ตอนที่ 53 หยกแขวนถูกดึงจนหล่น
อวี้ชิงลั่วชะงัก นางเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสองคนในตอนนี้ ใบหน้าพลันแดงระเรื่อขึ้น รีบผลักเขาออกไป “พวกเรารีบลงไปเถิด”
วิชาตัวเบาอะไรพวกนี้น่ารังเกียจที่สุดแล้วจริง ๆ นางทำไม่ได้ ลงจากบนหลังคาจึงเป็นเรื่องยุ่งยาก
เย่ซิวตู๋เม้มปาก มือที่โอบเอวของนางแน่นขึ้นทันใด แค่ใช้ปลายเท้าแตะเล็กน้อย ร่างของนางก็ถูกเขาอุ้มลอยลงมาด้านล่างอย่างแผ่วเบาแล้ว
อวี้ชิงลั่วเพิ่งจะลืมตาขึ้น ก็พบว่าลานด้านหลังไม่ได้มีแค่จินหลิวหลีเพียงคนเดียว แต่ยังมีเสิ่นอิง โม่เสียน เหวินเทียนและ…หนานหนาน
เจ้าเด็กน้อยเบิกตาโตมองท่าทางของพวกเขาที่เสื้อผ้าพริ้วไหวราวกับเทพเซียน ดวงตาพลันเป็นประกายขึ้นทันใด ทั้งยังดูตื่นเต้นมากด้วย
จนกระทั่งเท้าทั้งสองข้างของพวกเขายืนได้อย่างมั่นคง เจ้าเด็กน้อยก็รีบพุ่งตัวเข้ามาเพราะทนรอไม่ไหว กอดขาของเย่ซิวตู๋และเริ่มออกแรงเขย่า “หล่อมาก ๆ ท่านลุงเย่หล่อเกินไปแล้ว ข้าเองก็อยากเหาะเหมือนกัน ท่านพาข้าเหาะสักครั้งสิ”
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุกอย่างหนัก มือหนึ่งกำแน่นขณะสูดลมหายใจ ก่อนจะใช้กำปั้นเขกบนศีรษะเล็ก ๆ ของหนานหนานที่กำลังกอดขาด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง “เหาะอะไร ก่อนหน้านี้ป้าจินของเจ้าก็เคยพาเจ้าเหาะมาก่อน จะทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมเป็นทำไมกัน?”
หนานหนานลูบศีรษะและหดตัวไปด้านหลังเย่ซิวตู๋ ทั้งยังพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “ไม่เหมือนกันสักหน่อย ป้าจินเหาะยังดูเท่สู้ท่านลุงเย่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ท่านแม่ แค่ท่านเหาะไม่ได้ก็ทำให้ข้าพลาดโอกาสมากมายแล้ว ตอนนี้ไม่สำนึกผิด คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะด่าทอข้าอีก”
สำนึกผิด?
เขายังอยากให้นางสำนึกผิด? เจ้าเด็กบ้านี่
อวี้ชิงลั่วสูดหายใจกำหมัดตนเองอีกครั้ง แกล้งทำท่าทางจะทุบเขา เพียงแต่ยื่นมือออกไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็ถูกเย่ซิวตู๋สกัดไว้ เขาเหลือบมองอวี้ชิงลั่วด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะโน้มตัวอุ้มหนานหนานขึ้นมา “เจ้าอยากเหาะหรือ? ไป ข้าจะพาเจ้าไป และข้าจะสอนวิธีเหาะให้เจ้าด้วย”
ระหว่างที่พูด เขาก็อุ้มหนานหนานที่กำลังตื่นเต้นจนดวงตาเป็นประกายแวววาวเดินออกจากด้านหลังสวน ไม่แม้แต่จะมองคนอื่น ๆ ที่อยู่ที่นี่
เสิ่นอิงและคนอื่น ๆ ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก นายท่าน…อ่อนโยนมาก มีความอดทนมาก คล้าย…กับเป็นพ่อของหนานหนานเลย
อวี้ชิงลั่วลูบหน้าผาก คล้ายกับพ่อจริง ๆ เงาแผ่นหลังนี้ทำให้นางกลัวจนใจเต้นรัว กลัวว่าหนานหนานจะจะก้าวเท้าออกจากตรงนี้และไม่กลับมาแล้ว
ไม่ได้การล่ะ นางต้องแยกเจ้าเด็กบ้านั่นออกจากเย่ซิวตู๋ ให้พวกเขารักษาระยะห่างไว้ถึงจะดี
ระหว่างที่คิด นางก็ยกเท้าขึ้นทำท่าจะก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า
ใครจะไปคิดว่าแค่ก้าวเท้าเพียงก้าวเดียว ด้านหน้าจะปรากฏเงาของคนสามสายขวางไว้ อวี้ชิงลั่วชะงัก ครั้นเงยหน้ามองก็เห็นสายตากระตือรือร้นของเสิ่นอิงและอีกสองคนที่เหลือ
“พวกเจ้า…พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” ร่างกายของอวี้ชิงลั่วสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ นางรู้สึกได้ว่าสายตาของทั้งสามคนนี้ร้อนรุ่มและแปลกประหลาดเกินไป และดู…ละโมบเกินไปด้วย
“แม่นางอวี้ เจ้าคือ เจ้าคือหมอปีศาจจริง ๆ หรือ?” คนที่เปล่งเสียงพูดในครั้งนี้คือเหวินเทียนที่แทบรอไม่ไหวแล้ว ครั้นได้เอ่ยปากพูด แม้แต่เส้นเสียงก็แอบสั่นเครือ
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว นางมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจอย่างมาก “เถ้าแก่เนี้ยจินยังไม่ได้บอกให้พวกเจ้าฟังอย่างชัดเจนหรือ?”
“เปล่า ไม่ใช่ คือว่า…” เหวินเทียนยิ้มแห้ง ๆ เขาพูดไม่ออก คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ
เสิ่นอิงหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ ชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมกับเปิดเผยกับอวี้ชิงลั่วด้วยการกระซิบ “เหวินเทียนเลื่อมใสหมอปีศาจมาก เมื่อสองปีก่อนเขาได้รับบาดเจ็บจนเป็นลมอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีคนช่วยชีวิตเขาไว้ ทั้งยังทิ้งยาไว้ให้เขาสองเม็ด มีกระดาษหนึ่งใบ ด้านบนนั้นเขียนคำว่า ‘หมอปีศาจ’ ไว้ แม่นางอวี้ เรื่องนี้…เจ้าไม่รู้หรือ?”
เป็นเพราะเหตุนี้ ดังนั้นเขาจึงแนะนำนายท่านให้ดึงหมอปีศาจมาไว้ข้างกายเพื่อไว้ใช้ประโยชน์อยู่ตลอด น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นมาโดยตลอด ภายหลังนายท่านก็ได้รู้จักกับหมออาวุโสฉงซาน เขาจึงให้นายท่านรับอูตงไว้ นับว่าเป็นการช่วยเหลือครั้งใหญ่
อวี้ชิงลั่วชะงัก เมื่อสองปีก่อน? เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนนางจะจำได้อย่างชัดเจนขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? อีกอย่าง คนที่นางช่วยเหลือก็มีไม่น้อย ก่อนหน้านี้ที่เคยเห็นก็ลืมไปแล้ว นางจะรู้จักเหวินเทียนได้อย่างไรกันเล่า?
หลังชะงักอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สำรวจเหวินเทียนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเบิกกว้าง เอ่ยถามว่า “ป่าแห่งนั้น อยู่ที่หย่งเฉิงใช่หรือไม่?”
“ใช่ ๆ ๆ ที่นั่นแหละ” ตอนนี้เหวินเทียนกล้ามั่นใจได้ว่า คนที่ช่วยเขาในตอนนั้น คือแม่นางอวี้ที่อยู่ตรงหน้า
ครั้นนึกถึงเรื่องที่ตนเองทำผิดต่อนางก่อนหน้านี้ ทั้งยังคิดจะให้นางอับอาย ภายในใจก็รู้สึกเสียใจ รีบขอโทษขอโพย “แม่นางอวี้ ต้องขอโทษจริง ๆ หลังจากนี้ข้าจะไม่ทำผิดต่อเจ้าอีกแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนดี”
“พรืด…” จินหลิวหลีหัวเราะโดยไม่ได้มีความเป็นคนจิตใจดีงามเลยสักนิด จากที่นางเข้าใจอวี้ชิงลั่ว เหตุผลที่นางช่วยชีวิตคนในป่า ไม่ใช่เพราะความเมตตาอย่างแน่นอน และไม่ใช่เพราะเป็นคนดีด้วย มิเช่นนั้น นางจะใส่ชื่อตัวเองไว้บนกระดาษให้เขา เพื่อให้อีกฝ่ายกลับมาตอบแทนบุญคุณได้อย่างไรกัน?
อวี้ชิงลั่วกระตุกมุมปาก โบกมืออย่าง ‘ใจกว้างมาก’ กล่าวว่า “เรื่องนี้ เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่จำเป็นต้องซึ้งใจอะไร”
หลังจากที่นางดูเหมือนว่าจะช่วยเหลือคน นางก็ใช้มือควานหาเงินบนตัวเขาและเดินจากไป หรือว่าเขาไม่รู้? แต่เมื่อได้เจอหน้าเหวินเทียนหลายครั้งขนาดนั้น นางเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเคยได้รับการช่วยเหลือจากมือของนางมาก่อน
เหวินเทียนเห็นนางเข้าใจสถานการณ์โดยทั่วไปเช่นนี้ ภายในใจก็ยิ่งตื่นเต้นและเลื่อมใสยิ่งขึ้น สายตาที่มองอวี้ชิงลั่วราวกับสามารถเผาไหม้ขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น
อย่างน้อย ๆ ในสายตาของคนที่ผ่านไปผ่านมา ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย
เย่ซิวตู๋แค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง เขามองลูกสมุนทั้งสามคนพลางกล่าวเสียงเย็นชาว่า “อะไรกัน เรื่องที่ข้าบอกให้พวกเจ้าไปจัดการ ทำเสร็จแล้วหรือ?”
เสิ่นอิงได้สติกลับมาโดยเร็ว เขารีบดึงเหวินเทียนที่สายตาเอาแต่มองอยู่บนตัวของอวี้ชิงลั่วกลับมา ก้มหน้ากล่าว “นายท่านอย่าได้เป็นกังวล คนเหล่านั้นถูกจัดการหมดแล้วขอรับ”
“จัดการ? จัดการอะไร?” หนานหนานเต็มไปด้วยสีแดง ใบหน้ารูปไข่บอบบางละเอียดอ่อนคล้ายกับผิงกั๋วสดใหม่ นัยน์ตายังคงมีความตื่นเต้นจนถึงตอนนี้
ตอนนี้เขายังคงโบกแขนโบกขาอยู่ในอ้อมกอดของเย่ซิวตู๋ “ท่านแม่ ข้าเหาะมาสองรอบแล้ว สองรอบเชียวนะ ได้เหาะมากกว่าท่านแม่ตั้งหนึ่งรอบ สนุกมากเลย ท่านลุงเย่บอกว่าหลังจากนี้จะสอนวิชาให้ข้าด้วย ท่านลุงบอกว่าข้ามีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม ทั้งยังบอกว่ากระดูกของข้าดีมาก แล้วยังบอกว่าข้า…”
“เรียนอะไร?” อวี้ชิงลั่วถลึงตามองหนานหนานที่กำลังตื่นเต้น สีหน้าของนางดูไม่สู้ดีเอาเสียเลย “เจ้าเรียนรู้วิทยายุทธหลังจากนี้ก็มีแต่จะสร้างปัญหา เจ้ามาเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์กับแม่ก็พอแล้ว ถึงอย่างไรเรียนทักษะทางการแพทย์แล้วหลังจากนี้ก็ยังปกป้องตัวเองได้ ไม่ได้ต่างกัน”
พูดเป็นเล่น ให้พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน? ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วนางก็คงจบเห่
หนานหนานอยากเรียนวิทยายุทธ นางย่อมต้องให้คนที่บ่มเพาะวิชาศิลปะการต่อสู้เก่ง ๆ มาสอนเขาอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ใช่เย่ซิวตู๋อย่างเด็ดขาด
อวี้ชิงลั่วกำลังครุ่นคิด และยื่นมือออกไปเพื่ออุ้มเขา
หนานหนานไม่พอใจ ท่านแม่ของเขาได้บินแค่รอบเดียวจึงรู้สึกไม่มีความสุข ก็เลยไม่อนุญาตให้เขาเรียนวิทยายุทธ ไม่บรรลุนิติภาวะเกินไปแล้วจริง ๆ แบบนี้ไม่ได้ ทำตัวไม่รู้เรื่องราวแบบนี้หลังจากนี้จะแต่งงานออกไปได้อย่างไรกัน
หนานหนานคิดว่า เขาต้องสร้างโอกาสที่เหมาะสมให้ท่านแม่เพื่อให้นางได้เติบโต
ดังนั้นครั้งนี้ เขาจะไม่ยอมประนีประนอมโดยเด็ดขาด
“ข้าจะเรียนวรยุทธกับท่านลุงเย่” หนานหนานออกแรงพยักหน้า มือทั้งสองข้างกอดรัดรอบคอเย่ซิวตู๋ไว้แน่น ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ยอมปล่อย
อวี้ชิงลั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย ยื่นมือออกไปเพื่อดึงร่างเล็ก ๆ ของเขา
หนานหนานจะยอมได้อย่างไรกัน? จับคอไว้ไม่อยู่เช่นนั้นก็จับเสื้อไว้ ถึงอย่างไรก็จะไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยมือ” อวี้ชิงลั่วหงุดหงิดถึงขีดสุด นางจึงออกแรงมากขึ้น
หนานหนานผายลมใส่นาง และออกแรงดึงเสื้อของเย่ซิวตู๋มากขึ้น
ดึงกันไปดึงกันมาเช่นนี้ ทำให้เสื้อของเย่ซิวตู๋ถึงกับฉีกขาด
“พรึบ” หยกแขวนชิ้นหนึ่ง ติดมากับมือเล็ก ๆ ของหนานหนาน และหล่นลงสู่พื้น
หนานหนานก้มหน้าลง ดวงตาพลันเบิกกว้างในทันที และส่งเสียง ‘เอ๋’ ออกมาหนึ่งเสียง “เอ๋ หยกแขวนชิ้นนี้ หยกแขวนชิ้นนี้…”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สายตาแฟนคลับเวลาเจอเมนน่ะนะ นายท่านเย่อย่าเพิ่งทุบไหน้ำส้ม
หนานหนานเจอหยกแขวนแล้ว จะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)