อีกด้าน เจ้าอ้วนน่าตายร้องไห้เป็นสายฝน ไขมันบนตัวกระเพื่อมไปมา “การตายของศิษย์พี่ไม่สูญเปล่า แต่เป็นตัวปลุกกระตุ้นให้พวกเรายืนหยัดขึ้นสู้เพื่อตัวเอง เพื่ออุดมคติอันตั้งมั่นในใจ คนเราเกิดมาก็ต้องตาย จะบางเบาดุจขนนก จะหนักแน่นดั่งขุนเขา ก็ล้วนต้องดูที่คุณค่าในตัวคนผู้นั้น การตายของศิษย์พี่ใหญ่จะถูกจารึกเอาไว้บนอนุสรณ์ประจำพรรคหลิงเซียวของพวกเรา! ”
“พูดได้ยอดเยี่ยมจริงๆ! ”
เหล่าสานุศิษย์ต่างปรบมือโห่ร้องกระตู้วู้ หลังเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการ ก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปทานข้าว นี่ต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังตั้งตารอคอย
“ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าคนที่พวกมันกำลังไว้ทุกข์ให้ก็คือเจ้าเลยเล่า? ” สวีเซิ่งมองมาทางฉินจิ่วเกอด้วยแววตาสับสน
“คงไม่กระมัง ยามอยู่ย่อมต้องเห็นคน ยามตายย่อมต้องเห็นศพ ศิษย์พี่คนนี้ชัดเจนว่ายังไม่ตาย แล้วมันมาเริ่มพิธีไว้อาลัยอะไรอยู่? ”
เจ้าอ้วนน่าตายยังคงร่ำไห้น้ำมูกไหลอยู่บนเวที “เป็นเพราะศัตรูโหดเหี้ยมจนเกินไป ศิษย์พี่ใหญ่จึงตกตายไม่เหลือซาก แม้แต่กระดูกก็ยังไม่เหลือ ที่ข้าถืออยู่นี้ ก็คือเศษอาภรณ์สุดท้ายในชีวิตของศิษย์พี่ พวกเจ้าดู บนนี้ยังมีคราบเลือดของมันติดอยู่เลย เพราะงั้นเราควรจัดตั้งอนุสรณ์ไว้อาลัยแก่ศิษย์พี่ใหญ่ ดีหรือไม่! ”
“ดี! ”
“ดีกับผีเจ้าสิ! ”
ฉินจิ่วเกอที่ยามนี้ใบหน้าเหี้ยมเกรียมกระโจนออกมาอย่างเหลืออด “ถ่างตาสุกรเจ้าดูซิ ข้าตายไม่ตาย ตายไม่ตาย! ”
ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงัดเป็นเวลาห้าหกวิ ก่อนที่ฝูงชนจะแตกฮือเป็นเสียงเดียว “ผีหลอก! ”
ทันใดนั้น เบญจมาศขาวกระจายเต็มท้องฟ้า สุราคารวะบนโต๊ะหมู่กระเซ็นซ่าน ฉินจิ่วเกอและสวีเซิ่งตะลึงจังงังอยู่กับที่
จากนั้นกำปั้นลุ่นๆ ก็พุ่งเข้าใส่เจ้าอ้วนน่าตายอย่างเหี้ยมเกรียม ให้มันได้รู้ว่าอะไรจึงจะเรียกความสิ้นหวังท้อแท้สุดชีวิต ฉินจิ่วเกอรู้สึกใจสลาย ขึ้นเขาไปหาศิษย์น้องเล็กโดยปล่อยให้สวีเซิ่งยืนเคว้งคว้างอยู่ที่เดิม
ความรู้สึกที่มีต่อศิษย์น้องเล็กนั้น ต้องพูดว่าในใจของฉินจิ่วเกอ ตงฟางฉิงอวี่เป็นดั่งหวานใจในวัยเด็กของมัน นี่คล้ายกับว่า ตนเป็นเหมือนสัตว์ป่ากระหายใคร่เคี้ยวกระดูกอ่อนอยู่บ้าง
ศิษย์น้องเล็กยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยด้วยซ้ำ!
ฉินจิ่วเกอดวงตาคลอหยาดน้ำ ตนเองติดโรควิปริตมาจากเจ้าอ้วนน่าตายแล้ว เจ้าอ้วนเพิ่งพูดหยกๆ ยามที่ตนเองหายไปไร้ร่องรอย ข่าวลือว่ามันสิ้นชีพแล้ว ศิษย์น้องเล็กก็ปิดประตูขังตนเองในห้อง ไม่ยอมออกมา
เด็กโง่! ฉินจิ่วเกอมุมปากวาดโค้งเป็นรอยยิ้มหวานชื่น ฝีเท้าเร่งไปยังห้องน้อยของตงฟางฉิงอวี่
ไฉนไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ?
ฉินจิ่วเกอมาถึงประตู พลันสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ บรรยากาศอัดแน่นด้วยรัศมีพลังอันโหดร้าย ยังเจือปนด้วยความเงียบสงัดอันตรายอีกหลายส่วน
ก็อกก็อก
ฉินจิ่วเกอค่อยๆ เคาะประตู “ศิษย์น้อง ศิษย์น้องเล็ก? ฉิงอวี่ ทำอะไรอยู่ นี่ศิษย์พี่ใหญ่เอง ข้ากลับมาแล้ว ยังซื้อของอร่อยๆ มาให้เจ้าด้วย”
เพล้ง
ภายใน คล้ายเป็นเสียงแจกันตกแตก “อย่าเข้ามา ไป ไปซะ”
“อย่าโกรธไปเลย ศิษย์พี่ยอมรับว่าทำไม่ถูกต้อง ต่อไปจะไม่ไปตอแยพรรคโลหิตจางอันใดอีก เปิดประตูเร็วเข้า ศิษย์พี่มีผลไม้เชื่อมหวานๆ มาให้”
ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในใจฉินจิ่วเกอบังเกิดความประหวั่นขึ้น ภายในห้องศิษย์น้องเล็ก คล้ายซ่อนไว้ด้วยสัตว์อสูรร้าย ความสั่นสะท้านอันตรายนี้ ส่งผลให้หัวใจของมันเต้นระรัว
มีปัญหา!
“ไม่ ข้าไม่ต้องการ ไปซะ ข้าไม่อยากพบท่าน”
ฉินจิ่วเกอสายตาเคร่งเครียดลง “ฉิงอวี่ ใช่มีเรื่องอันใดหรือไม่ ใครรังแกเจ้า?”
“มะ..ไม่มี วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ท่านไปเถอะ”
“อ้อ”
เสแสร้งก้าวถอยไปหลายก้าว จากนั้นฉินจิ่วเกอพลันพุ่งร่างกระแทกใส่ประตูจนเปิดออก “ฉิงอวี่ ใครรังแกเจ้า ข้าสัญญาว่าจะปลิดศีรษะมันลงมา..”
“ศิษย์พี่ ท่าน…”
ตงฟางฉิงอวี่หันกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัว มองดูฉินจิ่วเกออย่างตกตะลึง
พริบตาที่มองเห็นศิษย์น้องเล็ก ฉินจิ่วเกอตะลึงลาน สันหลังเย็นวาบทั้งแผ่น
ศิษย์น้องเล็กไม่ใช่คน แต่เป็นอสูร! มิผิด อสูร นัยน์ตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดั่งโลหิต นัยน์ตาดำขยายกว้างเกือบเต็มพื้นที่ สะท้อนประกายมนต์อสูร
มนุษย์และอสูรไม่อาจคงอยู่ร่วมกัน พวกมันมีความแค้นไม่อยู่ร่วมฟ้า ศิษย์น้องเล็กกลับเป็นอสูร!
ความทรงจำในห้วงสมองของฉินจิ่วเกอถูกกระตุ้นแล้ว ศิษย์น้องเล็กที่จริงมีสายเลือดครึ่งอสูร เรื่องนี้มีอาวุโสหลายท่านล่วงรู้ ทุกคืนวันเพ็ญ ล้วนต้องใช้ดวงธาตุทองคำสะกดไว้ มิให้พลังสายเลือดอสูรสำแดงออก
ดังนั้นหลังคืนวันเพ็ญ ศิษย์น้องเล็กย่อมขังตนเองในห้องไม่ยอมออกมา
“ฉิงอวี่ เจ้า..”
เมื่อมองเห็นนัยน์ตาแดงเลือดทั้งสองข้าง ภายในนั้นยังมีลูกนัยน์ตานับร้อยพัน ฉินจิ่วเกอคล้ายบังเกิดความหวั่น ร่างสั่นสะท้าน บังเกิดความรู้สึกคิดหมุนกายวิ่งหนีไปพุ่งขึ้น
ดวงตาของตงฟางฉิงอวี่ปรากฏแววเจ็บปวด “ข้า…ท่านออกไปซะ”
เห็นท่าทางเจ็บปวดเสียใจของตงฟางฉิงอวี่ ฉินจิ่วเกอพลันบังเกิดความรู้สึกคิดตบหน้าตนเองสักหลายฉาดขึ้นมา
ฉินจิ่วเกอหนอฉินจิ่วเกอ เจ้ามันตัวอะไร กลับมองข้ามศิษย์น้องเล็ก คนเช่นเจ้า คนที่มนุษย์รังเกียจสุนัขเดียดฉันท์ ยังมีคุณสมบัติใดทอดทิ้งผู้อื่นได้!
เป็นคนแล้วอย่างไร อสูรแล้วอย่างไร มิใช่ล้วนดำรงชีพอยู่บนผืนแผ่นดินนี้หรอกหรือ ผู้ใดดูถูกผู้ใดได้
พริบตานั้น สายตาของฉินจิ่วเกอแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยนอย่างลึกล้ำ ประกายดวงตาสุกใสระยิบระยับจับจ้องยังศิษย์น้องเล็กไม่คลาดคลา มองดูทุกเส้นสายความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดบนดวงหน้านั้น ฉินจิ่วเกอค่อยๆ สืบเท้าเข้าหา
ฉินจิ่วเกอปาดเส้นผมข้างจอนหูของศิษย์น้องเล็ก เอ่ยกลั้วหัวเราะ “อะไร ดวงตางดงามปานนี้ กลับหักใจไม่ให้ศิษย์พี่ใหญ่ชมดู? สมเป็นศิษย์น้องเล็กของพวกเรา ช่างงดงามอะไรปานนี้”
“ท่านไม่กลัว?” ตงฟางฉิงอวี่นัยน์ตาสั่นสะท้าน ดวงตาปรากฏประกายแววตาที่มิเคยปรากฏมาก่อนขึ้น เรียกว่าความหวัง
“ไม่กลัว ไม่ว่าเจ้าแปรเปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ใด ศิษย์พี่ล้วนชมชอบ เป็นอสูรก็เช่นกัน งดงาม น่าดูยิ่ง”
ตงฟางฉิงอวี่วิ่งโถมเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ กริ่งเกรงชายหนุ่มวิ่งหนีหายไป “ข้ากลัวว่าท่านจะกลัว”
“ที่จริง ข้ากลัวองค์หญิงน้อยของพวกเราไม่สนใจข้าแล้วต่างหาก”
ในอ้อมอกโอบกอดหยกงาม ฉินจิ่วเกออารมณ์ความรู้สึกพลุ่งพล่าน ช่างหัวพลังอำนาจเงินทอง วิถีฟ้าอันใดพวกนั้น เรานายท่านตั้งแต่วันนี้ไปจะไม่ออกนอกพรรคแม้ครึ่งก้าว รอจนศิษย์น้องเล็กบรรลุนิติภาวะค่อยตบแต่งนางเป็นภรรยา
เจ้าพวกกฎสรรพสิ่งไร้สาระ คอยดูด้วยความริษยาเถอะ!
เมื่อถูกตงฟางฉิงอวี่โอบกอด ปกเสื้อแห้งของฉินจิ่วเกอยามนี้รู้สึกถูกหยาดน้ำตาราดรดชุ่มโชก ชายหนุ่มทอดถอนหายใจ ยื่นฝ่ามือใหญ่ออกลูบไล้ศีรษะน้อยๆ ของเด็กสาว
ความแค้นระหว่างมนุษย์อสูร สร้างความลำบากแก่นาง
ไม่กี่วันก่อน ยิ่งเป็นคืนเดือนเพ็ญ ดวงดาวราตรีงดงามจับตา แสงจันทราไร้คู่เปรียบ
ฉินจิ่วเกอโอบตงฟางฉิงอวี่ ค่อยๆ ประคองนางไปบนเตียง จากนั้นก้มเก็บกระดาษและไม้ไผ่บนพื้นขึ้นมา “ไม่ว่าผู้อื่นมองอย่างไร พูดอย่างไร ศิษย์พี่ชื่นชอบเจ้าที่สุด พวกเราไม่ต้องไปสนใจพวกคนธรรมดาพวกนั้น”
“อืม”
“นี่ ศิษย์พี่จะบอกความลับบางอย่างกับเจ้า ที่บ้านเกิดของข้า มีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ผู้คนหากมีเรื่องราวไม่สบายใจ จะปล่อยโคมลอยใต้แสงจันทร์ อธิษฐานต่อเทพยดาบนฟ้า เจ้าไม่รู้จักโคมลอยใช่หรือไม่? ศิษย์พี่จะทำให้เจ้าดู”
ก่อนหน้าที่ฉินจิ่วเกออยู่บ้านเกิด ชื่นชอบลอยโคมอย่างมาก บนโคมลอยนั้นเขียนชื่อของคู่แค้นของมันไว้ด้วย
นั่นไม่ใช่การอธิษฐานจิตต่อฟ้าอันใด สมควรเรียกว่าการส่งปรปักษ์ของมันสู่สวรรค์ซะมากกว่า! เรียกว่าพูดให้ดูดีเข้าไว้
โคมลอยไม่ต้องใช้ฝีมือประณีตเท่าใด ฉินจิ่วเกอไม่นานก็สามารถประกอบออกมาได้อันหนึ่ง
ทวีปฉงหลิงไม่มีสิ่งของชนิดนี้ ที่จริงล้วนเป็นการละเล่นของเด็กทารก ภายในใจที่มีปมด้อยของศิษย์น้องเล็ก พริบตาก็ถูกการละเล่นแปลกตานี้เบี่ยงเบนไปจนหมดสิ้น
ฉินจิ่วเกอฝนหมึกวาดพู่กัน พากันขีดเขียนตัวอักษรขยึกขยือลงบนโคมไฟ จากนั้นจุดเทียนด้านใน
“พวกเราลอยมันออกไป พรุ่งนี้ ศิษย์พี่จะมีเรื่องประหลาดใจมาให้เจ้าอีก”
ฉินจิ่วเกออิ่มเอมใจยิ่ง มันกุมมือน้อยๆ ของศิษย์น้องเล็ก ใช้ส่วนสูงส่งโคมไฟลอยขึ้นสู่ฟ้า ตงฟางฉิงอวี่กระโดดโลดเต้นอย่างสดใสอยู่ข้างกาย ไม่ต่างจากขวดน้ำมันที่แขวนอยู่บนร่างฉินจิ่วเกอ
บนยอดเขา ทิวทัศน์กว้างไกลไพศาล สายลมโชยพลิ้ว
ทะเลดาราพร่างพรายหมื่นลี้ราวความฝัน จันทราสุกสว่างเรืองรอง ท่ามกลางสายลมเย็น เสียงกระซิบกระซาบลอยลม ท้องฟ้าส่องสว่างราวสายน้ำสาดสะท้อนไปทั่วบริเวณ ทอดตามองใต้แสงดวงดาว เพียงมองเห็นเงาไม้แน่นขนัดท่ามกลางขุนเขาในที่ไกล สีสันมืดทะมึนครอบคลุมลงทั่วแดนดิน
หญ้าเขียวขจี ลมโชยพัดอ่อน
ฉินจิ่วเกอคุกเข่าลง ช่วยกันถือโคมลอยที่ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบร่วมกับศิษย์น้องเล็ก
ประกายแสงวิบวับวอมแวม ราวแสงดาราบนฟากฟ้าจับจ้องมองมา ซุกซนซอกแซก ฉินจิ่วเกอเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองคู่มองขึ้นบนฟ้า แสงไฟสีส้มอบอุ่นสะท้อนบนนัยน์ตาทั้งคู่ ทั้งอ่อนโยน ตราตรึง กอปรเป็นทัศนียภาพนับพันนับหมื่น
“คนโง่ ท่านมองดูอันใด” ศิษย์น้องเล็กก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
“อะแฮ่ม” ฉินจิ่วเกอกระอักกระอ่วน ใบหน้าแดงเห่อ รีบดึงสายตากลับมา
ผิดธรรมเนียมไม่ควรดู ผิดธรรมเนียมไม่ควรดู ตนเองไม่ใช่สัตว์ป่า สมควรรักษาเส้นขีดจำกัดล่างไว้
“พวกเราปล่อยโคมเลยเถอะ”
“อืม”
ใต้แสงดาวและแสงจันทร์ เมฆหมอกคลอเคล้า สองคนประสานยกดวงไฟ ประกายแสงเปลวเทียนสะท้อนอาบแก้มคนทั้งคู่ ทั้งพร่ามัวสลัวราง ทั้งชัดเจนแจ่มกระจ่าง
ท่ามกลางฟ้าดิน เปลวไฟเลือนสลัว ที่ปรากฏพลางเลือนหาย คือนางเพียงหนึ่งเดียว
สายลมพัดสูงจนถึงตำหนักเก้าสวรรค์ ส่งโคมลอยสว่างไสวล่องลอยไปที่ไกล ฉินจิ่วเกอโอบประคองศิษย์น้องเล็ก จิตใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย กลับคืนสู่ห้องพัก ในใจครุ่นคิดคำนึงถึงเรื่องประหลาดใจที่สัญญาไว้กับเด็กสาว