ตอนที่ 83 กลืนกินลิปสติก (1)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 83 กลืนกินลิปสติก (1)

ตอนที่ 83 กลืนกินลิปสติก (1)

หู่จือกำลังเล่นอยู่ที่บ้านพี่สาวจาง เฉินเจียเหอจึงไม่ได้เรียกเขา แต่เดินดุ่ม ๆ ขึ้นไปชั้นบนเพื่อกลับบ้านคนเดียว

หลินเซี่ยกำลังสระผมอยู่พอดี ครั้นได้ยินว่าเฉินเจียเหอกลับมาแล้วก็ตะโกนทักเขา “เฉินเจียเหอ ช่วยหยิบไดร์เป่าผมมาให้ฉันหน่อยสิคะ”

“ปัตตาเลี่ยนด้วยนะ พอดีฉันว่าจะเล็มหน้าม้าสักหน่อย ถ้าปัตตาเลี่ยนไม่ได้วางอยู่บนโต๊ะก็น่าจะยังอยู่ในกระเป๋าเดินทางค่ะ”

เฉินเจียเหอได้ยินเสียงอันนุ่มนวลชวนให้หลอมละลายเป็นขี้ผึ้งของหญิงสาว จึงเหลือบมองไปทางห้องน้ำ ก่อนจะมองหาไดร์เป่าผมให้กับเธอโดยที่ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ

เมื่อเข้าไปในห้องนอน เขาก็เห็นว่าบนโต๊ะมีแค่ไดร์เป่าผม แต่ไม่มีปัตตาเลี่ยน จึงหยิบกระเป๋าเดินทางของหลินเซี่ยออกมาจากตู้เสื้อผ้าขนาดเล็ก และค้นหาปัตตาเลี่ยนที่เธอพูดถึง

มีของหลายสิ่งอยู่ในกระเป๋า เขาค้นมันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดก็เจอปัตตาเลี่ยนอยู่ท่ามกลางกองอุปกรณ์เครื่องมือเสริมสวย

หลังจากหยิบออกมาแล้ว เขาก็กำลังจะรูดซิปปิด ทันใดนั้นก็สะดุดตากับซองจดหมายหนา ๆ ในถุง จึงหยุดดูครู่หนึ่งแล้วเอื้อมไปหยิบมันออกมาอ่าน

มีจดหมายมากกว่าหนึ่งโหลถูกเก็บอยู่ในซองนั้นโดยที่ไม่มีการประทับตรา แต่ละซองเขียนแค่คำว่าอวี้อิ๋ง

ใครสักคนคงจะส่งจดหมายพวกนี้ให้เธอ

นอกจากชื่อแล้ว ซองจดหมายแต่ละซองยังมีรูปหัวใจขนาดใหญ่ที่วาดด้วยปากกาสีแดง ทั้งยังวาดลูกศรปักไว้ตรงกลางหัวใจ

ลูกศรแทงทะลุหัวใจแบบนี้

ถึงแม้ตัวเขาจะไม่เคยเขียนจดหมายแบบนี้ถึงใครมาก่อน แต่ก็เข้าใจความหมายได้โดยดูจากลวดลายบนซองจดหมายนั้น

ใบหน้าเคร่งขรึมของเฉินเจียเหอยิ่งมืดมนมากขึ้นไปอีก เขายัดซองจดหมายจำนวนมากกลับลงไปในกระเป๋า หยิบไดร์เป่าผมและปัตตาเลี่ยนแล้วออกไป

หลินเซี่ยสระผมเสร็จแล้วก็มายืนอยู่ในห้องนั่งเล่น และหวีผมอยู่หน้ากระจกทรงกลมที่วางอยู่บนโต๊ะ

พอหวีผมดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าผมหน้าม้าของเธอตอนนี้ยาวจนปิดตาอยู่แล้ว

เฉินเจียเหอถือไดร์เป่าผมในมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือปัตตาเลี่ยน ร่างสูงของเขายืนอยู่ที่นั่น มองดูสาวสวยตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ

หลินเซี่ยมุ่งความสนใจไปที่การจัดแต่งทรงผมของตัวเองจนไม่ได้ใส่ใจมองเขาด้วยซ้ำ พอมองไปด้านข้างและเห็นปัตตาเลี่ยนในมือเขา ก็คว้ามันขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ

จากนั้นเริ่มวัดความยาว และทำการเล็มปลายผม

เธอถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “หู่จือไปไหนคะ?”

“ไปบ้านป้าจาง”

“อ้อ แล้วน้องชายคุณอาการเป็นยังไงบ้างคะ?” หลินเซี่ยถามทั้ง ๆ ที่มือทั้งสองข้างยังยุ่งอยู่ จ้องมองที่กระจกโดยไม่ได้มองเฉินเจียเหอ ถามต่ออีกประโยค

“ดีขึ้นแล้ว”

ความสนใจของหลินเซี่ยทั้งหมดอยู่ที่ผมหน้าม้า จนไม่ทันได้ยินว่าน้ำเสียงของเฉินเจียเหอผิดปกติไปจากเดิม จากนั้นก็ซอยผมหน้าม้าให้บางลงอย่างชำนาญ เล็มด้วยกรรไกรอีกครั้ง จากนั้นสะบัดผมไปทางซ้ายและขวา ก่อนจะมองเฉินเจียเหอพร้อมกับถามว่า “ดูดีหรือยังคะ?”

“ดีมาก”

เขามองเธอโดยที่สีหน้ายังเรียบเฉย ตอบกลับสองคำอย่างยากลำบาก

“ถ้าอย่างนั้นช่วยเป่าผมฉันให้แห้งหน่อยสิ” หลินเซี่ยยื่นไดร์เป่าผมให้เขา จากนั้นก็โน้มศีรษะไปหา

ไม่ว่าจะเป็นแค่แฟนหรือเป็นสามีภรรยา พวกเขาควรมีปฏิสัมพันธ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

เฉิยเจียเหอสูง 182 ในขณะที่เธอสูงแค่ 163 เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าเขา แค่เขายกมือขึ้นก็แตะศีรษะของเธอได้แล้ว

เฉินเจียเหอมองเข้าไปในดวงตาที่แวววาวเป็นประกายของหญิงสาว หยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา เสียบปลั๊ก แล้วเริ่มกดปุ่มเป่าผมให้แห้ง

เขาไม่มีประสบการณ์ในการเป่าผมมาก่อน ดังนั้นจึงเป่าให้แห้งไปตามมีตามเกิดแบบไม่สนใจจัดทรงบราวนี่ออนไลน์

หลินเซี่ยมองดูตัวเองในกระจก เห็นว่าผมฟูฟ่องไม่เรียบร้อย จึงหยิบหวีขึ้นมาหวีผมให้เรียบร้อยอีกครั้ง แล้วมัดผมให้เป็นทรงหางม้าต่ำ

เธอกำลังจะแต่งหน้าต่อ แต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาดูซีดเซียว ไหนจะไรหนวดเคราสีเขียวครึ้มนั่นอีก ยิ่งทำให้เขาดูโทรมและไร้ชีวิตชีวาเข้าไปใหญ่ จึงเสนอตัวด้วยรอยยิ้ม “ให้ฉันตอบแทนคุณบ้าง ฉันขอโกนหนวดเคราให้คุณนะคะ”

“ได้”

เฉิยเจียเหอยังคงสงวนคำพูดราวกับมันเป็นทองคำ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเธอ เพียงจ้องสบตาเธอเงียบ ๆ ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ

พอได้ยินว่าเขายินยอมให้เธอโกนหนวดเคราให้ หลินเซี่ยก็ดึงเขาไปนั่งบนเก้าอี้บุนวมทันที หยิบผ้าเช็ดตัวชุบน้ำร้อนแล้วคลี่ออกพอกหน้าเขาไว้ แล้วเข้าไปในห้องเพื่อหาอุปกรณ์โกนหนวดให้เขา

เฉินเจียเหอนั่งเงียบ ๆ อยู่บนเก้าอี้บุนวม ปล่อยให้เธอทำอะไรก็ได้กับใบหน้าตัวเอง

ต้องบอกว่าคำบอกเล่าของหวังซิ่วฟางส่งผลต่ออารมณ์ของเขาไม่น้อยเลยจริง ๆ

ยิ่งเธอเอาใจใส่เขามากเท่าใด ความไม่สบายใจของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นทวีคูณ

เขาเฝ้าดูเธอโกนหนวดเคราให้ตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง ทันใดนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดในใจ

หรือว่านี่จะเป็นความอ่อนโยนครั้งสุดท้ายที่เธอมอบให้เขากันนะ?

เธอขอให้ผู้ชายที่ชื่อหลิวจื้อหมิงมารับเธอไปจดทะเบียนสมรสจริง ๆ เหรอ?

แต่เธอเคยบอกไว้ชัดเจนแล้วนี่นา ว่าเธอเต็มใจที่จะแต่งงานกับเขาจริง ๆ และอยากใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขาต่อไป…

หรือว่าเป็นเขาเองที่ไม่เชื่อใจในคำมั่นสัญญาของแม่สาวน้อยคนนี้?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เริ่มกระวนกระวายใจอีกครั้ง

ทำให้เผลอขยับหน้าเพราะความหงุดหงิด

หลินเซี่ยกำลังกดมีดลงบนผิวของเขา แต่แล้วการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของเขาก็ทำให้มีดโกนในมือเธอสั่นจนแฉลบออกด้านข้าง

คมมีดบาดเนื้อเข้าจนได้…

“ขยับหน้าหนีทำไมคะเนี่ย?”

หลินเซี่ยชักมีดโกนออกห่างอย่างรวดเร็ว มองดูแผลตรงมุมปากที่เป็นรอยกรีดเล็ก ๆ รู้สึกผิดเล็กน้อย “เลือดออกเลย เจ็บหรือเปล่า?”

“เจ็บ” เขาเค้นคำหนึ่งออกมาจากในลำคอ

เมื่อคิดว่าเธออาจจะจากเขาไปในสักวัน หัวใจของเขาก็เจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส

เธอหยิบผ้าเช็ดตัวมาซับเลือดที่ซึมออกมาจากรอยบาด เมื่อเห็นว่าแผลไม่ลึกมากจนไม่ถึงขั้นต้องวางมือเพื่อทำแผลเป็นพิเศษ ก็โกนหนวดให้เขาต่อไป

“ยังเหลือตออีกนิดหน่อย อดทนไว้นะ อย่าขยับหัวล่ะ”

มือเล็ก ๆ นุ่ม ๆ ของเธอกดลงบนใบหน้าของเขาเบา ๆ อีกครั้ง พร้อมกับขู่ว่า “ถ้ามีดบาดอีกครั้งฉันจะไม่รับผิดชอบนะคะ”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงกึ่งดุของหญิงสาว หัวใจที่กระสับกระส่ายของเฉิยเจียเหอในตอนแรกก็สงบลงอย่างลึกลับ

ก่อนจะปล่อยให้เธอจัดการกับตัวเองโดยไม่แม้แต่จะขยับตัวอีก

หลังจากโกนหนวดเสร็จแล้ว เธอก็หยิบกระจกกลมมาให้เขาส่องดูหน้าตัวเอง “ดูสิ คุณโดนมีดบาดตรงนี้ มีแผลเล็ก ๆ เลือดซิบ ไปจัดการทำแผลก่อนดีไหม?”

เฉินเจียเหอเห็นว่าบาดแผลบนหน้าเล็กน้อยมาก จึงตอบกลับ “ไม่ต้องก็ได้”

“แล้วถ้าออกไปข้างนอกล่ะ?”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย” เฉินเจียเหอยืนขึ้น จ้องมองไปที่หญิงสาวซึ่งกำลังทำความสะอาดมีดโกนด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ในที่สุด เขาก็อดกลั้นความคับข้องใจเอาไว้ไม่ไหว ถามด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “เมื่อเช้าคุณทำอะไรบ้าง?”

ขณะที่ถามคำถามนี้ออกไป คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองกังวลกับคำตอบมากแค่ไหน

กลัวเหลือเกินว่าเธออาจโกหกเขา แต่เขาก็ไม่กล้าฟังความจริงเช่นเดียวกัน

หลินเซี่ยวางมีดโกนลง จากนั้นก็เริ่มแต่งหน้าตัวเองอีกครั้ง “ซักผ้าปูที่นอน เสร็จแล้วก็ออกไปเซ็นสัญญาเช่า”

“ทำไมไม่รอให้ผมกลับมาก่อนแล้วค่อยออกไปด้วยกัน?” เขาถาม

หลินเซี่ยขมวดคิ้ว แต่ก็ตอบตรง ๆ “ฉันทำธุระพวกนี้เองได้ คุณงานยุ่งจะตายไป จะให้ฉันรอจนคุณว่างแล้วค่อยออกไปจัดการเรื่องต่าง ๆ คงไม่ไหวมั้งคะ”

เฉินเจียเหอที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอมองดูใบหน้างดงามและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นเนื่องจากการแต่งหน้า ถามต่อไปอีก “ยังมีอย่างอื่นอีกไหม?”

“อย่างอื่นเหรอ?” หลินเซี่ยมองเข้าไปในกระจก แล้วเริ่มทาลิปสติก “โอ้ ฉันว่าจะออกไปข้างนอกสักพัก ว่าจะแวะไปหาเพื่อนที่อาคารพักอาศัยในโรงงานเครื่องจักรซะหน่อย”

อาคารพักอาศัยในโรงงานเครื่องจักร…

ใบหน้าที่เข้มงวดของเฉิยเจียเหอเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง

แม้ว่าเขาจะมีนิสัยเย็นชาจนคนอื่น ๆ ยังเรียกเขาว่าพ่อมะระน่าเบื่อ แต่ในช่วงเวลาวิกฤติ เขากลับปากยื่นปากยาวกว่าที่คิด

เขาจะไม่รอให้ควันสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากหัวของตัวเองแน่

ถึงแม้การที่ต้องสูญเสียเธอไปอาจจะทำให้เจ็บปวดมาก แต่เขาก็จะไม่มีวันผูกมัดเธอไว้ข้างตัวหรือยอมเป็นฝ่ายถูกทอดทิ้งอย่างอดทน

“เมื่อกี้นี้ผมเจอหวังซิ่วฟาง” เขามองดูเธอจากด้านหลังด้วยสีหน้าว่างเปล่า ตัดสินใจพูดออกมาตรง ๆ

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด หลินเซี่ยก็หยุดทาลิปสติก เข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร

มิน่าล่ะ ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่ดีแปลก ๆ

หัวใจของหลินเซี่ยเต้นรัว ถ้าหวังซิ่วฟางไม่ได้มายืนดักแล้วบอกเขาว่ามีผู้ชายบางคนมาตามหาเธอ เขาคงไม่มีสีหน้าซังกะตายแบบนี้แน่

เป็นไปได้ไหมว่าหวังซิ่วฟางอาจบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างเธอกับหลิวจื้อหมิง เลยคาบข่าวมาบอกเฉินเจียเหอ?

จากท่าทางกระสับกระส่ายของหวังซิ่วฟางในช่วงที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงมากที่อีกฝ่ายจะแอบฟังเธอพูดคุยกับใครสักคน

เมื่อเช้านี้ตอนที่เธอออกไปคุยกับเขาที่นอกเขตอาคารพักอาศัย เธอโกรธแค้นเขามากจนไม่ทันได้สนใจว่ามีคนรู้จักป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นด้วยหรือเปล่า

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

กลิ่นน้ำส้มคลุ้งห้องแล้วค่ะ เซี่ยเซี่ยรับรู้ได้แล้วนะ ขนาดผู้แปลยังได้กลิ่นเลย

ไหหม่า(海馬)