“ข้าเดาว่าพวกเจ้าฉวยโอกาสใช้มิติเอกเทศที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้เพื่อดึงดูดผู้คนโดยรอบเข้ามาหาที่ตายอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นไปได้ว่าในอีกหลายที่ล้วนปรากฏทางเข้าสู่ตำหนักสุสานเยี่ยงนี้ขึ้นอีกมากมาย ทว่าล้วนเข้าแล้วไม่มีใครออกไปได้ บรรดาคนเหล่านั้นมิใช่เจ้าเข่นฆ่าทั้งหมด”

“เช่นนั้นพวกมันตายอย่างไร?”

ลั่วเฉินกล่าวสืบต่อ “แน่นอนว่าย่อมฆ่ากันเอง หากพวกมันรวมกลุ่มกัน จะเหลือรอดออกไปสักสองสามคนก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ มิใช่สุนัขที่เจ้าเรียกไว้ใช้งานหรอกหรือ? เรื่องของเรื่องคือเจ้าเองก็ไม่กล้าใช้พลังของตนเองออกอย่างเปิดเผย”

“น่าสนใจ กล่าวได้ไม่เลว หากเจ้าเป็นกลั่นดวงธาตุขั้นสาม กลับสามารถลั่นวาจาหนักแน่นได้เช่นนี้ น่าเสียดายที่พลังฝีมือเจ้าอ่อนด้อยจนเกินไป เกรงว่าต่อให้ข้าใช้แค่พละกำลังจากร่างเลือดเนื้อ ยังมิใช่ระดับที่พวกผู้ฝึกตนที่ยังไม่ก้าวถึงดวงธาตุทองคำเช่นพวกเจ้าจะต้านทานรับได้”

ลั่วเฉินไม่ตอบคำ กลับหันหลังไปตวาดใส่สวีเซิ่ง “ยังไม่ได้สติอีก! พวกเราเหล่าผู้ฝึกตน ไม่เกรงกลัวความยากลำบากและขวากหนาม ตลอดหนทางเต็มไปด้วยอุปสรรค ตกตายได้ทุกเมื่อ เจ้ากระทั่งความกล้าลงมือยังไม่มีหรือ? เศษสวะ!”

วาจาของลั่วเฉินประดุจดั่งยกหินทุ่มใส่บ่อน้ำ ปลุกสวีเซิ่งฟื้นตื่นจากฝัน จิตต่อสู้ที่เย็นเยียบตายด้านไปแล้วพลันลุกโชนโชติช่วง ฉินจิ่วเกอมองดูแล้วต้องจิ๊ปาก สมเป็นพระเอกของเรื่อง วาจาไม่กี่ประโยค ก็เรียกแฟนคลับกลั่นดวงธาตุมาได้หนึ่งคน

ปฏิกิริยาของสวีเซิ่งยามนี้ สองตาส่องประกายวิบวับ เป็นแววตาชื่นชมบูชาขั้นสูงสุด

พยัคฆ์สะท้าน ราชันสะเทือน คบหาสหายทั่วแดน นี่คือคติของพระเอก ไม่ว่าหมากขาวหมากดำฝ่ายดีฝ่ายเลวล้วนถูกกินรวบหมดสิ้น ฉินจิ่วเกอแววตาไม่ปรกติ ตนเองเมื่อเป็นศิษย์พี่ของพระเอก ต้องเป็นพยานการเถลิงสู่ตำแหน่งพระเอกของมัน

จวบจนต่อไปมันกลายร่างเป็นเก่งฉกาจ สามารถยกอ้างชื่อมันไปล่อลวงบุตรธิดาตระกูลใด สมควรทำได้กระมัง?

สวีเซิ่งลบล้างเส้นแบ่งพรมแดนที่มันเพิ่งขีดสร้างขึ้นมา ขยับเข้ามาเบื้องล่างลั่วเฉินด้วยตนเอง ยังคงใช้สายตาปลาบปลื้มระยิบระยับเช่นเดิม

“พวกเจ้าล้วนไม่คิดมีชีวิตแล้วสินะ?” เฒ่าผีดิบเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งยวด มันสังหารตัวโง่งมที่โยนตนเองเข้าปากเสือมาหลายสิบ ยังไม่พบผู้ใดมีเจตจำนงและประสบการณ์หยั่งรู้ถึงขั้นนี้

“ขอโทษด้วย พวกเราไม่สนใจเสวนากับหนูสกปรกที่วันๆ ได้แต่ซุกซ่อนในหลืบโสมม” ฉินจิ่วเกอเค้นสมองความคิดจนหมดไส้หมดพุง สุดท้ายประดิษฐ์ประโยคแสดงจุดยืนและความรักความแค้นของตนเองออกมาได้เพียงหนึ่งประโยค

สวีเซิ่งชักแส้ที่เป็นศัสตราวิเศษขั้นสูงออกมา จิตต่อสู้ยามนี้ลุกโพลงแผดเผาเต็มร้อย “เสี่ยงตายกับมันเถอะ!”

“ไม่ต้องรีบร้อน” ฉินจิ่วเกอแสดงท่วงท่าทรงภูมิ กลับเรียกรั้งสวีเซิ่งที่กระเหี้ยนกระหือเอาไว้ด้วยทีท่าลึกล้ำสุดหยั่งถีง

“ไม่เช่นนั้น?” เห็นท่าทางไม่รีบไม่ร้อนเหมือนคนอุ่นจอกชงชาของศิษย์พี่ใหญ่ ลั่วเฉินคล้ายคาดเดาผลลัพธ์ออก ใช่แล้ว พวกเราพรรคหลิงเซียวเองมิใช่เสือกระดาษ เบื้องหลังของพวกเราแข็งแกร่งยิ่ง

“หลอกลวงภูตผี พอได้แล้ว ให้พวกเจ้าอยู่มานานเกินไปแล้ว ตายซะ!” เฒ่าผีดิบสังหรณ์ใจ ภายนอกสมควรมีแพะอ้วนกำลังเข้ามาอีก เร่งกำจัดสามคนนี้ไปแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า ระบายโรงเชือดรอแพะอ้วนชุดต่อไป

ฉินจิ่วเกอถอนใจเฮือก ที่เข้ามาไม่แน่ว่าเป็นแพะอ้วน แต่อาจเป็นมือโหดสวมหนังแกะปลอมตัวมา เห็นเฒ่าผีดิบเร่งถาโถมเข้าใส่ ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินแสยะยิ้มชั่วร้ายโดยพร้อมเพรียง ยิ้มได้อย่างชั่วร้ายน่าสยองยิ่ง ยังน่ากลัวกว่าบรรดาผู้ฝึกวิชาปีศาจที่จิตวิปริตพวกนั้นอีก

“พวกเจ้ายิ้มอะไร?” เฒ่าผีดิบตะลึงจนโง่งม พวกมันยามปกติหัวเราะเช่นนี้หรือไม่ ผิดปกติสุดๆ

“ข้าคิดมีชีวิตไปอีกห้าร้อยปี!” ความตายกรายถึงศีรษะ สวีเซิ่งยามนี้คิดตบหน้าตนเองให้หูดับสักสองสามฉาด ในที่สุดก็คิดประโยคทองได้บ้างแล้ว คนปิดตาลงเห็นความตายดุจคืนสู่มาตุภูมิ ตระเตรียมยืดคอรอความตาย

ฉินจิ่วเกอหัวเราะลั่น “พี่แซ่สวีวางใจ ด้วยพลังกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งของท่าน มีชีวิตถึงห้าร้อยปีได้อย่างเหลือเฟือ”

สองตาสวีเซิ่งปรากฏน้ำตาหลั่งไหล “เลือกข้างผิดแล้ว โฮฮ!”

“ทุกอย่างถูกกำหนดแล้ว ฝั่งพระเอกคือพวกเราทางด้านนี้ ใครอยู่ใครตายยังไม่แน่นัก หากท่านคิดตายจริงๆ ก็รีบทิ้งพินัยกรรมไว้ แล้วส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่มีมาให้ข้า”

เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน สวีเซิ่งและฉินจิ่วเกอเป็นทำนองเดียวกัน ขวัญกำลังใจเพิ่มพูนกะทันหัน

ฟิ้วฟิ้ว

ขณะที่เฒ่าผีดิบกำลังเตรียมตวัดฝ่ามือกวาดทำลายคนทั้งสาม ตรงที่ไกลออกไป ประสบพบกับการโจมตีอันแข็งแกร่งถึงขั้นสั่นสะท้านห้วงมิติกวาดเข้าใส่ แพะอ้วนที่เพิ่งหลุดเข้ามาตัวนั้น ที่จริงแล้วเพียงสวมหนังแพะ ยามนี้แปลงร่างเป็นสุนัขป่า

อย่าได้เห็นเฒ่าผีดิบสารรูปครึ่งเป็นครึ่งตาย ทันทีที่เผชิญการโจมตีอันแข็งแกร่งยังหลบหนีรวดเร็วกว่ากระต่ายป่า เมื่อกระบวนจู่โจมตกลง โลงหยกโลหิตล้วนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สุดท้ายกลายเป็นเศษฝุ่นผง

สิ้นเสียงดัง ห้วงมิติล่มสลายเป็นเศษชิ้นส่วน พลังวิญญาณเหลวระดับดวงธาตุทองคำระเบิดออก

“ผู้ใด?” เฒ่าผีดิบหวาดกลัวแล้ว มียอดฝีมือเผ่ามนุษย์แฝงตัวเข้ามา ด้านนอกสมควรมีคนส่งข่าวให้มันล่าถอยสิ

ยุคสมัยที่โลกหล้าเสื่อมถอยเช่นทุกวันนี้ ยอดฝีมือที่ผุดขึ้นในเผ่ามนุษย์ทั้งหลาย ล้วนถูกพรรคโลหิตจางเฝ้าจับตาดูอยู่ เมื่อไม่มีคนส่งข่าวบอกมันล่วงหน้า หรือจะเป็นพวกตัวประหลาดเฒ่าที่เพิ่งตื่นจากการกักตน?

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมไอดังขึ้น วัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งบินคว้างเข้าใส่เฒ่าผีดิบอย่างรวดเร็ว

มันยื่นมือออกรับไว้ วัตถุวิเศษน้ำหนักร่วมหมื่นจิน ยังตีวงโค้งออกไปอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนฟาดเข้าใส่ครึ่งซีกหน้าของมันอย่างถนัดถนี่ เสียงเฒ่าผีดิบกรีดร้องน่าเวทนา ฟันฟางโลหิตหลั่งพรั่งพรู จมูกทั้งสองรูปรากฏเลือดกำเดาไหลโกรก เติมเต็มลงบนร่องรอยลึก

รองเท้าข้างหนึ่ง ร่วงแปะลงบนพื้น พื้นรองเท้าแต้มแต่งด้วยรอยเลือด เป็นพยานวัตถุของอาวุธสังหารไม่ผิดแน่

เงาร่างคนผู้หนึ่งเหินลอยแผ่วพลิ้วราววายุใต้แสงจันทร์ ปัดเป่าไอมรณะชั่วร้ายเข้มข้นภายในตำหนักสุสานออก กล่าวขอโทษขอโพยด้วยท่าทางไร้ความรู้สึกผิดเหมือนเพิ่งเหยียบขยะโดยไม่ตั้งใจ “ขออภัย ขออภัย เมื่อครู่พลั้งมือไป เจ็บหรือไม่?”

“อาจารย์!” ฉินจิ่วเกอร้องเรียกด้วยความตื่นเต้น

นอกจากอาจารย์ของตนเองแล้ว ใต้หล้ายุคนี้ ยังจะมีใครสามารถเตะใส่ผู้ฝึกวิชาปีศาจราวลูกบอลได้อีก?

เฒ่าผีดิบชัดเจนว่าไม่เคยต้องประสบพบกับการโจมตีที่แสนรุนแรงขั้นนี้มาก่อน มันตะกายอยู่กับพื้น ครึ่งค่อนวันยังไม่อาจลุกขึ้นมาได้ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร?”

ฉินจิ่วเกอเลิกคิ้ว “แม้แต่อาจารย์ของข้าเจ้าก็ไม่รู้จัก? เจ้าพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจขาดสารอาหาร ฟังให้ดี อาจารยของข้าอาวุโสใหญ่พรรคหลิงเซียว ร้อยเปลี่ยนพันแปลงเก้าสวรรค์พันพิภพพักตร์หกสี ไม่พอใจยินดีต่อยตี”

เฒ่าผีดิบถ่มน้ำเลือดและฟันที่ถูกตบหลุดร่วงออกมาหลายซี่ ก่อนคำราม “เจ้ากล้าตีข้า หาที่ตาย!”

“ใต้หล้าวันนี้มิใช่สถานที่ให้ผู้ฝึกวิชาปีศาจเช่นพวกเจ้าจะมาอวดเบ่งได้ ไสหัวไป!” อาวุโสใหญ่มองไม่เห็นหัวของเฒ่าผีดิบอย่างสิ้นเชิง

“อ๊าก ปีศาจทลายสวรรค์!” เฒ่าผีดิบบังเกิดโทสะแล้ว มันใช้ทักษะยุทธ์ระดับเก้าออก โถมเข่นฆ่าเข้าใส่อาวุโสใหญ่

“อาจารย์ระวัง!”

“เด็กหน้าเหม็น เพียงรู้จักแส่หาเรื่อง พรรคโลหิตจางมิใช่เรื่องที่พวกเจ้าตอแยได้ รีบไสหัวกลับไปพรรคเรา สำนึกผิดให้แก่ข้าเดี๋ยวนี้”

“ขอรับๆ ” ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินต่างผงกศีรษะเร็วรี่

“เพ้ย เจ้ากล้าไม่เห็นเราราชันผู้นี้อยู่ในสายตาเลยเชียวหรือ! ”

ผีดิบชราบังเกิดโทสะขึ้นมาแล้วจริงๆ ตนเองเป็นถึงชนชั้นกลั่นดวงธาตุผู้ยิ่งใหญ่ มีเคล็ดวิชายุทธ์ขั้นเก้าอยู่ในครอบครอง อย่างน้อยเจ้าก็ควรเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาบ้างสิ

แต่พอมองดูอาวุโสใหญ่ ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับมีแต่ความเรื่อยเฉื่อยคล้ายคนออกมาหาอะไรทานนอกบ้าน กระทั่งว่าเมินเฉยต่อการโจมตีของผีดิบชราโดยสิ้นเชิง หนำซ้ำยังหันไปต่อว่าลูกศิษย์ในพรรคราวกับว่าในสายตาของมันผีดิบชราแม้แต่มดก็ยังเทียบไม่ติด

ผู้ฝึกวิชาปีศาจก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ!

“ข่มเหงกันเกินไปแล้ว! ”

“หืม”

อาวุโสใหญ่นัยน์ตาทอประกายยะเยียบ เริ่มหัวเสียที่ถูกผีดิบเฒ่าสอดปาก “อยากตาย? สนองให้! ”

ตูม!

ขุนเขาพันจั้งลูกหนึ่งถูกอาวุโสใหญ่ถอนรากถอนโคนขึ้นกลางเวหา ขุนเขาลูกนั้นพุ่งมาได้ครึ่งทาง ก็ร่วงลงใส่ผีดิบเฒ่าดังโครม เคล็ดวิชายุทธ์สมบัติวิเศษที่อยู่ในความครอบครองของผีดิบเฒ่าล้วนถูกบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผง

เคลื่อนภูผาครอบครองมหานที พลังท่วมท้นเทียมฟ้าก็คือเช่นนี้แล!

เคล็ดวิชายุทธ์ขั้นเก้าอันใดของเจ้า เจออาวุโสใหญ่เขวี้ยงภูเขาใส่กบาล ผีดิบเฒ่าก็กลายเป็นปุ๋ยเหลวๆ แล้ว

หากพูดให้ชัดเจนขึ้นหน่อย กระบวนท่าสังหารของอาวุโสใหญ่ ใช้ออกแค่ครึ่งกระบวนท่าด้วยซ้ำ มิผิด เพียงแค่ครึ่งกระบวนท่า ทั้งยังปลอดโปร่งเหมือนเมฆาคล้อยบนท้องฟ้า บันดาลให้ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินนัยน์ตาทอประกายวับวาว

“ท่านอาจารย์พันปีหมื่นปีล้วนโชติช่วงลือชา ทรงพลังกว่านี้หามีไม่! ” ฉินจิ่วเกอพอสบโอกาสก็รีบประจบสอพลอ มีอาจารย์ที่ร้ายกาจปานนี้ เท่ากับเป็นกำไรชีวิต

ลั่วเฉินเลื่อมใสในพลังของอาวุโสใหญ่จนต้องประคองมือคารวะ

สวีเซิ่งทางด้านข้างพลันไถลตัวคุกเข่าลงกับพื้น “อาวุโส! ”

ป้าบ! สวีเซิ่งพลันถูกอาวุโสใหญ่เตะไปไกลถึงขอบฟ้า “อันนี้ตัวอะไร ใช่เศษเดนจากผู้ฝึกวิชาปีศาจหรือไม่? ”

สวีเซ่งถูกตบตีเหมือนหมูเหมือนหมา ร่ำไห้ด้วยความรันทด “อาวุโส ข้าคือสวีเซิ่งผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ หาได้เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ไหน”

อาวุโสใหญ่ยังอารมณ์ขุ่นมัว “คราวหน้าอย่าได้ทะเล่อทะล่ามาอย่างเมื่อกี้อีก ระวังตาเฒ่าคนนี้พลั้งมือฟาดเจ้าตายคาที่ สร้างความตกใจให้ผู้อื่นไม่ใช่เรื่องดี หัดนุ่มนวลให้มากกว่านี้ซะ”

“ขอรับๆ ” สวีเซิ่งผงกศีรษะรับคำ คราวหน้าหากต้องผายลม คงต้องหาถุงกันเสียงมาสวมครอบไว้ก่อน

หากเป็นผู้อื่น สวีเซิ่งยังไม่กลัวเกรง อาวุโสใหญ่คือผู้เข้มแข็งที่สามารถทุบตีกลั่นดวงธาตุดั่งตีสุนัข ย่อมต้องเกรงอกเกรงใจอยู่หลายส่วน “อาวุโส ผู้น้อย คิดเข้าร่วมพรรคหลิงเซียว ขอท่านอาวุโสโปรดรับไว้”

“พรสวรรค์เลวทรามเกินไป ไม่เหมาะสม” อาวุโสใหญ่เอ่ยอย่างเฉยชา กลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งสวีเซิ่ง ในสายตามันไม่นับเป็นอย่างไร

สวีเซิ่งไม่อาจตัดใจจากโอกาสนี้ มองไปทางฉินจิ่วเกออย่างน่าเวทนา ความหมายวิงวอนร้องขอ

ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะ “อาจารย์ พรรคเราคล้ายขาดศิษย์รับผิดชอบหาบน้ำตัดฟืนอยู่ มิสู้รับพี่ชายสวีเซิ่งไว้ เผื่ออาวุโสสี่เรียกข้าไปช่วยเฝ้าเตาโอสถ”

“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าว่าอย่างนั้น ถือว่าให้มันเป็นศิษย์ขึ้นทะเบียนของพรรคเราเถอะ ส่วนเจ้ากับลั่วเฉิน จงไปคอยข้าอย่างเชื่อฟังบนเขา ไม่อาจไปตอแยพรรคโลหิตจางอีก ได้ยินแล้วหรือไม่?”

“ได้ยินแล้ว”

อาวุโสใหญ่โบกมือ นำฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินกลับสู่พรรคหลิงเซียว สวีเซิ่งรีบติดตามไปด้วยกลัวหลงทาง

ด้วยระดับพลังฝีมือของสวีเซิ่ง คิดเข้าประตูหายนะไปเป็นเจ้าตำหนักมัคทายกล้วนเป็นไปได้ เข้าพรรคหลิงเซียวกลับเป็นได้เพียงศิษย์ขึ้นทะเบียน ส่งผลให้มันรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกันอยู่บ้าง ยามมองดูอาวุโสใหญ่ สายตาคล้ายไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง

ลั่วเฉินรับบาดเจ็บ อาวุโสใหญ่นำตัวมันไปรักษา ทิ้งฉินจิ่วเกอไว้จัดแจงหาที่พักแก่สวีเซิ่ง

เมื่อก้าวเดินเข้ามาในรัศมีพรรคฝ่ายใน ฉินจิ่วเกอพลันได้ยินเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้น

เสียงคร่ำครวญหวนไห้นั้นโศกเศร้าน่าเวทนาเหลือแสน ส่งผลให้ผู้ฟังแทบตับวาย “ฮือฮือ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตายได้อย่างสมเกียรติ ตายได้อย่างยิ่งใหญ่นัก มันตกตายบนเส้นทางแห่งการยืนหยัดต่อสู้กับความชั่วร้าย ตกตายเบื้องหน้าการผดุงคุณธรรม ชื่อเสียงของมันย่อมเจิดจรัสนับหมื่นจั้ง วีรกรรมของมันจะคงอยู่ชั่วกาลปวสาน!”

ในห้องไม้ไผ่น้อย เจ้าอ้วนน่าตายกำลังกล่าวสุนทรพจน์ไว้อาลัย ด้านล่างนั่งไว้ด้วยศิษย์สายนอกหลายสิบคน ล้วนสวมใส่เสื้อผ้าไว้ทุกข์ ในมือถือดอกเบญจมาศขาว คล้ายกำลังร่วมงานศพ

สวีเซิ่งสับสนงุนงง “ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้คือใครกัน ดูท่าคนผู้นี้อุปนิสัยไม่เลว เมื่อตกตายยังมีคนร่วมอาลัยไม่น้อย”

ฉินจิ่วเกอเส้นดำขีดเต็มหน้าผาก “สมควรไม่ใช่ข้า ข้ายังอยู่ดีมีสุข คงเป็นคนชื่อแซ่เหมือนกันเท่านั้น”

.

.

.