ตอนที่ 84 กลืนกินลิปสติก (2)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 84 กลืนกินลิปสติก (2)

ตอนที่ 84 กลืนกินลิปสติก (2)

หลินเซี่ยวางลิปสติกลง ลุกขึ้นแล้วเดินอยู่ตรงหน้าเขา เงยหน้ามองสบตา แล้วสารภาพอย่างไม่ปิดบัง “หลิวจื้อหมิงมาตามหาฉัน”

“แล้วยังไง?” เฉินเจียเหอถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มือที่สั่นเทาห้อยตกอยู่ข้างตัว

“เขาน่าจะถูกตระกูลเสิ่นส่งมา ทำเป็นบอกว่าอยากให้ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่น ฉันเลยบอกเขาว่าฉันไม่กลับไปอยู่ที่นั่นหรอก จากนั้นก็ท้าว่าถ้าเขาอยากให้ฉันกลับไปนักก็มาพาฉันไปจดทะเบียนสมรสวันพรุ่งนี้เลย แล้วฉันจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเขาแทน พอเขาได้ยินแบบนั้นก็หนีเตลิดไปด้วยความกลัว หายหัวไปเลย” ท้ายคำบอกเล่าของหลินเซี่ย เธอกางมือออก สีหน้าเต็มไปด้วยการเสียดสี

จากนั้นก็มองหน้าเฉิยเจียเหออีกครั้ง อธิบายว่า “เฉินเจียเหอ แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ ซะหน่อย เขาพยายามพูดพล่ามไร้สาระมากมาย หลอกให้ฉันกลับไปเป็นพี่น้องกับเสิ่นอวี้อิ๋ง ฉันก็เลยจงใจท้าทายเขาแบบนั้น เพราะรู้ว่าคนขี้ขลาดอย่างเขาต้องปฏิเสธแน่ แล้วก็จริงตามคาด เขาวิ่งกลับลำแทบไม่ทัน”

ในที่สุดหัวใจของเฉินเจียเหอที่หนักอึ้งเหมือนถูกหินกดทับเป็นเวลานานก็ผ่อนคลายลง

“พี่สาวหวังคงแอบฟังฉันคุยกับหลิวจื้อหมิงใช่ไหม? ฉันเป็นภรรยาของคุณนะคะ คุณจะหลงเชื่อคำบอกเล่าของผู้หญิงนอกบ้านที่พยายามหว่านความขัดแย้งให้เราทั้งคู่ได้ยังไง ในใจฉันมีแค่คุณคนเดียว…”

เฉินเจียเหอมองดูริมฝีปากแดงฉ่ำของเธอเผยอเปิดปิดสลับกัน ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดอีกต่อไป

เขารวบร่างบางของเธอมากอดไว้ ประทับจูบบนริมฝีปากแดงอันเย้ายวนใจของหญิงสาว

อ้อมกอดแน่นหนามาพร้อมจูบอันเข้มข้นหนักหน่วงจากความไม่ประสาในประสบการณ์

ร่างกายของหลินเซี่ยแข็งทื่อ สัมผัสความก้าวร้าวรุนแรงของเขาอย่างอดทน แต่ไม่นานนักเธอก็พอจะเข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว จึงยกแขนขึ้นโอบรอบเอวของชายตรงหน้า และเริ่มตอบสนองอย่างกระตือรือร้น

เมื่อรู้สึกถึงการตอบสนองของเธอ ชายหนุ่มก็อุ้มเธอขึ้นจนเท้าลอยจากพื้น ประคองสะโพกเล็ก ๆ ของเธอเข้าไปในห้องนอนด้วยกัน

จากนั้นเขาก็วางร่างเธอลงบนเตียง แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อเริ่มสัมผัสอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ สอดทะลุจากชายเสื้อสเวตเตอร์ของเธอ เลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ…

จูบของเขารุนแรงและปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าเดิม

จนกระทั่งเขาถอดสายเสื้อชั้นในของเธอออก หลินเซี่ยถึงตระหนักว่าคราวนี้เขาเอาจริง

แต่ว่า… ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสก ๆ แถมเธอยังต้องออกไปทำธุระข้างนอกอีก

เฉินเจียเหอเองก็ต้องออกไปทำงานเหมือนกัน

เธอผลักเขาออกไปอย่างแรง

ริมฝีปากของเธอชา ตามด้วยเจ็บแปลบเพราะถูกเขาขบกัด เมื่อประสานสายตากับชายที่กำลังหายใจแรงและดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ เธอก็เตือนเขา “นี่ตอนกลางวันนะคะ ฉันยังต้องออกไปข้างนอก”

ดวงตาของเฉิยเจียเหอค่อย ๆ สว่างขึ้น เมื่อเห็นว่าเส้นผมของเธอสยายยุ่งเหยิง ลิปสติกบนริมฝีปากก็ถูกเขากลืนกิน จึงขอโทษอย่างเชื่องช้า “ผมขอโทษ”

“ทำไมเคี้ยวปากฉันเหมือนกินขนมแบบนี้ล่ะ? ปากฉันเจ็บหมดแล้ว” เธอลุกขึ้นนั่ง จัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย

เฉินเจียเหอกระแอมไอเบา ๆ มองริมฝีปากของเธอด้วยความเขินอาย ลูบจมูกพลางพูดว่า “ผมไม่เคยนี่”

“ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปค่ะ”

เฉินเจียเหอจัดท่าทาง กอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนของเขา พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ผมจะเชิญแขก แล้วเราสองคนจัดงานเลี้ยงฉลองแต่งงานกันที่ไห่เฉิงอีกครั้ง ประกาศต่อญาติ ๆ และเพื่อนฝูงอย่างเป็นทางการ คนอื่นจะได้รับรู้โดยทั่วกันดีไหม?”

“ไม่ได้ ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาแล้ว” เธอต้องหาแผงขายของให้แม่และน้องสาว จากนั้นก็สะสมทุนเปิดร้านเสริมสวยเป็นของตัวเอง มีงานที่ต้องจัดการมากมายเกินไป

“เรื่องนี้คุณไม่ต้องกังวลอะไรเลย ผมจะจัดการทุกอย่างเอง ถึงเวลานั้นแล้วคุณก็แค่แต่งตัวสวย ๆ เป็นเจ้าสาวของผม”

หลินเซี่ยมองเขา พูดอย่างจริงจังว่า “เฉิยเจียเหอ จากสถานการณ์ในปัจจุบันของฉัน พูดตามตรงว่าฉันไม่มีความมั่นใจเลยที่จะแต่งเป็นสะใภ้เข้าตระกูลคุณ เพราะครอบครัวคุณยังไม่ยอมรับฉันจากใจจริง ให้เวลาฉันหน่อยได้ไหม? ฉันอยากทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ทุกคนจะได้รู้สึกว่าฉันคู่ควรที่จะยืนเคียงข้างคุณจริง ๆ ถ้าแม่กับน้องฉันมาถึงที่นี่แล้ว พวกเราก็แค่ไปจดทะเบียนสมรสกันก็พอ งานแต่งอย่างเป็นทางการคงต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ฉันยังอยากได้รับคำอวยพรจากครอบครัวของเราทั้งคู่ ชีวิตแต่งงานจะได้สมบูรณ์”

ถ้าเขาดันทุรังจัดงานแต่งกับเธอที่ไห่เฉิงในตอนนี้ สมาชิกในครอบครัวของเฉินเจียเหออาจไม่ยอมมาร่วมงาน เจ้าภาพจะอับอายขายหน้าเสียเปล่า กลายเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่เข้าเรื่อง

“ผมเองก็ไม่ได้ดีพร้อมอย่างที่คุณคิด” เฉินเจียเหอมองเธอขณะพูดอย่างนั้น

“แต่ชีวิตคุณจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่ค่ะ ส่วนฉันก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อไล่ตามคุณให้ทัน”

เธอโอบแขนไว้รอบคอเขา บีบใบหน้าหล่อเหลาของเขาเบา ๆ พร้อมกับถามด้วยรอยยิ้ม “เฉินเจียเหอ คุณกลัวว่าฉันจะทิ้งคุณไปเหรอคะ?”

เฉินเจียเหอยังคงเงียบ ถึงอย่างนั้นความกังวลก็เขียนอยู่ชัดบนใบหน้า

เธอจูบเขาที่แก้ม มองเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไม่เอาสิ ฉันเคยบอกว่าเราควรไว้วางใจซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ ก้อนหน้านี้ฉันก็เตือนแล้วว่าหลังจากกลับมาที่ไห่เฉิง ชีวิตของฉันในอนาคตไม่มีทางสงบสุขแน่ ทั้งสัตว์ประหลาดและอสรพิษมากมายต้องการจะแยกพวกเราออกจากกัน ถ้าคุณเกิดสงสัยในตัวฉันไปอีกคน คุณนั่นแหละที่จะตกหลุมพรางของคนพวกนั้น”

“ผมผิดไปแล้ว” เฉินเจียเหอกอดเธอแน่น ฝังใบหน้าของเขาไว้ที่ซอกคอของเธอ “ผมแค่กลัวว่าจะเสียคุณไป”

“ตลอดชีวิตนี้คุณจะไม่มีวันเสียฉันไปอีก”

หลินเซี่ยมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา สารภาพความในใจอย่างจริงจัง “เฉินเจียเหอ ฉันยังเป็นภรรยาที่ดีของคุณไม่ได้ เพราะฉันต้องหาตัวตนของฉันให้พบก่อน ฉันไม่ต้องการให้ครอบครัวคุณคิดว่าฉันเป็นคนหัวสูง ผูกพันอยู่กับอะไรที่เป็นเรื่องในอดีต ฉันอยากก้าวหน้าไปพร้อมกับคุณจริง ๆ อีกหน่อยฉันจะมัวซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกของคุณไปตลอดไม่ได้ คุณต้องมั่นใจในตัวเอง และต้องมั่นใจในตัวฉันด้วย”

เฉินเจียเหอเอานิ้วจิ้มปลายจมูกเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม “ผมเข้าใจ ต่อไปนี้คุณสามารถทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ ขอให้จำไว้ว่าผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”

“งั้นก็ดีเลยค่ะ” หลินเซี่ยพูดอย่างมีความสุข “เงินค่าสินสอดที่คุณให้ฉันมา วันนี้ฉันแบ่งไปจ่ายค่าเช่าสองร้อยห้าสิบ ตอนนี้เหลืออยู่อีกหกร้อยห้าสิบ จากนี้ไปอาชีพและธุรกิจของฉันจะอยู่ที่นี่ ในอนาคตเราค่อยจัดงานแต่งอย่างยิ่งใหญ่ แล้วเชิญเพื่อนร่วมงานทุกคนในโรงงานมาร่วม ฉันอยากเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดของโรงงานคุณจริง ๆ”

“ได้”

เขามองเธอและหัวเราะเบา ๆ “คุณจะจัดงานใหญ่ด้วยเงินที่มีอยู่แค่เล็กน้อยนี้เมื่อไหร่ล่ะ? ผมเริ่มรอคอยไม่ไหวแล้ว”

“ผมเพิ่งให้คุณถือสมุดบัญชีที่ใช้รับเงินเดือนไม่ใช่เหรอ? ขอแค่มีเงินอยู่ในนั้น จะใช้ยังไงก็ได้ตามใจชอบ ถ้าไม่พอสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจก็มาขอผมเพิ่มได้”

“คุณรวยขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินเซี่ยมองเขาพลางพูดติดตลก “คุณไปเอาเงินมากมายมาจากไหนกันเนี่ย? อย่าบอกนะว่ากินบุญเก่า”

เฉินเจียเหอตอบกลับ “ผมทำงานมาหลายปีแล้ว เงินเดือนที่ได้มาก็แบ่งเก็บออมเป็นส่วนใหญ่”

หลินเซี่ยมองเขาด้วยความสงสัย ถามว่า “เด็กคนหนึ่งกว่าจะโตขึ้นไม่ได้ใช้เงินน้อย ๆ เลยนะคะ? ทำไมถึงยังมีเงินเหลือเก็บออมล่ะ?”

เธอเคยเลี้ยงเด็กมาก่อน จึงรู้ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี

“ค่าใช้จ่ายไม่เปลืองมากซะหน่อย” เฉินเจียเหออธิบาย “หู่จือแค่เรียกผมว่าพ่อ และอาศัยอยู่กับผม แต่ผมไม่ได้เลี้ยงเขาตามลำพัง สหายพี่น้องของผมต่างก็ช่วยกันเลี้ยงเขาทั้งนั้น บางคนยินดีจ่าย บางคนก็เอาของที่มีมาแบ่งปัน”

“อ๋อ คนที่ยินดีจ่ายใช่คุณอาเซี่ยที่คุณเคยพูดถึงหรือเปล่าคะ?”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ หู่จื่อพูดถึงคุณอาเซี่ยคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อฟังจากคำอธิบายของหู่จื่อ ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นเศรษฐี

หลินเซี่ยเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอาเซี่ยที่หู่จือมักจะพูดถึงบ่อย ๆ

สหายคนนี้เป็นใครกันนะ? ทำไมชาติที่แล้วเธอไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย?

ถ้าเขาเป็นหัวหน้าตำแหน่งใหญ่โต เธอยังพอจำชื่อเขามาจากคนอื่น หรืออาจจะมีโอกาสได้ทำงานร่วมกันทางธุรกิจหรืออะไรก็ตาม

เฉินเจียเหอพยักหน้า “ใช่ เขามีอายุพอสมควรแล้ว หลังเกษียณอายุราชการจากกองทัพ เขาก็เดินหน้าหาโอกาสทางอาชีพใหม่ ๆ ผันตัวไปเป็นพ่อค้าอาหารทะเล จนกลายเป็นคนมีฐานะ ตอนนี้เขาเปิดห้องเต้นรำในเสิ่นเจิ้น ขายผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และจ่ายค่าครองชีพพื้นฐานให้กับหู่จือ”

“โอ้ งั้นเขาก็เก่งมาก ๆ เลยสิคะ” คนที่สามารถกอบโกยโอกาสในการทำธุรกิจและสามารถสร้างรายได้ในยุคนี้ ล้วนเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์เฉียบแหลม อย่างน้อยพวกเขาก็กล้าหาญและกล้าที่จะเสี่ยงลงทุน

“อืม เขาเก่งมากจริง ๆ” เฉินเจียเหอพูดต่อ “ถังจวินเฟิง รวมถึงเพื่อนอีกสองคนของผมก็ช่วยกันดูแลหู่จือเป็นอย่างดี”

“แล้วทำไมคุณถึงกลายมาเป็นพ่อบุญธรรมของเขาได้? แม่แท้ ๆ ของหู่จือหายไปไหนคะ?” หลินเซี่ยถามอย่างอยากรู้

“ผมก็ไม่รู้ว่าหล่อนหายไปไหน” เฉินเจียเหอไม่อยากนึกถึงเรื่องเลวร้ายในอดีต ดังนั้นจึงตัดบท “ไว้ผมค่อยเล่าให้คุณฟังทีหลัง”

“ค่ะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฉันต้องออกไปข้างนอก” หลินเซี่ยลุกจากเตียง มองหน้าตัวเองในกระจก จากนั้นก็มองค้อนเขาด้วยความขุ่นเคือง “คุณทำลิปสติกฉันหายเกลี้ยงเลย ฉันต้องทาใหม่อีกรอบ”

“อย่าเพิ่งทาเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ เดินไปประคองใบหน้าน้อย แล้วประทับจูบริมฝีปากแดงเรื่อของเธออีกครั้ง

หลินเซี่ยมองไปที่ชายร่างสูงใหญ่และจริงจังอยู่เสมอตรงหน้า และริมฝีปากของเธอพลันกระตุกเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้คุณเย็นชาจะตายไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ?”

เฉินเจียเหอ “อย่าไปเชื่อข่าวลือข้างนอกเลย”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ความจริงแล้วพี่เหอเป็นไอ้เสือเหรอ ว้าวๆๆๆ อยากดูตอนพี่แปลงร่างเป็นไอ้เสือเลยค่ะว่าจะร้ายกาจขนาดไหน

ไหหม่า(海馬)