บทที่ 75 จริงหรือหลอก

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

“นี่ พ่อต้าซุ่น พูดอะไรหน่อยสิ พวกเราควรทำเช่นไรกันดี” แม่นางโจวมีท่าทีร้อนรนเหมือนกระต่ายตื่นตูม หากถามว่าใครทำตัวแย่กับกู้เจียวมากที่สุดแล้วล่ะก็ไม่พ้นแม่นางอู๋กับแม่นางโจวนี่ล่ะ

แม่นางหลิวก็ไม่แพ้กัน เพียงแต่ปกตินางไปลงกับกู้เสี่ยวซุ่นเสียส่วนใหญ่

มีประโยคนึงที่ว่า “จะทำอะไรก็ต้องไปให้สุดทาง” คนเราพอมีความโกรธถึงขีดสุด ต่อให้เป็นเรื่องที่ไร้สติแค่ไหนก็สามารถกระทำออกมาได้ เช่นเดียวกับความหวาดกลัว คนเรายอมทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเอาตัวรอดให้ได้

กู้ฉังไห่ทำใจดีสู้เสือพลางเอ่ยออกมา “ส่งเยว่เอ๋อร์ไปแทน”

“ห้ะ” แม่นางโจวอึ้งกับคำตอบของเขา

แม่นางอู๋กับกู้ฉังลู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน

นี่พวกเขาฟังผิดใช่ไหม นี่เขาจะส่งมอบลูกตัวเองแทนกู้เจียวเนี่ยนะ

“ไม่ได้นะพี่ใหญ่!” กู้ฉังลู่รีบแสดงท่าทีปฏิเสธก่อนใครเพื่อน

ถ้าไม่นับว่าเขาเห็นแก่กู้ซานหลังที่ไปสวรรค์แล้ว ก็แปลว่าเขาขี้ขลาดเกินที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้

แม่นางหลิวเองก็ไม่เห็นดีเห็นงามเช่นกัน ก็ไม่ใช่ลูกตัวเองนี่นาที่จะได้ไปเป็นคุณหนูตระกูลสูงส่ง เลยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร เสี่ยงจะตาย ไม่เอาด้วยหรอก!

ขณะที่แม่นางอู๋ผู้เป็นย่ากับแม่นางโจวผู้เป็นแม่ไม่ได้ออกความเห็นอะไร เพราะพวกเขาเห็นว่าตัวเองจะได้ประโยชน์อะไนจากการทำเช่นนี้

อีกทั้ง พวกนางไม่ใช่คนขี้ขลาด

กู้ฉังไห่พยายามพูดโน้มน้าวน้องชายและน้องสะใภ้ “พวกเจ้าไม่คิดเผื่ออนาคตของตัวเองหน่อยหรือ อย่างน้อยก็นึกถึงอนาคตของเจ้ากู้เอ้อซุ่นเสียหน่อยสิ เด็กนั่นก็จัดว่าเป็นเด็กฉลาด เพียงแต่ต้าซุ่นเป็นพี่คนโตสุดเลยได้ไปเรียนหนังสือก่อนเท่านั้น เป็นเพราะพวกเราส่งเด็กไปเรียนหนังสือสองคนไม่ไหว กู้เอ้อซุ่นเลยพลาดโอกาสไป ถ้าส่งเย่ว์เอ๋อไปอยู่ที่จวนโหวล่ะก็ ข้ารับรองว่ากู้เอ้อซุ่นจะได้ไปเรียนหนังสือที่เมืองหลวงอย่างแน่นอน! ดูหน่วยก้านของเขาสิ ยังไงก็ไปได้ไกลอยู่แล้ว”

ประโยคนี้แทงใจแม่นางหลิวอย่างมาก

นางวาดฝันไว้อย่างดีว่าอยากให้ลูกชายตนเองได้ดิบได้ดี และนางก็เชื่ออย่างยิ่งมากว่ากู้เอ้อซุ่นจะต้องประสบความสำเร็จ แต่ดันถูกกู้ต้าซุ่นสกัดดาวรุ่งเสียก่อนนี่สิ!

กู้ฉังไห่เอ่ยต่อ “ในเมื่อเราไม่ได้สนิทสนมอะไรกับลูกสาวของซานหลัง ดังนั้นพวกเราคงหวังพึ่งอะไรนางไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมีโอกาสเป็นไปได้ที่ท่านโหวจะส่งตัวนางกลับมา! แล้วก็อย่าได้คาดหวังด้วยว่าท่านโหวจะจ่ายเงินตอบแทนพวกเรา พวกเขาเองบ่มเพาะเลี้ยงดูลูกของซานหลังมาอย่างดี แล้วพวกเราล่ะ เลี้ยงเจียวเหนียงมาดีแบบเขาหรือไม่ มาคิดๆ ดูแล้ว ดูเหมือนต้องเป็นพวกเราเสียมากกว่าที่ต้องจ่ายให้พวกเขาน่ะ”

พอได้ยินเรื่องเงิน นายรองกู้ถึงกับหน้าถอดสี

กู้ฉังไห่เอ่ยต่อ “แต่ถ้าพวกเราส่งเย่ว์เอ๋อไป ให้นางพูดถึงพวกเราดีๆ อย่างไรเสียพวกจวนโหวก็ต้องฟังนางอยู่แล้วใช่ไหม เย่ว์เอ๋อเป็นเด็กที่พวกเจ้าเลี้ยงดูมาเอง อุปนิสัยของนางพวกเจ้าน่าจะรู้ดีที่สุด แถมนางยังสนิทกับสะใภ้รองที่สุดอีกด้วยมิใช่หรือ!”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ แม่นางหลิวก็เริ่มทำท่ายืดหลังเชิดคอ

แม้ความสัมพันธ์ของเย่ว์เอ๋อกับแม่นางหลิวอาจยังไม่ถึงขั้นสนิทที่สุด แต่เป็นเพราะเย่ว์เอ๋อเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ว่องไวกระฉับกระเฉง แม่นางหลิวจึงไม่รังเกียจนาง แถมทั้งคู่ก็ยังไม่เคยมีเรื่องผิดใจกันอย่างใด

แม่นางโจวรีบเอ่ยเสริม “ใช่แล้ว เย่ว์เอ๋อน่ะชอบบอกข้าว่านางชอบสะใภ้รองที่สุด! แถมยังชมว่าสะใภ้รองเป็นคนสวย! สวยกว่าข้าอีกน่ะ!”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน แม่นางโจวไม่มีทางยอมรับหรอกว่าแม่นางหลิวสวยกว่านาง แต่ตอนนนี้นางทำไปก็เพื่อจะกล่อมแม่นางหลิวให้คล้อยตาม

และแน่นอนว่า แม่นางหลิวคล้อยตามจริงๆ นางทำหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลางเอ่ยถาม “ใครกันจะไม่หลงรักเด็กอย่างเย่ว์เอ๋อได้ล่ะ”

หลังจากที่โน้มน้าวแม่นางหลิวได้แล้ว กู้ฉังไห่พลันหันหน้าไปทางกู้ฉังลู่ “เจ้าสองเอ๋ย พี่ใหญ่รู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบงานเกษตร เจ้าชอบทำธุรกิจ ถ้าเย่ว์เอ๋อได้ไปอยู่ที่จวนโหวแล้ว ให้นางช่วยเจ้าซื้อพื้นที่ร้านค้าที่ดีที่สุดในเมืองหลวง เจ้าอยากขายอะไรก็ขายได้เลย”

พอได้ยินดังนี้ กูฉังลู่ถึงกับพูดไม่ออก

เขารู้สึกผิดต่อซานหลังก็จริง แต่ว่า…เขาอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองใจจะขาด

“แล้วพ่อล่ะ…” แม่นางหลิวเอ่ยปากถาม

กู้ฉังไห่รู้นิสัยของนายใหญ่กู้ดี เขาไม่ได้เอ็นดูกู้เจียวมาแต่ไหนแต่ไหร่ ซ้ำยังให้ความสำคัญบุตรชายบุตรสาวไม่เท่ากัน แต่ถ้าให้เขามาทำเรื่องแบบนี้ล่ะก็ เขาไม่ทำแน่นอน

“เดี๋ยวข้าค่อยพูดกับเขาเอง”

แม่นางหลิวรีบเบะปากค้อน “เช่นนั้นเจ้าเป็นคนรับผิดชอบเองนะ อย่าลากพวกเราไปเอี่ยวด้วยล่ะ!”

กู้ฉังไห่เค้นเสียงหัวเราะ “วางใจเถอะน่าสะใภ้รอง ข้าเป็นคนต้นคิด ถ้านายใหญ่กู้จะด่าก็ให้มาลงที่ข้านี่”

“แล้วคนของจวนโหวจะไม่สงสัยรึ” กู้ฉังลู่โพล่งถามขึ้น

กู้ฉังไห่หัวเราะ “เป็นไปไม่ได้หรอก ใครจะไปคาดถึงล่ะว่าพวกเราจะใจกล้าหน้าด้านขนาดนี้ อีกทั้งคนที่มาหาน่ะ เขาคงถามไถ่คนในหมู่บ้านหมดแล้วถึงได้ตามหาพวกเราเจอ เขาคงไม่เอาไปถามใครอีกแล้วล่ะ”

แม่นางโจวเอ่ยถามต่อ “แล้วถ้าพวกเขาใช้วิธีตรวจเลือดล่ะ ข้าเคยได้ยินมา”

กู้ฉังไห่หัวเราะหนักขึ้นกว่าเดิม พลางเอ่ยตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายเลยสิ เย่ว์เอ๋อกับลูกของซานหลังก็ถือว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน ถึงเวลาค่อยให้เย่ว์เอ๋อหาวิธีสับรางก็ได้นี่ เท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว”

พวกเขาเอาแต่บงการชีวิตของกู้เจียวกับกู้เย่ว์เอ๋อ เหมือนกับตอนที่พวกเขาบงการให้กู้เจียวแต่งงานกับเซียวลิ่วหลัง คิดเองเออเองโดยที่ไม่ถามพวกเขาสักคำ

กู้เย่ว์เอ๋อได้แต่ร้องไห้สะอื้น นางไม่อยากต้องไปเป็นลูกสาวบ้านคนอื่น ไม่ว่าแม่นางโจวแลแม่นางหลิวจะพูดโน้มน้าวอย่างไร เย่ว์เอ๋อก็ไม่ยอมฟัง กู้ฉังไห่ถึงกับลงมือฟาดนางไปที เย่ว์เอ๋อถึงได้ยอม

แม่นางโจวนำชุดสวยๆ มาเปลี่ยนให้เย่ว์เอ๋อใส่ ส่วนแม่นางหลิวนำเครื่องประดับที่แม่นางสวีสะสมไว้ นำมาใส่ให้เย่ว์เอ๋อ

ใบหน้าของเย่ว์เอ๋อตอนนี้เป็นสีแดง อีกทั้งรอบตาที่บวมเป่งจากการร้องไห้หนักหน่วง ใบหน้าของนางไม่มีร่องรอยจากที่โดนกู้ฉังไห่ตบเมื่อครู่ เพราะเขาตบเข้าไปที่ตำแหน่งขมับด้านข้าง

พวกเขาเตรียมคำอธิบายสภาพของเย่ว์เอ๋อไว้แล้วว่า เป็นเพราะนางรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็เลยมีอาการเศร้าโศก

หวงจงเมื่อเห็นดังนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา นางเกิดและโตที่นี่ ไม่แปลกที่จะเกิดความผูกพันธ์

เขาแค่คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่มาเปิดประตูให้เขานั้นก็คือคุณหนู การแต่งตัวของนางก่อนหน้านั้นออกจะดูโทรมไปเสียหน่อย สีหน้าท่าทางดูหวาดกลัว ให้กลิ่นอายสาวน้อยชนบท

หวงจงอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบนางกับคุณหนูกู้จิ่นอวี้ผู้สง่า พลางถอนหายใจเบาๆ

กู้เย่ว์เอ๋อเอาแต่ร้องไห้

หวงจงจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านโหวยังไม่คิดจะพาตัวนางไปเลยหรอกขอรับ วันนี้ที่ท่านมาก็เพื่อจะมาขอเจอก่อน แต่ถ้าเจ้าไม่อยากไปจริงๆ ล่ะก็…”

แม่นางอู๋รีบแย้ง “ไม่มีอะไรหรอกท่าน! ขึ้นชื่อว่าครอบครัว ก็ต้องอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาสิ! จะมาเสียดงเสียดายอะไรกันเล่า ท่านโหวต่างหากคือพ่อที่แท้จริงของนาง!”

หวงจงเปิดม่านรถม้าให้นางด้วยตนเอง “เชิญคุณหนูขึ้นรถม้าขอรับ”

กู้เย่ว์เอ๋อได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับ แม่นางอู๋จึงดันตัวนางออกไป “ไปเถอะๆ เยว่…เอ้ย เจียวเหนียง”

แม่นางโจวกับแม่นางหลิวช่วยกันพยุงร่างเย่ว์เอ๋อขึ้นรถม้า

นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่กู้เย่ว์เอ๋อถูกคนในบ้านให้ความสำคัญมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา ราวกับทุกคนมองนางเป็นพระโพธิสัตว์มาช่วยกอบกู้ตระกูลยังไงยังงนั้น แต่เย่ว์เอ๋อกลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่นิด

นางไม่อยากย้ายบ้าน ไปที่ๆ ไม่รู้จัก

พวกเขาสนเสียที่ไหนว่านางจะเป็นตายร้ายดียังไง เอาแต่ฝันหวานหาผลประโยชน์เข้าตัว

กู้ฉังไห่เอ่ยเร่ง “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว รีบไปรีบมาล่ะ”

ไม่ใช่อะไร ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ ประเดี๋ยวนายใหญ่กู้จะกลับมาเสียก่อน คราวนี้เย่ว์เอ๋อก็ไปไหนไม่ได้แล้ว

พวกเขามั่นใจว่าหวงจงกับกู้เย่ว์เอ๋อไม่ได้เจอกับนายใหญ่กู้แน่นอน แต่ดันคาดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับกู้เสี่ยวซุ่นที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากสำนักบัณฑิต!

กู้เสี่ยวซุ่นเดินเอกเขนกแกว่งกระเป๋าหนังสือมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนของตน

กู้ฉังไห่เมื่อเห็นดังนั้นก็เลิกคิ้วถาม “เสี่ยวซุ่น ทำไมวันนี้กลับมาเร็วล่ะ”

เซียวลิ่วหลังต้องไปสอบระดับจวน กู้เสี่ยวซุ่นจึงกลับมาคนเดียว เขาไม่ได้ขึ้นรถเกวียนของลุงหลัว และดูเหมือนว่าฝีเท้าของเขาจะเร็วกว่ารถเกวียนเสียอีก!

รถม้าของหวงจงกำลังจะพ้นหมู่บ้านแล้ว แม่นางโจวจึงรีบเอ่ย “เขาคงไม่ทันได้เห็นหรอก”

กู้เย่ว์เอ๋ออยู่บนรถม้า มีหรือที่กู้เสี่ยวซุ่นจะไม่มือซนไปเปิดม่านรถม้าเข้าจนได้น่ะ