ตอนที่ 150 ซูเงินผู้ชื่นชอบการสะสม
ตั้งแต่ที่ซู่เจินเลือกแซม เขาก็ได้ช่วยปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้และช่วยเอาอุปกรณ์ที่เป็นสัญลักษณ์ประจําตัวของเขามา ทําให้เขากลายเป็น ฟอลคอน ในที่สุด ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่สตีฟจะเกลี้ยกล่อมเขาได้ง่าย ๆ
และก่อนที่แซมจะมาทําภารกิจในครั้งนี้ เขาก็ได้เข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามไปเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าสตีฟจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเขาจึงทําได้แต่ปล่อยมันไป และเดินจากไปพร้อมกับตัวประกันที่เขาได้ช่วยเหลือออกมาพร้อมกับหน่วยรบพิเศษ
“ที่รัก คุณไม่คิดว่ามันน่าลําบากใจไปหน่อยหรอ ?”
“ไม่หรอก เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชายทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด พวกเขามีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเองและไม่กล้าที่จะยอมรับอะไรง่าย ๆ ซึ่งมันก็อาจจะไม่ดีในแง่มุมหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกคนเหล่านั้นก็มีความกล้าหาญอยู่ภายในตัว” ซู่เจินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
นาตาชายิ้มและพูดขึ้นมาว่า “แล้วคุณล่ะ ?”
“ผมหรอ ? แน่นอนว่าผมเป็นคนที่มีความสามารถและความกล้าหาญอยู่ภายในตัว! ไม่งั้นผมจะมานอนอยู่กับคุณแบบนี้ได้ยังไง” ซู่เจินหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นนาตาชาก็ส่ายหัวขึ้นมาและพูดว่า “ฉันรู้นะว่าคุณเป็นคนที่ชอบการสะสม และตราบใดที่เป็นผู้หญิงสวย ๆ คุณก็อยากจะเก็บสะสมมันเอาไว้ และในไม่ช้าก็เร็วรอบ ๆ ตัวของคุณก็จะเต็มไปด้วยผู้หญิงมากมายขึ้นเรื่อย ๆ”
“เอ่อ… ผมยอมรับก็ได้ว่าผมเป็นอย่างที่คุณบอก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คุ้มค่าจริงไหม ?” ซู่เจินบีบไปที่คางของนาตาชาเล็กน้อย และบังคับให้สายตาของเธอมองมาที่เขา
“ในกรณีนี้ฉันก็ควรจะภูมิใจในตัวเองสินะ เพราะอย่างน้อยฉันก็ยังมีคุณค่าเหมาะแก่การสะสมของคุณ” นาตาชามองไปที่ซู่เจินและค่อย ๆ พูดขึ้นมาต่อว่า “ฉันรู้สึกว่าฉันจะเสียเปรียบคุณมากเกินไปแล้ว และฉันก็กลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งของคุณไปเรียบร้อยแล้วด้วย ดังนั้นคุณจะต้องทําให้ฉันพอใจมากกว่านี้!”
หลังจากพูดจบ นาตาชาก็ลุกขึ้นมาและกระโดดค่อมไปบนตัวของซู่เจินอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเทศกาลขี่ม้าในทันที
รุ่งเช้าวันต่อมา
ณ ฐานของพันธมิตรสงคราม
ในเวลานี้ฐานเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
ในขณะเดียวกันซู่เจินที่กําลังกอดนาตาชาเอาไว้ในอ้อมแขนก็กําลังบินกลับมาที่ฐานอย่างรวดเร็ว โดยมีฟอลคอนบินกําลังบินตามหลังเขามาอย่างติด ๆ ซึ่งเมื่อซู่เจินลองมองจากระยะไกลเขาก็สามารถมองเห็นตึกที่สูงตระหง่านตั้งอยู่ด้านหน้าของเขา
ซึ่งด้านบนของตัวตึกมีคําว่า “สงคราม” ขนาดใหญ่สลักเอาไว้ ทําให้ตัวตึกมันสะดุดตาเป็นอย่างมาก
“ที่นี่คือฐานของพันธมิตรสงครามอย่างงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่ามันใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ” นาตาชามองไปที่เกาะด้านล่างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ซึ่งที่นี่มันใหญ่ยิ่งกว่าฐานของ SHIELD ซะอีก
“ผมคิดว่าอาทิตย์หน้าก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ” ซู่เจินพูดขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปด้านหน้าและพูดขึ้นมาต่อว่า “ยานบินของผมอยู่ตรงนั้น และตอนนี้คนของผมทั้งหมดก็กําลังรวมตัวกันอยู่ที่นั่น”
หลังจากนั้นซู่เจินก็เริ่มเร่งความเร็วของเขา ทําให้หลังจากนั้นไม่นานเขาก็บินไปถึงประตูของยานบินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นประตูมันก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในยานบิน
และเมื่อเข้าไปในยานบิน ซู่เจินก็โทรจิตไปหาทุกคนและบอกให้พวกเขามารวมตัวกันที่นี่
บริ้งค์ , แมโร , เฉินห่าวหราน , บลิซซาร์ด , ศาสตราจารย์ลิซาร์ด , เป็ปเปอร์ , ดาร์กเอลฟ์ และ แบล็คสมิท [ เอลเลียต แรนดอล์ฟ ]
ซึ่งในตอนนี้พวกเขากําลังสวมเครื่องแบบสีดําของพันธมิตรสงคราม โดยยกเว้นเป็ปเปอร์เอาไว้คนหนึ่งที่ไม่ได้สวมใส่มัน
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ซ่เงินได้เห็นพวกเขาในชุดแบบนี้ ซึ่งมันก็ทําให้เขาถึงกับตกตะลึงในแวบแรก ทันใดนั้นชุดของซู่เจินก็เปลี่ยนเป็นชุดออกรบของเขาในทันที
“นี่แม่ม่ายดํา ชื่อว่านาตาชา ส่วนอีกคน ฟอลคอน ชื่อว่าแซม” ซู่เจินชี้ไปที่นาตาชาและแซมพร้อมกับแนะนําตัวของพวกเขาขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็แนะนําบริ้งค์และคนอื่น ๆ ให้กับนาตาชาและแซมรู้จัก
ในช่วงเช้าซู่เจินพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้นาตาชาเข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นนาตาชาก็ยังไม่ยอมตกลงอยู่ดี เพราะเธอกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับซู่เจิน ซึ่งเมื่อซู่เจินเห็นว่าเกลี้ยกล่อมไป มันก็ไม่ได้ผลเขาก็หันไปเล่าความจริงบางอย่างให้เธอฟังว่า SHIELD จะล่มสลายอีกไม่นานหลังจากนี้
ซึ่งเมื่อนาตาชาได้ยินคําพูดของซู่เจินมันก็ทําให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก และเธอก็เชื่อด้วยว่าซู่เจินจะไม่โกหกเธออย่างแน่นอน ซึ่งไม่นานมานี้เธอก็เพิ่งจะพบอะไรบางอย่างผิดปกติเช่นกัน แต่เธอก็ยังไม่ได้ตรวจสอบมันอย่างละเอียด
ส่วนเรื่องของแซมนั้นง่ายกว่ามาก เพราะว่าตอนนี้เขาได้เข้าร่วมกับพันธมิตรสงครามไปเรียบร้อยแล้ว
และนอกจากนาตาชาและแซมแล้ว ซู่เจินก็วางแผนจะเอาใครบางคนเข้าร่วมกับเขาด้วย แต่คน ๆ นี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ในขณะนี้ “บริ้งค์ เดี๋ยวคุณช่วยพานาตาชาและแซมไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยนด้วย ส่วนผมจะออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง และไม่แน่อาจจะพาคนกลับมาด้วย”
หลังจากอธิบายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็หันหลังและเดินจากไปทันที
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปไหน แต่เขากลับไปที่ห้องนอนของเขา
หลังจากเขามาในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ซู่เจินก็กดเข้าสู่สนามประลองในทันที
ซึ่งภายในสนามประลองในตอนนี้ รูปภาพของแคลร์ก็สว่างขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และหลังจากที่เขากดสั่งการด้วยความคิด ทันใดนั้นร่างของแคลร์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา
“คุณจําที่ผมพูดเอาไว้ได้ไหม ผมเคยบอกว่าผมจะพาคุณไปเปิดโลกใหม่!” ซู่เจินหันไปพูดกับแคลร์
แคลร์พยักหน้าและพูดว่า “แน่นอนว่าฉันจําได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี…”
“อันที่จริงผมไม่ใช่คนที่อยู่ภายในโลกของคุณ ผมมีความสามารถในการเดินทางไปยังโลกต่าง ๆ ได้ ซึ่งโลกที่ผมอยู่จริง ๆ มันเต็มไปด้วยฮีโร่อยู่มากมาย และแน่นอนว่ารวมถึงความสามารถพิเศษต่าง ๆ มากมายด้วยเช่นกัน และถ้าเกิดว่าคุณคอยช่วยเหลือผู้คนภายในโลกของผม คุณจะถูกยกย่องว่าให้เป็นฮีโร่ และถึงแม้ว่าคุณจะมีความสามารถพิเศษกอย่าง คุณก็จะไม่ถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดและเลือกปฏิบัติอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม … พวกเขาจะอิจฉาคุณและเทินทูนคุณ”
“และถ้าเกิดว่าคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ และไม่เป็นสัตว์ประหลาดในสายตาของคนอื่น ๆ แต่ถูกเคารพในฐานะของฮีโร่ ผมก็จะพาคุณมาที่โลกของผม!”
“แล้ว …ฉันจะกลับมายังโลกเดิมของฉันได้ไหม ?”
คําพูดของซู่เจินทําให้แคลร์รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเกิดว่ามีโลกแบบนั้นอยู่จริง ๆ แล้วทําไมเธอจะไม่ไปล่ะจริงไหม ?
อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะรู้ความลับของเธอ และเธอก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
“ถึงแม้ว่ามันจะยังมีข้อจํากัดอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็สามารถส่งคุณกลับไปยังโลกเดิมได้”
“แล้วคุณ … คุณจะพาฉันไปยังโลกของคุณเมื่อไหร่ ?” เมื่อความกังวลหายไป แคลร์ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ในพริบตา!”
ซู่เจินยิ้มขึ้นมาพร้อมกับออกคําสั่งกับระบบขึ้นมาภายในจิตใจของเขา
ทันใดนั้นมันก็มีล่าแสงปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของแคลร์เอาไว้ ทําให้แคลร์ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย และพยายามที่จะหลบหนีไปจากมันโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พบว่าเธอไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เลย ทําให้พลังงานภายในลําแสงอันนั้นเริ่มไหลเข้าสู่ร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว ทําให้เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของเธอค่อย ๆ เงียบหายไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลําแสงมันก็ค่อย ๆ หายไป
แคลร์ยกมือของเธอขึ้นมาพร้อมกับมองไปที่ตัวของเธอและถามขึ้นมาด้วยความมึนงงว่า “ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย ?”