องล่าถอยออกมา

ชายชุดดำคุกเข่าลงกับพื้น อวัยวะทั้งห้าหมอบราบกับพื้นในท่วงท่าคารวะบูชา “ใต้เท้า ข้าพาพวกมันมาถวายแล้ว ละเว้นข้าด้วยเถอะ”

“ฮ๋าฮ่า เจ้ามีความดีความชอบ พวกเราพรรคโลหิตจางย่อมไม่สังหารเจ้า นับจากวันนี้ไป เจ้าก็เข้าร่วมพรรคโลหิตจางเราเถอะ” เฒ่าหน้าผีดิบสะบัดชายเสื้อ เมื่อเอ่ยถึงคำพรรคโลหิตจาง ท่วงท่าไม่ต่างจากสุนัขผู้ซื่อสัตย์โบกหางแก่เจ้านาย

ฉินจิ่วเกอเบิกตาจ้อง พรรคโลหิตจาง มันเคยได้ยินมาก่อนแล้ว

ไม่นานมานี้ ผู้ฝึกวิชาปีศาจของพรรคโลหิตจางออกท่องยุทธภพ เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์และผู้ฝึกตนมากมาย ท้าทายทั้งมนุษย์ปีศาจและเผ่ามาร ก่อเรื่องราวสะท้านโลก

“ขอบคุณใต้เท้า ขอบคุณใต้เท้า” บุรุษชุดดำกราบกรานลงกับพื้น ศีรษะผงกติดต่อกันราวค้อนตีกระเทียม สำหรับกับมันแล้ว สามารถรักษาชีวิตได้คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ส่วนจะอยู่อย่างไรต่อไปนั้น นั่นไม่สำคัญ

“สุมหัวรวมกับผู้ฝึกวิชาปีศาจ สารเลว!” เสียงแหบแห้งคำรามออกมา

เฒ่าผีดิบประกบมือ เกิดเป็นฟองโลหิตไหลลงสู่พื้น ประดุจดั่งน้ำไหลลงฟองน้ำ ถูกดูดซึมไปจนหมดสิ้น

ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลงเหลือเจ็ดแปดคนค่อยๆ คุกเข่าลงช้าๆ จากนั้นโขกศีรษะลง ร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพช

“เดรัจฉาน!” ฉินจิ่วเกอชักกระบี่หนักออกมา ใช้ฝ่ามือกิเลนครองฟ้ากุมด้ามกระบี่ กระโจนเข้าใส่บุรุษชุดดำ

อีกฝ่ายยังโขกศีรษะกับพื้นขอบพระคุณบุญคุณไว้ชีวิต ไม่คาดฉินจิ่วเกอพลันจู่โจมเข้ามา

ฝ่ามือกิเลนครองฟ้ากุมด้ามกระบี่ พลังฝ่ามือที่ถล่มโถมลงมา สามารถผ่าผู้คนออกเป็นสองส่วน

บุรุษชุดดำคุกเข่าลงกับพื้น ใช้หัวเข่ายันพื้นต้านทานรับการโจมตี เสียงพรู่ดคราหนึ่ง อีกฝ่ายกระอักโลหิตเป็นฟองฟ่อด ร่วงหล่นราวเศษขยะในกองคลี

ลั่วเฉินควบรวมพลังวิญญาณเป็นขวานวิญญาณ ถือโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่คืนสติ ขวานวิญญาณผ่าลงแยกสังขารออกเป็นเศษชิ้นส่วน

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ ผู้ยังมีชีวิตที่กำลังจะคุกเข่าสวามิภักดิ์ต้องชะงักเข่า มองไปยังสวีเซิ่งด้วยสายตาน่าเวทนา

บุรุษชุดดำถูกฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินประสานเข่นฆ่าเข้าหา บนพื้นนอกจากเศษโลหิตเลือดเนื้อ ยังมีป้ายหยกข้างเอวอีกหนึ่งชิ้น บนนั้นสลักไว้ด้วยอักษรประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ตัวโต

สวีเซิ่งสะกดความหวาดหวั่นในใจ มันสัมผัสออกชัดเจน ภายในร่างของเฒ่าผีดิบอัดแน่นด้วยพลังน่าสะพรึงกลัวปานใด

พลังฝีมือ ยังเหนือกว่ากลั่นดวงธาตุขั้นหก เทียบเปรียบได้กับอาวุโสยอดฝีมือจากสี่พรรคใหญ่ทั่วไปได้อย่างเท่าเทียม

กลั่นดวงธาตุมีเก้าขั้น เรียกแบ่งออกเป็นเก้าดวงธาตุ ขึ้นอยู่กับความล้ำลึกของระดับพลัง

จากดวงธาตุระดับหกถึงระดับเจ็ด เป็นช่องว่างอันมหาศาล

ดวงธาตุระดับเจ็ด ในหลิงไถจะควบกลั่นกำเนิดหยวนเซิ่น (แกนวิญญาณ) อาวุโสในประตูหายนะเองก็มีความสามารถประมาณนี้

“ฮ่าฮ่า มีความหมาย เด็กน้อยที่ยังไม่เป็นอันใดสองตน หนึ่งกระบวนท่าสังหารพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด พวกเจ้าล้วนไม่เลว คุณสมบัติใช้การได้ สามารถเข้าเป็นบริวารพรรคโลหิตจางข้า”

เฒ่าผีดิบกล่าวจบคำ ฝ่ามือผีตายซากกางนิ้วกระดูกยาวเหยียดทั้งห้าของมันออก เพียงท่าจู่โจมจากที่ไกล กระชากชีวิตของผู้คนไปอีกแปดคน

ในที่นี้ เพียงหลงเหลือฉินจิ่วเกอ ลั่วเฉิน และสวีเซิ่งสามคน

ส่วนคนอื่นทั้งหมด กระทั่งเศษซากชิ้นส่วนศพยังยากจะหาพบ

สวีเซิ่งได้ยินคำพูดของเฒ่าผีดิบ ต้องเบนสายตามาทางฉินจิ่วเกอทั้งสอง แววตาแฝงความริษยา

พวกมันทั้งสองรักษาชีวิตรอดได้แล้ว ตัวมันเล่า?

สวีเซิ่งเพียงเพิ่งบังเกิดความคิดร้องขอชีวิต ก็ได้ยินลั่วเฉินกล่าววาจาเสียดสีออกมา “กลุ่มคนไม่ใช่คนผีไม่ใช่ผี ได้แต่วางอำนาจอวดเบ่งอยู่ใต้พื้นดิน ด้วยความเคารพ พวกเจ้ากระทั่งคนยังไม่อาจเป็นได้”

จากนั้นเป็นฉินจิ่วเกอกล่าวเสริม “วาจาศิษย์น้องถูกต้อง ให้พวกเราเข้าพรรคโลหิตจาง ของกำนัลสักเล็กน้อยยังไม่มีเสนอให้ ไร้ความจริงใจสิ้นดี หากคิดให้ข้ายอมรับ มอบห้าล้านศิลาวิญญาณมาให้ข้าก่อนค่อยทบทวนอีกที”

“บัดซบ” ลั่วเฉินด่าทอพลางหัวเราะ ไร้ความหวาดเกรงในเฒ่าผีดิบโดยสิ้นเชิง

สวีเซิ่งตกตะลึง หรือว่าพวกมันแม้ชีวิตก็ไม่เสียดายแล้ว ไม่กลัวตายจริงๆ?

แม้ว่าผู้ฝึกพรตและผู้ฝึกวิชาปีศาจไม่อยู่ร่วมฟ้า แต่ยังต้องคำนึงถึงสถานการณ์ อีกฝ่ายเพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถชิงลมหายใจจากชีวิตต่ำต้อยของมันได้ ไม่คิดก้มหัวก็ต้องก้มแล้ว

“ฮ่าฮ่า มีความหมาย” เฒ่าผีดิบกลับไร้ซึ่งโทสะ ด้วยใบหน้าแห้งเหี่ยวเกรอะกรังของมัน ผิวหนังยืดยานจนลูกนัยน์ตาแทบทะลักออกมา

มันชี้นิ้วใส่สวีเซิ่ง ออกคำสั่ง “ปลิดศีรษะเด็กน้อยทั้งสองออกมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

พริบตานั้น ระยะห่างระหว่างสวีเซิ่งและคนทั้งสอง พลันถ่างกว้างออกคนละสุดขอบโลก

มองดูฉินจิ่วเกอ ต้องถูจมูกด้วยทีท่าไม่น่าดู สำหรับลั่วเฉิน ต้องยืนอยู่ด้านข้างด้วยทีท่ารังเกียจเดียดฉันท์ คนไม่พึงพอใจยิ่ง

“พวกเจ้าไม่กลัวตายจริงๆ?” สวีเซิ่งงุนงงสับสน ต้องถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

ฉินจิ่วเกอชี้นิ้วไปยังเฒ่าผีดิบ “ผู้ฝึกวิชาปีศาจไม่ใช่คน วันนี้ต่อให้เจ้ารอดไปไม่ตาย วันหน้าก็ต้องตายใต้เงื้อมมือมัน ที่แตกต่างคือเมื่อเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปีศาจ ถูกคนไล่ล่าฆ่าล้าง ใช้ชีวิตอย่างร้อนรนทั้งวันคืน”

“ถูกต้อง ในเมื่อยังไงล้วนต้องตาย แล้วจำเป็นอันใดต้องเข้าสู่วิถีมารเล่า?” ลั่วเฉินหัวร่อปลอดโปร่ง ยืนหยัดในโลกิยะ ล้วนเป็นผู้หลงทาง

“หวา ศิษย์น้องน่าประทับใจนัก ศิษย์พี่เลื่อมใส” ฉินจิ่วเกอสบโอกาสพ่นคำสอพลอไปอีกชุด

สวีเซิ่งถูกกระตุกเสียดแทงใจ โพล่งถามอย่างลืมตัว “พวกเจ้าไม่กลัวตายจริงๆ?”

ฉินจิ่วเกอสีหน้าเคร่งขรึม ประสานมือกล่าว “คนเกิดมาล้วนต้องตาย มีทั้งสู้รบตายป่วยตายแก่ตายหกล้มตาย สำหรับกับข้าแล้ว ขอเพียงไม่ยากจนตายก็พอแล้ว”

“ไม่จำเป็น” ลั่วเฉินออกปากปรามปากพล่อยๆ ของฉินจิ่วเกอ “ใครบอกว่าพวกเราล้วนต้องตาย ที่นี่คือมิติเอกเทศที่หลงเหลือจากพันปีก่อน ค่ายกลไม่มั่นคงเท่าใด หากพวกเราสามคนประสาน มีโอกาสทลายออกไปอยู่ไม่น้อย”

“หือ?” เฒ่าผีดิบนั่งตัวตรง ถามตัดบท “ข้าอยากฟังเรื่องนี้”

.

.

.