ตอนที่ 47 อำนาจสิทธิ์ขาด ความจริงของมรดก (1)

หวนคืนชะตาแค้น

ในวันนี้ มู่ชิงอีสบโอกาสที่จะนำไข่มุกออกจากจวนซู่เฉิงโหว ตั้งแต่กลับมาที่จวน มู่ฉังหมิงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะให้นางกลับไปยังวัดเป้ากั๋วอีก มู่ชิงอีจึงแกล้งทำเป็นลืมไปโดยปริยาย จุดประสงค์ของการไปวัดเป้ากั๋วนั้นได้ลุล่วงแล้ว อีกทั้งยังมีโอกาสชิงลงมือกับมู่หลิงก็เพียงพอแล้วไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับไปอีก

ทุกวันนี้ผู้คนในจวนซู่เฉิงโหวนั้นยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก ซู่เฉิงโหวกำลังวุ่นอยู่กับการไปมาหาสู่ระหว่างจวนกงอ๋องและเหล่าบรรดาขุนนางใต้เท้า มู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการคบค้าสมาคมพบปะเหล่าบรรดาหญิงสูงศักดิ์ทั้งหลายในเมืองหลวง ในขณะที่สะใภ้ซุนกำลังกังวลใจกับมู่หลิงที่บาดเจ็บหนักล้มหมอนนอนเสื่อ ช่วงเวลานี้จึงไม่มีผู้ใดในจวนยกเว้นมู่อวิ๋นหรงที่ให้ความสนใจกับมู่ชิงอีอีกแล้ว บางครั้งนางก็พูดวาจาเสียดแทงประชดประชัน แต่มู่ชิงอีเมินเฉยทั้งหมด มู่อวิ๋นหรงผู้นั้น…บอกว่านางมีเศษเสี้ยวสมองก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว

ศาลาชิงอานเป็นโรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหวา ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเถ้าแก่ของโรงน้ำชาคือใคร ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เบื้องหลังคือทะเลสาบงดงาม ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าปัญญาชนทั้งหลายในเมืองหลวงมักมาแวะเวียน

มู่ชิงอียืนอยู่ที่หน้าศาลาชิงอาน จูเอ๋อร์มีทีท่าลังเลพลางดึงชายเสื้อของนาง พูดกระซิบว่า คุณหนู เราต้องเข้าไปข้างในนั้นหรือเจ้าคะ ที่นี่ดูๆ แล้วไม่ธรรมดาเลย ถึงแม้คุณหนูจะมีฐานะเป็นถึงบุตรีของจวนซู่เฉิงโหว แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีกินมีใช้มากนัก

มู่ชิงอียิ้มจางๆ ได้ยินมาว่าของว่างในศาลาชิงอานเลื่องชื่อมาก ไม่กี่วันก่อนพี่ใหญ่ได้ให้เงินไว้ไม่น้อย เราไปลองชิมกันเถิด หลังจากได้ยิน จูเอ๋อร์ก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของศาลาชิงอานคือชาสามอย่าง ทิวทัศน์และของว่าง ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่มีชาและทิวทัศน์ใดที่ดีไปกว่าศาลาชิงอาน และไม่มีของว่างใดที่เลิศรสได้เท่าศาลาชิงอาน แม้แต่พระสนมในวังก็ยังส่งคนออกมาซื้อขนมจากศาลาชิงอานอยู่บ่อยครั้ง จูเอ๋อร์ก็เคยได้ยินจากคนในจวนเช่นกันว่า บางครั้งมู่อวิ๋นหรงก็จะสั่งให้คนไปซื้อมันมา แต่สิ่งนั้นก็คงไม่มีทางเวียนมาถึงมู่ชิงอีและจูเอ๋อร์แน่นอน

เมื่อทั้งสองก้าวเข้าไปในโถงใหญ่ของศาลาชิงอาน เสี่ยวเอ้อร์ร์[1]ก็เข้ามาทักทายนางในทันที ยินดีต้อนรับแม่นาง ไม่ทราบว่าแม่นางมากี่ท่านขอรับ

มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา ข้ากำลังมองหาเถ้าแก่

เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงไปครู่หนึ่ง มองไปยังหญิงสาวที่ถึงแม้จะสวมผ้าคลุมหน้าแต่ก็ยังดูงดงามพราวเสน่ห์ เครื่องแต่งกายของนางก็ดูไม่เหมือนกับคนที่จะมาสร้างปัญหา หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นว่า รบกวนขอทราบชื่อและแซ่ของแม่นาง เชิญแม่นางนั่งรอด้านใน ผู้น้อยจะไปรายงานเถ้าแก่

มู่ชิงอีพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า ข้าแซ่มู่

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ศาลาชิงอานจะกลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับผู้มีปัญญาทั่วทั้งเมืองหลวง แม้แต่เสี่ยวเอ้อร์ตัวน้อยที่ทักทายแขกอยู่หน้าประตูก็มีมารยาทเช่นกัน แม้ว่านางจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อลิมรศชาก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าเหยียดหยามหรือไม่เคารพแม้แต่น้อย

มู่ชิงอีถูกพาไปยังห้องข้างโถงใหญ่บนชั้นสอง ในไม่ช้า เถ้าแก่ของศาลาชิงอานก็ย่างกรายเข้ามา ดูๆ แล้วรูปร่างท่าทางของเขาดูราวกับคนยังไม่พ้นวัยสี่สิบปี เขามีรูปลักษณ์ที่สะอาดสะอ้านดูถ่อมตน ไม่เหมือนพ่อค้าที่ไล่ตามเงินทองแต่ดูราวกับผู้มีปัญญาที่ชอบท่องบทกวีและอ่านหนังสือเสียมากกว่า

แม่นาง ข้าน้อยเป็นเถ้าแก่ของศาลาชิงอานนามว่าเฝิงจื่อสุ่ย ไม่ทราบว่าคุณหนูตระกูลมู่มีสิ่งใดจะบอกกล่าว?

มู่ชิงอีเหลือบมองไปยังจูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์ก็เข้าใจและถอยออกไปทันทีพร้อมทั้งปิดประตูห้องให้เรียบร้อย มู่ชิงอีมองไปที่เถ้าแก่เฝิง ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย หลังจากคิดบางอย่างแล้วก็เพียงพูดขึ้นว่า รบกวนเถ้าแก่แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อรับของที่สหายเก่าได้ฝากไว้กับท่าน

สีหน้าของเถ้าแก่เฝิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปยังมู่ชิงอีอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยว่า ไม่ทราบว่าของที่แม่นางต้องการรับไปนั้นคือสิ่งใด

แร่ดีบุกจากเขาชื่อจิ่น ทองแดงจากแม่น้ำรั่วเหยี่ย

เพื่อใช้ทำสิ่งใด เถ้าแก่เฝิงถามอย่างเคร่งขรึม

หลอมกระบี่ มู่ชิงอีพูดตอบอย่างหนักแน่น

เถ้าแก่ส่ายหัวพร้อมพูดขึ้น ในอดีตโอวเหยี่ยจื่อได้ใช้แร่ดีบุกจากเขาชื่อจิ่น ทองแดงจากแม่น้ำรั่วเหยี่ยหลอมสำเร็จขึ้นมาเป็นกระบี่ห้าเล่ม ได้แก่ กระบี่จ้านหลู กระบี่ฉุนจวิน กระบี่เซิ่งเสีย กระบี่อวี๋ฉังและกระบี่จวี้เชวีย ปัจจุบันคนไม่อยู่แล้ว แม้ว่าจะมีแร่ดีบุกจากเขาชื่อจิ่น ทองแดงจากแม่น้ำรั่วเหยี่ยแต่จะทำได้อย่างไรเล่า

ชิงอียินดีที่จะหลอมมันขึ้นด้วยตัวเอง

เถ้าแก่เฝิงแสดงอารมณ์ผ่านบนใบหน้าเล็กน้อย ที่แท้ท่านก็คือคุณหนูสี่แห่งจวนซู่เฉิงโหว กระบี่เป็นอาวุธอันแหลมคม พลั้งมืออาจทำร้ายผู้คน ขอถามคุณหนูสี่ว่าท่านต้องการหลอมกระบี่ไปเพื่อการใด

มู่ชิงอีช้อนตาขึ้นมองไปยังเถ้าแก่ท่าทีนิ่งสงบ หนึ่งเพื่อการแก้แค้น สองเพื่อปกป้องความสงบสุขของญาติสนิท สามเพื่อถามว่าความยุติธรรมในโลกนี้อยู่ที่ใด สี่เพื่อยืดหยัดบนโลกนี้ไม่ให้มีผู้ใดรังแกข้าได้อีก ห้าเพื่อ…ตัดขาดเยื่อใยไร้ใจชั่วชีวิต

เถ้าแก่เฝิงจ้องไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่ขาวราวหิมะเบื้องหน้าของตนเป็นเวลานาน เมื่อได้สติกลับมาก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม คุณหนูสี่ตระกูลมู่ โปรดตามข้ามา

มู่ชิงอีพยักหน้าแล้วพูดขึ้น เชิญเถ้าแก่

เดินตามเถ้าแก่ขึ้นไปยังชั้นสาม ชั้นสามของศาลาชิงอานเป็นสถานที่ที่แขกอื่นห้ามเข้า เมื่อเทียบกับความโอ่อาของชั้นสองแล้ว ชั้นสามกว้างโล่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด ในพื้นที่อันกวางขวางมีเพียงเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้วางล้อมเป็นวงกลม แม้แต่ผนังห้องทั้งสี่ด้านก็มีเพียงแค่ลายเส้นตัวอักษรหนึ่งชุด พูดให้ถูกก็คือมีเพียงตัวอักษร ‘เปล่าเปลี่ยว’ ขนาดใหญ่คำเดียวแขวนอยู่บนผนัง ยิ่งทำให้ห้องนี้ดูกว้างโล่งกว่าเดิม

เถ้าแก่เฝิงมองไปที่มู่ชิงอีและเอ่ยขึ้นว่า ข้าน้อยไม่ทราบว่าเหตุใดคุณหนูสี่ตระกูลมู่ถึงได้รู้จักที่นี่ แต่…ในเมื่อคุณหนูสี่มาแล้ว ข้าน้อยก็ไม่ควรถามให้มากความ เดิมที…เดิมทีในตอนแรกที่กู้เซียงนำสิ่งนี้มาฝากไว้ที่นี่ ข้าคิดว่าคงจะไม่มีผู้ใดปรากฏกายมารับไปตลอดกาลเสียแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดท่านถึงยังเฝ้าอยู่ที่นี่

เถ้าแก่เฝิงส่ายหัวไปมา ยิ้มขึ้น บางที อาจเป็นเพราะหวังว่าวันใดวันหนึ่งจะมีคนมารับไปกระมัง

เถ้าแก่เฝิงเดินไปยังด้านหน้าตัวอักษร ‘เปล่าเปลี่ยว’ ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป เมื่อหันหลังกลับมาในมือของเขาก็มีบันทึกอยู่สองเล่ม หนึ่งซ้ายและหนึ่งขวาวางอยู่ด้านหน้าของมู่ชิงอี เถ้าแก่เฝิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ กู้เซียงได้ทิ้งของสองสิ่งนี้เอาไว้ที่นี่ แต่คุณหนูสี่รับไปได้เพียงอย่างเดียว

ข้าไม่ทราบว่าสองสิ่งนี้นั้นแตกต่างกันหรือไม่

เถ้าแก่เฝิงกล่าวว่า บันทึกเล่มนี้ได้บันทึกแหล่งสมบัติทั้งหมดที่ตระกูลกู้ได้สะสมไว้ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ส่วนเล่มนี้เป็นบันทึกที่เขียนขึ้นด้วยลายมือของกู้เซียงไม่มีสิ่งอื่นใด ขอคุณหนูสี่ตระกูลมู่โปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ความหมายที่เถ้าแก่เฝิงต้องการสื่อนั้นชัดเจนมาก หากนางเลือกบันทึกเล่มแรก มู่ชิงอีจะได้รับความมั่งคั่งที่มากมายชั่วชีวิต แต่ถ้าหากเลือกเล่มหลังก็อาจจะเป็นเพียงกระดาษที่ไร้ประโยชน์ ท้ายที่สุดแล้วกู้เซียงก็ไม่ใช่เทพเจ้าและบันทึกที่เขาเขียนก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนเป็นอมตะหรือครอบครองทั้งโลกได้ในทันที

ชื่อของบันทึกทั้งสองเล่มนั้นแปลกประหลาด เพราะเหมือนกันทุกประการ ‘บันทึกสำคัญ’ แต่มู่ชิงอีรู้ว่าเนื้อหาของพวกมันนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง มู่ชิงอียกและยื่นมือซ้ายออกไป ขอบคุณเถ้าแก่เฝิง กู้เซียงเป็นบุคคลที่ปรีชาสามารถ นับเป็นโชคดีของชิงอีที่ได้มองดูลายมือของเขาอย่างเคารพ

คุณหนูสี่ตระกูลมู่ไม่พิจารณาสักหน่อยหรือ บันทึกเล่มนี้…อาจจะไม่มีประโยชน์สำหรับท่าน เฝิงจื่อสุ่ยพูดโน้มน้าวอย่างลำบากใจ คำแนะนำนี้มีความจริงใจ บึนทึกเล่มนี้ไม่มีประโยชน์ต่อมู่ชิงอี แต่กระนั้น นางไม่ต้องการให้กู้เซียงถูกทิ้งไว้ในเงาฝุ่น

ไม่จำเป็น มู่ชิงอีเปิดบันทึก สิ่งที่ปรากฏสะท้อนอยู่ในม่านตาคือ ‘จดหมายตระกูลกู้’ ที่นางคุ้นเคยดี

มู่ชิงอีมองลายมือคุ้นเคยตรงหน้าของนาง เหม่อมองอย่างเลื่อนลอย บันทึกที่อยู่ตรงหน้าของนางแท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าไม่รู้จัก มันเป็นบันทึกที่จดสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับตระกูลกู้นานหลายชั่วอายุคน ตลอดจนประสบการณ์ส่วนตัวและความลับทางราชสำนัก เดิมทีมันถูกวางไว้บนชั้นหนังสือภายในห้องหนังสือของตระกูลกู้ นี่อาจเป็นสมบัติที่ล้ำค่าสำหรับคนจำนวนมากในราชสำนักแต่สำหรับลูกหลานตระกูลกู้นั้นเป็นสิ่งที่ปกติมากเพราะพวกเขาเห็นมันตั้งแต่ยังเยาว์วัย ไม่ว่าจะเป็นพี่ใหญ่หรือตัวของมู่ชิงอีนั้นล้วนท่องจำจนขึ้นใจแล้ว

—————————————————

[1]เสี่ยวเอ้อร์ ใช้เรียกบริกร

ตอนต่อไป