บทที่ 62 ยามว่างที่โรงน้ำชาปาซาน

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 62 ยามว่างที่โรงน้ำชาปาซาน

บทที่ 62 ยามว่างที่โรงน้ำชาปาซาน

โจวอี้ตบหัวตัวเองทันทีหลังที่จากถามออกไป และแอบดุตัวเองที่คิดอะไรงี่เง่า

ภรรยาของเฉิงฮ่าวสุขภาพไม่ดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เฉิงฮ่าวคงคงจะขอโสมพันปีเพื่อนำมาบำรุงร่างกายให้เธอ

“พี่เฉิง ถ้าคุณจะให้มันกับภรรยา คุณไม่จำเป็นต้องใช้โสมก็ได้ แค่ให้พี่อวี๋ซินกินยาตามที่ผมสั่ง เธอก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ในเวลาไม่กี่เดือน และกลับมาแข็งแรงได้ภายในหนึ่งปีครึ่ง”

โจวอี้ยิ้ม

“จริงเหรอ?” เฉิงฮ่าวถาม

“จริงยิ่งกว่าทองแท้!” โจวอี้ยืนยันอย่างมั่นใจ

“เยี่ยมมาก แต่…” เฉิงฮ่าวพูดอย่างลังเล

“แต่อะไรอีก?” โจวอี้ถาม

“คือ…ภรรยาของผมเคยอ่อนแอและป่วยบ่อย เราแต่งงานกันมาสิบปีแล้วเธอก็ยังมีลูกไม่ได้แม้เราจะทำทุกวิถีทางแล้ว และนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับเรา…”

เฉิงฮ่าวหัวเราะแล้วยื่นบุหรี่ให้โจวอี้อีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อ “ในเมื่อคุณสามารถรักษาภรรยาผมได้ เมื่อเธอแข็งแรง ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้อุ้มเด็กอ้วนจ้ำม่ำสักคน…”

เป็นเช่นนั้นเองรึ!

โจวอี้แอบรู้สึกตลก

เขากะพริบตาและยิ้ม “พี่เฉิง ผมจะให้ใบสั่งยากับคุณนะ เพื่อให้ภรรยาของคุณมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์”

“ใบสั่งยาอะไร?” เฉิงฮ่าวรีบถาม

“มันเป็นใบสั่งยาที่จะทำให้ง่ายต่อการตั้งครรภ์! อย่าลืมว่าผมเป็นแพทย์แผนจีนนะ” โจวอี้ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“ดี! ดี! ขอบคุณน้องโจว ถ้าผมสามารถเป็นพ่อคนได้สำเร็จ ผมจะให้ซองแดงใบใหญ่แก่คุณ” เฉิงฮ่าวกล่าวอย่างตื่นเต้น

“ไม่เอาน่า!” โจวอี้เอนกายลงบนโซฟาพลางกลอกตาและยิ้ม

“ฮะ ๆ นั่นสินะ”

โจวอี้และเฉิงฮ่าวเข้ากันได้อย่างง่ายดาย

เพราะความเป็นผู้ใหญ่ มั่นคง อารมณ์ขัน และไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์และความเข้าใจ หรือสิ่งที่เขาแสดงออก โจวอี้ก็รู้สึกเหมือนได้อยู่ในสายลมฤดูแห่งใบไม้ผลิ

การสนทนาระหว่างคนทั้งสองเป็นไปอย่างยาวนาน กระทั่งรู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่ม และคนขับรถของเฉิงฮ่าวก็ได้มาส่งโจวอี้ที่บ้าน

วันถัดมา…

ถังหว่านไม่ได้มาทานอาหารเช้า เธอไปบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ โจวอี้จึงส่งลูกสาวไปโรงเรียน

ใช่!

นี่มันว่าง…ว่างเกินไป!

โจวอี้เป็นคนประเภทที่ไม่สามารถอยู่เฉย ๆ ได้

วันนี้ไม่ต้องเข้าไปทำงานที่โรงพยาบาล แถมตอนนี้บ้านก็เงียบ

เวลานี้ไม่มีลูกและไม่มีภรรยา เพื่อนบ้านและเพื่อน ๆ ของเขายังคงพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะไปหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลา

“เอาล่ะ ไปสอบใบขับขี่กันเถอะ!”

โจวอี้จำเรื่องนี้ได้ในทันใด และหัวใจของเขาก็พลันอบอุ่นขึ้นในทันที

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาหวงไห่เทา แต่ก็ไม่มีใครรับสายเลยแม้จะโทรไปอีกหลายครั้งก็ตาม…

ผู้ชายคนนั้นคงไม่ได้คิดจะเล่นตุกติกอะไรกับเขาใช่ไหม?!

โจวอี้เลิกคิดที่จะติดต่ออีกฝ่าย เขายืนอยู่ที่ประตูโรงเรียนอนุบาลและคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจไปยังที่ที่คุ้นเคย…

โรงน้ำชาปาซาน

คราวนี้โจวอี้ไม่ได้รับการต้อนรับจากซีชิงอิ่ง แต่มีหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์สวยงามและท่าทางเหมือนหนอนหนังสือออกมาต้อนรับเขาแทน

“ขอชาดอกพลัมแดง” โจวอี้นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในแล้วสั่งเครื่องดื่ม

“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” หญิงสาวรับออเดอร์ก่อนจะผลักประตูแล้วออกไป

ภายในโรงน้ำชาอันเงียบสงบ เสียงพิณเบา ๆ ดังขับกล่อมอารมณ์ โจวอี้รู้สึกว่าอารมณ์ของเขาค่อย ๆ สงบลง

มีหนังสือหลายสิบเล่มบนชั้นหนังสือ โจวอี้เหลือบไปเห็นก็พบว่ามีโน้ตเพลงอยู่ภายในนั้น

เขารู้จักดนตรี…

เขาคุ้นเคยกับเครื่องดนตรีหลายชนิด เช่น เอ้อร์หู*[1] สั่วน่า*[2] และขลุ่ย แต่เครื่องดนตรีที่เขาเล่นได้ดีที่สุดคือ กู่เจิง*[3]

อาจารย์ของเขาสามารถดีดกู่เจิงได้ โจวอี้รู้สึกทึ่งทุกครั้งที่อีกฝ่ายเล่น เพราะมันสามารถดึงดูดชาวบ้านครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านโจวเหมียวได้ โดยเฉพาะคนในชั้นเรียนดนตรีของหมู่บ้าน พวกเขาเกือบจะถือว่าอาจารย์ของเขาเป็นเทพเจ้าเลยทีเดียว

โจวอี้หยิบโน้ตเพลงมาอ่านอย่างเงียบ ๆ

บริเวณชั้นล่าง…

เมื่อซีชิงอิ่งเดินเข้าไปในโรงน้ำชาด้วยท่าทางที่สง่างาม เธอก็พบว่าหญิงสาวหนอนหนังสือกำลังขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับชุดน้ำชา

“ลูกค้ามาเหรอ?” ซีชิงอิ่งถาม

“ใช่ มีสุภาพบุรุษอยู่ที่ชั้นสอง” สาวหนอนหนังสือพยักหน้าเงียบ ๆ

“หืม? เขาเป็นลูกค้าที่คุ้นเคยของโรงน้ำชาของเรางั้นเหรอ?”

“คงไม่หรอก ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ว่า…”

“แต่อะไร?”

“ดูเหมือนเขาไม่ได้อ่านรายการชาเลย เขาสั่งชาดอกพลัมสีแดงทันที”

ดอกพลัมสีแดง?

เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าโจวอี้ดูเหมือนจะดื่มชาประเภทนี้เมื่อเขามาที่นี่เมื่อวันก่อน!

“เอาล่ะ ไปส่งซะ!” ซีชิงอิ่งโบกมือและกำลังจะไปที่ห้องรับรองเพื่อถอดเสื้อคลุม

ทันใดนั้น เธอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงร้องเรียกหญิงสาวหนอนหนังสืออีกครั้ง “หานหาน เอากู่ฉิน*[4] ออกมาให้ฉันด้วย!”

“คุณอยากเล่นกู่ฉินเหรอคะ?” หานหานประหลาดใจ

“ช่วงนี้ฉันอารมณ์ดี อยากเล่นสักเพลงให้ลูกค้าฟัง” ซีชิงอิ่งยิ้มก่อนจะรีบเดินเข้าไปด้านใน

ห้องชาชั้นสอง…

โจวอี้พลิกแผ่นเพลงและรู้สึกอยากเล่นกู่เจิงขึ้นมาทันใด

เมื่อหานหานกลับมา เขาก็ถามเธอด้วยความสงสัย “คุณมีกู่เจิงในโรงน้ำชาไหมครับ?”

“ไม่ค่ะ แต่โรงน้ำชาเรามีกู่ฉิน…”

“กู่ฉินเหรอ?! ไม่ค่อยถนัดเลย” โจวอี้ส่ายหัว

เขารู้ว่ากู่ฉินและกู่เจิงมีความแตกต่างกัน พวกมันมีเสียงต่ำและวิธีการเล่นที่ต่างกัน

เขาเก่งเรื่องกู่เจิง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเก่งเรื่องกู่ฉิน

หากต้องการเล่นจริง ๆ เขาก็ถือเป็นมือใหม่มาก…

“คุณคะ คุณสามารถฟังเพลงที่กู่ฉินบรรเลงได้ ตอนนี้เจ้านายของเราอารมณ์ดี เธอจะมาบรรเลงให้คุณฟัง”

“เจ้านายของคุณ?”

“ใช่ เจ้านายของเราเป็นผู้หญิงที่สวยมาก” หานหานยิ้ม

“สาวสวย? คุณไม่ได้หมายถึงคนชงชาซีชิงอิ่งใช่ไหม?” โจวอี้ถามด้วยความประหลาดใจ

“คนชงชา? เอาล่ะ! แต่เจ้านายของเราก็เป็นคนชงชาจริง ๆ!” หานหานพยักหน้า แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็พลันหายไป

เธอรู้สึกว่าเขาอาจจะมาที่นี่เพราะความสวยของเจ้านายเธอ

เธอเคยเห็นผู้ชายแบบนี้มานับไม่ถ้วน!

ช่างน่าเสียดาย!

แม้ว่าเจ้านายจะใจดีกับทุกคน แต่เธอก็ไม่เคยเข้าใกล้พวกเขาเลย ทั้งยังเกลียดผู้ชายตัวเหม็นที่มาที่นี่เพื่อหวังเกี้ยวพาราสี

“ผมไม่ได้คิดว่าว่าซีชิงอิ่งจะเล่นกู่ฉินได้ เธอเป็นหญิงสาวที่สวยราวกับภาพวาดจีนโบราณ ทั้งยังดีดกู่ฉินได้อีก”

โจวอี้ไม่ได้สังเกตเห็นความรังเกียจที่ฉายผ่านแววตาอันเย็นชาของหานหาน

เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เมื่อชงชาให้โจวอี้เสร็จสิ้น เธอก็ออกจากโรงน้ำชาชั่วคราว

ไม่นานนัก เสียงไพเราะของกู่ฉินก็ดังขึ้นจากภายนอก

เพียงแค่เสียงบรรเลงขึ้น โจวอี้ก็สามารถบอกได้ว่าเพลงนั้นคือ ‘หิมะในฤดูใบไม้ผลิ’

[1] เป็นเครื่องดนตรีประเภทสี มีประวัติตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง อายุมากกว่า 1,000 ปี ในสมัยนั้น เรียกว่าซีฉิน เวลาต่อมาเผ่าหู ได้นำมาพัฒนาและเป็นที่นิยมเล่นเครื่องดนตรีนี้ถูกเรียกว่า หูฉิน ด้วยลักษณะซอที่มีสองสาย จึงถูกเรียกว่า เอ้อร์หู

[2] เป็นเครื่องดนตรีทางตอนเหนือของจีนที่มีลักษณะคล้ายแตร

[3] เป็นเครื่องสายดีดโบราณของจีนซึ่งมีประวัติยาวนานประมาณ 2500 ปี โดยเริ่มแรกจากสมัยจ้านกั๋ว เป็นเครื่องดนตรีเมืองฉิน (ปัจจุบันอยู่ในมณฑลส่านซี)

[4] พิณ 7 สาย มีอายุมากกว่า 3,000 ปี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า ‘ราชาแห่งเครื่องดนตรีจีน’ ในสมัยก่อนกู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในหมู่ปัญญาชน นักปราชญ์และนักกวี อย่างเช่น ขงจื้อ ขงเบ้ง เป็นต้น เพราะในสมัยนั้นถือว่าเป็นดนตรีชั้นสูง ต้องใช้สมาธิ ความตั้งใจในการบรรเลง และเป็นเครื่องดนตรีที่พัฒนาจนสมบูรณ์แบบตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น มีโน๊ตเพลงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการยกย่องเป็น ‘มรดกโลก’