ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 34 ข้าเห็นภูเขาครามน่าอนาถเพียงใด (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 34 ข้าเห็นภูเขาครามน่าอนาถเพียงใด (rewrite)

เผยฝานเก็บกระบี่ซ่อนที่ลอยในห้องตนเข้าไปในระหว่างคิ้วทีละเล่ม แสงดาราสว่างไสว กระบี่ซ่อนพวกนี้ถูกกลืนเข้าไปทีละเล่ม

ก่อนเผยหมินจะตาย เจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์หลายคนยังคุยกันว่าเขาเป็นบุรุษที่เข้าใกล้กับการเป็นอมตะมากที่สุด

กระบี่ซ่อนนี้ที่สืบทอดมาจากท่านปราชญ์กระบี่ เป็นมูลค่าสูงที่คนปกติไม่อาจจินตนาการได้ พุทราแดงนั้นตรงระหว่างคิ้ว ภายในซ่อนแดนเทวาไว้แห่งหนึ่ง กระบี่บินที่ลอยอยู่เต็มฟ้า แทบจะเป็นกลอุบายของเทพเจ้า

การนำกระบี่บินพวกนี้ออกมาได้ ต้องให้ผู้สืบทอดกระบี่ซ่อนมีแรงใจมหาศาล

เด็กสาววางม้วนคัมภีร์กระบี่ซ่อนนั้นไว้ในแดนเทวาระหว่างคิ้ว ทั้งห้องกลับมากว้างโล่งอีกครั้ง ม้วนคัมภีร์ที่กองซ้อนทับกันจัดการเรียบร้อย ที่ควรกลับไปก็จะให้นักพรตชุดคลุมหยาบขนขึ้นตู้รถ ส่งกลับไปคลังตำรา

ภายในห้องยังมีของลอยอยู่ชิ้นหนึ่ง

นั่นเป็นยันต์แบบง่าย

ทั้งห้องเงียบสงบมาก ยันต์นั้นขยับเองแม้ไร้สายลม กระดาษยันต์ใหม่ไม่มีรอยพับจีบแม้แต่น้อย ต่างกับยันต์นั้นที่หลังภูเขาสู่ซานอย่างสิ้นเชิง ยันต์นี้ดูเหมือนกระดาษภาพสีเหลืองเก่า เห็นๆ ว่าใหม่ แต่กลับมีกลิ่นอายประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน

บนนั้นวาดอักขระซับซ้อนเข้าใจยาก เป็นตัวอักษรลูกอ๊อด[1] เหมือนประทับค่ายกลที่ไม่รู้จัก

ตอนนั้นลู่เซิ่งวางป้ายคำสั่งหนึ่งไว้หลังเขาสู่ซาน ห้าร้อยปีหลังเขาสู่ซานถูกจัดเป็นเขตต้องห้าม ทุกคนห้ามเข้าไป มีเพียงผู้มีวาสนาที่ป้ายคำสั่งยอมรับเท่านั้น อย่างคุณชายเจ้าหรุยและสวีจั้งที่จะได้เข้าไปหลังเขาสู่ซาน

ขอแค่สัมผัสยันต์นั้นจะถูกเคลื่อนย้ายไปหลังเส้นขอบฟ้า ข้ามผ่านทั้งหุบเขายักษ์มาถึงเขตต้องห้ามหลังเขาสู่ซาน

นี่คือค่ายกลมารดาบุตร สามารถข้ามผ่านระหว่างมิติสองด้าน ไปกลับ ส่งถึงที่หมายอย่างแม่นยำ

เด็กสาวทำค่ายกลมารดาบุตรฉบับง่ายๆ ขึ้น ยันต์นี้รวบรัดผลงานของลู่เซิ่ง ต่างกับค่ายกลมารดาบุตรในเมืองหลวง ค่ายกลมารดาบุตรนี้ไม่ต้องใช้แสงดาราและทรัพยากรมากเท่าไร มือบีบยันต์ก็จะข้ามมิติไปได้

เทียบกับวิธีการที่ราชนิกุลอย่างองค์ชายสามใช้ข้ามสองดินแดนตามใจแล้ว ก็มีความต่างกัน

หลี่ไป๋หลินกลับจากอารามรู้กรรมกลับไปเมืองหลวง ใช้เพียงหลายสิบลมหายใจ เขาบีบจี้หยกล้ำค่ายิ่ง ในนั้นแฝงค่ายกลต่างๆ เล็กใหญ่ไว้ เดิมทีก็เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมาก ใช้ครั้งที่สองไม่ได้ มีเพียงลูกหลานตระกูลขุนนางที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่พวกนี้เท่านั้นถึงจะบีบจี้หยกในยามคับขัน

หากเจอกับยอดผู้บำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญสูงจนไร้เหตุผล อย่างเช่นท่านพันกร ที่มีความสามารถผนึกมิติหรือบิดเบี้ยวมิติ จี้หยกพวกนี้จะไม่มีความแม่นยำอีก กระทั่งยามเกิดอันตราย ก็อาจจะส่งองค์ชายสามไปไม่ได้

เพียงแต่ยิ่งมีระดับสูงมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ได้ถึงความน่ากลัวของราชวงศ์ต้าสุย ใต้ฟ้านี้เป็นของคนแซ่หลี่ ต่อให้เป็นเจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีความสามารถผนึกมิติ ก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม

เด็กสาวเผยฝานมองยันต์นั้น หลังจากออกจากหลังเขาก็ศึกษายันต์นี้ กลายเป็นปัญหาที่นางสนใจที่สุดในตอนนี้ ค่ายกลมารดาบุตรของลู่เซิ่ง เทียบกับการชี้แนะของยอดผู้บำเพ็ญคนอื่นในเขาสู่ซานแล้ว เรื่องนี้มีความท้าทายมากกว่า

นางพบความลี้ลับของค่ายกลนี้ ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเป็นส่วนใหญ่

ยันต์นี้ละทิ้งไปมากมาย เพื่อผนึกหลังภูเขาจึงกดดันผู้มีวาสนาข้ามเส้นขอบฟ้ามายังแดนวาสนาของลู่เซิ่งเอง เหมือนว่าทั้งหลังภูเขายังมีโชควาสนาอื่นๆ อีก

เผยฝานไม่ค่อยเข้าใจ แต่นางทำการปรับแก้รากฐานในป้ายคำสั่งของลู่เซิ่งเล็กน้อย

ยันต์นี้มีความสามารถเคลื่อนย้ายเป็นรากฐาน ใช้หลายครั้งต้องไม่เทียบเท่าหลังเขาสู่ซานแน่ และน่าจะต้องใช้ทรัพยากรเล็กน้อย แต่นี่แบกรับได้สบายอยู่แล้ว

ทว่าที่ต่างกันคือป้ายคำสั่งนั้นของลู่เซิ่ง ค่ายกลมารดาบุตรนั้นยึดกับสถานที่แน่นอน

สิ่งที่เผยฝานทำออกมามีเพียงยันต์แผ่นหนึ่ง

ยันต์นี้คือค่ายกลมารดาบุตร

อักขระฉวัดเฉวียนที่แกะสลักบนยันต์ใช้บันทึกกระแสมิติปั่นป่วนของที่นี่ การเปิดค่ายกลต้องการตำแหน่งมิติที่แน่นอน จากนั้นไปยังที่หมายใดก็ได้ ก็จะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายไปมาได้

เผยฝานมองยันต์ที่โบกสะบัดนั้น

นางนึกถึงบางเรื่องเงียบๆ

หนิงอี้บาดเจ็บในครั้งนี้ทำให้เขานอนติดเตียงมาหลายวัน รับความเจ็บปวดมหาศาล

ทุกอย่างเป็นเพราะการยั่วยุของจวนขานฟ้า

ขุดรากลึกลงไปอีก…

“ถนนนิมิตชาด…”

“คุณชายคราม”

เผยฝานคลึงระหว่างคิ้ว พ่นสองคำมานิ่งๆ จากนั้นสวมชุดคลุมดำไว้แน่น ยื่นมือข้างหนึ่งมากำยันต์นี้ไว้

……

จวนขานฟ้า

ภูเขาครามเล็ก

นี่เป็นสถานที่บำเพ็ญของคุณชายคราม ทั้งจวนจะสร้างล้อมรอบภูเขาครามเล็ก ผู้นำรุ่นเยาว์จวนขานฟ้าทุกรุ่นจะอยู่ในจวนแห่งนี้ ฝึกบำเพ็ญตีนภูเขาคราม

“คืนนี้นัดหมายท่านเจ้าลัทธิใหม่อีกครา นี่ก็สายแล้ว ควรต้องออกเดินทาง”

คุณชายครามลืมตาขึ้น เขาพ่นลมหายใจแผ่วเบา สีท้องฟ้ายามโพล้เพล้ถึงที่สุดแล้ว แสงตะวันยามอัสดงจมหายไปในเส้นขอบฟ้าทีละนิด เหลือเป็นสีแดงใต้ภูเขาคราม บ่อน้ำภายในจวนมีกระแสน้ำทะลักออกมาตลอด ใต้ดินที่นี่เชื่อมต่อกับน้ำพุร้อนธรรมชาติ ต่อให้เป็นเมืองหลวงในเดือนสิบสอง บ่อน้ำก็ยังไม่เป็นน้ำแข็ง

คุณชายครามอาบอยู่ในน้ำพุ แสงดาราปกคลุม ไอร้อนพวยพุ่ง เวลาของเจ้าลัทธิมีน้อยมาก มีงานต้องจัดการทุกวัน ดีที่จวนขานฟ้าหน้าใหญ่พอ หลังจากผ่านคลื่นลมบนถนนนิมิตชาด คุณชายครามเขียนจดหมายขอโทษเฉินอี้ด้วยตนเอง ทั้งยังหวังว่าจะได้พบหน้ากันอีกครั้งเป็นการแก้มือ

ครั้งนี้จวนขานฟ้าเหมาทั้งหอเด็ดดารา ทั้งยังเชิญสหายสำนักเดียวกันมาจำนวนมาก ผู้บำเพ็ญสี่สำนักศึกษามากันครบ คุณชายครามยังเชิญสองคุณชายใหญ่แห่งสำนักศึกษาตะวันสูงกับขุนเขา กระทั่งท่านหญิงพิณอ้อยอิ่งจากสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนนั้น ยังตอบตกลงจะมาที่นี่

สี่คุณชายใหญ่ ท่านหญิงพิณเป็นคนที่เงียบที่สุด ไม่ต่างจากแนวทางการปฏิบัติของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเท่าไร ไม่วิวาทไม่ทะเลาะไม่แย่งชิง เทียบกับฉายาท่านหญิงพิณแล้ว เหลียนชิง กู้ชางและจงหลี ชอบฉายา ‘อ้อยอิ่ง’ ของหญิงคนนั้นมากกว่า

สุภาพเรียบร้อย ไม่รีบร้อนไม่เอื่อยเฉื่อย

คนดุจฉายา เชื่องช้าอ้อยอิ่ง

การเชิญ ‘อ้อยอิ่ง’ มาได้ นับเป็นเรื่องน่ายินดีและตกใจเหมือนความคาดหมาย

ดูท่าเจ้าลัทธิคนใหม่คงจะเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การทำความรู้จักสำหรับสี่สำนักศึกษา อ้อยอิ่งที่ไม่สนโลกยินดีมาหอเด็ดดารา จะต้องเป็นความคิดของผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวแน่

คุณชายครามคลึงระหว่างคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ไม่คิดเรื่องไร้สาระพวกนั้นอีก แต่หยัดกายขึ้นจากบ่อน้ำพุช้าๆ ท่ามกลางไอร้อน เขาหยิบผ้าสีขาวที่แขวนบนผนังหินขึ้นมาเช็ดตัวให้สะอาด

ตรงหน้าอกมีกลิ่นอายกลัดกลุ้มอย่างหนึ่ง

ตราสีแดงบางๆ ประทับลงตรงหน้าอกคุณชายครามอย่างเหมาะเจาะ

นั่นคือรอยกระบี่

เมื่อนึกถึงตรงนี้ คุณชายครามก็หน้ามืดทะมึน

บนถนนนิมิตชาดในวันนั้น ตนไม่ใช้แสงดารา รับกระบี่ของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานด้วยมือเปล่า กระบี่นั้นมีอานุภาพกระบี่น่าหวาดกลัวยิ่ง ตนลงมือช้าไปหน่อยจึงถูกปราณกระบี่กระแทกใส่หน้าอก พักฟื้นสองวันก็ยังรู้สึกกลัดกลุ้มในอกเป็นบางครั้ง

เขาเคยเสียเปรียบเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

คุณชายครามพ่นลมหายใจหนักๆ มาอย่างกลุ้มใจ เปลี่ยนอาภรณ์ครามตัวใหม่ ก้าวออกจากบ่อน้ำ กลิ่นอายพลังทั้งตัวเปลี่ยนไป ภูเขาครามปกติจะไม่มีคน เป็นแดนบำเพ็ญที่เงียบสงบยิ่ง คุณชายครามจะอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่มีข้ารับใช้

เขาไม่ต้องการของพวกนี้ เขาแค่ต้องการอยู่คนเดียว

ที่นี่คือจวนขานฟ้า เป็นที่ที่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ต่อให้ถูกพญายมน้อยจับตามอง คุณชายครามก็ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะกล้าบุกมาที่นี่เลย

ตีนภูเขาครามมีค่ายกลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน หากมีคนกล้าเข้ามา เช่นนั้นค่ายกลจะทำงานทันที

ไม่ได้รับอนุญาตจากคุณชายคราม ใครก็เข้ามาไม่ได้

คุณชายครามลูบรอยกระบี่ตรงหน้าอก เอ่ยนามคนที่ออกกระบี่นั้นด้วยใบหน้าดำมืด

“หนิงอี้”

จากนั้นพูดพึมพำ

“หากปล่อยมือปล่อยเท้า…”

จากนั้นมีเสียงแหบแห้งดังขึ้นที่ตีนภูเขาคราม

“หากปล่อยมือปล่อยเท้า แล้วอย่างไร”

คุณชายครามตกใจกับเสียงนี้ เขาพลันหมุนตัวกลับมา

บนฟ้าจวนตรงตีนภูเขาครามมีเงาสวมชุดคลุมดำร่างหนึ่ง บีบยันต์ ร่างลอยออกมาทีละนิดกลางเปลวเพลิงแผดเผาช้าๆ สียามโพล้เพล้ลุกไหม้ ร่างเงานี้เหยียบกระบี่เล็กเล่มหนึ่ง ฟังเสียงไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี

คุณชายครามหรี่ตาลง

นี่มันอะไร ค่ายกลเคลื่อนย้ายรึ สามารถทำลายค่ายกลจวนขานฟ้ามาถึงตีนภูเขาครามได้อย่างเงียบเชียบเลยรึ

เหตุใดโลกนี้ถึงมีค่ายกลเช่นนี้

“ค่ายกลของจวนเจ้าห่วยแตกจริงๆ” เงาขี่กระบี่นั้นเอ่ยไม่ช้าไม่เร็ว “ข้าเข้ามาตรงๆ ก็ได้แล้ว แค่ยุ่งยากนิดหน่อย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”

เขาชะงักไปก่อนจะเอ่ยอย่างเฉยชา “จะพบกันอย่างไรก็เหมือนกันทั้งนั้น”

คุณชายครามพูดเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นใคร”

พญายมน้อยรึ

ไม่…ไม่มีทางเป็นเจ้านั่น หากมือสังหารของจวนปฐพีมีวิธีแทรกซึมเข้ามาในจวนของตนอย่างเงียบเชียบจริงๆ ก็ไม่มีทางทำการใหญ่โตเช่นนี้ คงจะแทงกระบี่ใส่ตนอย่างเงียบเชียบแล้ว

ร่างเงาขี่กระบี่นั้นเอ่ยนิ่งๆ “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ข้ามาทำอะไรต่างหากที่สำคัญ”

เด็กสาวเผยฝานใต้ชุดคลุมดำมีใบหน้าเฉยชา นางยกมือขึ้นข้างหนึ่ง กดระหว่างคิ้วตนช้าๆ

นางพูดอย่างเฉยเมย “ได้ยินว่าวันนี้คุณชายครามเหมาทั้งหอเด็ดดารา เชิญสี่สำนักศึกษา และยังมีเจ้าลัทธิสำนักเต๋า”

คุณชายครามหรี่ตาลง เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

“เจ้ามาทำอะไร” บุรุษสวมอาภรณ์คราม เส้นผมชื้นพาดบนบ่า พลังเขาเริ่มเพิ่มขึ้น ท่ามกลางแสงดาราแผดเผา เส้นผมก็เริ่มลอยขึ้นช้าๆ นี่คือการปล่อยแสงดาราที่ค่อนข้างน่ากลัว

จิตใจห้าวหาญ

เผยฝานเผยแววตาชื่นชมเสี้ยวหนึ่ง

นางยกนิ้วมือมากดกระบี่ซ่อน ก่อนจะพูดเสียงเบา “ข้ามาเชิญคุณชายครามยืดเส้นยืดสาย วิวาทกันสักครั้ง”

คุณชายครามหรี่ม่านตาลง เงยหน้าขึ้น

กระบี่เต็มฟ้า แน่นขนัด เรียงกันไม่ขาดสาย

นางยกมือกดนิ้วลง

คุณชายครามไม่เคยเห็นกระบี่บินเยอะขนาดนี้มาก่อน พริบตาเดียวก็เต็มอยู่ในสายตา พลันลอยค้างจากนั้นพุ่งลงมา ทำให้จวนเขาครามถล่มลงไปเกือบครึ่ง

ผ่านไปพักหนึ่ง ทุกอย่างสงบลง

พื้นดินสั่นไหว กระบี่ลอยกลับไปอีกครั้ง แต่ละเล่มซ้อนทับกันและเข้าไปในระหว่างคิ้วของร่างเงาชุดคลุมดำ

จวนเขาครามเกือบครึ่งพังทลายลงแล้ว

เด็กสาวเผยฝานที่ออกคำสั่งกระบี่กลับมา มองคุณชายครามที่นอนในหลุมหมดสติอยู่ อาภรณ์ขาดเละแทะ สองแขนยกมาบังไว้ข้างหน้า สติพร่าเลือน สภาพไม่น่าเวทนา เพียงแค่น่าอนาถ

หน้าหลังมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังแว่วมา

มีคนจะทำลายประตูใหญ่จวน

เผยฝานเดินมาหน้าคุณชายคราม ดึงกระบี่สุดท้ายกลับไปในระหว่างคิ้ว

เด็กสาวนึกถึงกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาดนิ่งๆ จนถึงตอนนี้ถือว่าสิ้นสุดลง

ทุบตีคุณชายคราม ความแค้นสิ้นสุดลง

นางบีบยันต์ไว้ เอ่ยด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “ข้าเห็นภูเขาครามน่าอนาถเพียงใด”

ร่างเงาหายไปช้าๆ ไม่เหลือร่องรอย

“หวังว่าพวกเขาเห็นเจ้าก็คงจะเหมือนกัน”

…………………………

[1] ตัวอักษรลูกอ๊อด (蝌蚪文) เป็นตัวอักษรที่มีลักษณะหัวโตหางบาง ใช้กับในช่วงราชวงศ์ฮั่นเท่านั้น ไม่ค่อยเห็นในยุคราชวงศ์ถัง