หวงจงเอ่ย “พวกท่านวางใจเถิด ข้ามิได้มาร้าย อาจจะฟังดูกะทันหันไปเสียหน่อย แต่ข้าขอพบนางได้หรือไม่”
“ไม่ได้” กู้ฉังลู่ปฏิเสธทันควัน
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนี้ แล้วเขาจะพานางไปหาท่านโหวได้อย่างไร จะให้เขาทุบหัวคนพวกนี้ให้สลบไปทั้งหมดแล้วลักพาตัวนางออกมาก็เกรงว่าจะโหดร้ายเกินไป
และที่สำคัญ เขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร!
จากที่พวกเขาเล่ามา หวงจงมั่นใจว่าต้องใช่นางแน่ๆ แต่กระนั้นแล้ว เขามิอาจทำอะไรโดยไม่คิดถึงหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่เลี้ยงดูนางมาได้
เขาค่อยๆ เอ่ยถามอย่างใจเย็น “แล้วพ่อแม่เด็กอยู่ที่ใดหรือ ข้ามีเรื่องต้องพูดกับพวกเขา”
แม่นางอู๋ตอบ “พ่อแม่ของนางไปสวรรค์แล้ว ข้าเป็นย่านาง เลี้ยงนางมาเองกับมือ! ถ้าท่านมีคำถาม ก็มาถามข้านี่!”
นี่นางสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เด็กเลยหรือ หวงจงเริ่มสับสนเล็กน้อย พลางครุ่นคิดสักพัก แล้วเอ่ยถามต่อ “ข้าขอเข้าไปคุยด้านในได้หรือไม่”
แม่นางอู๋จึงพาหวงจงเข้าไปในเรือน
หวงจงไล่ถามเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่นางเกิดในวัด โดยเฉพาะเรื่องที่แม่นางสวีอุ้มท้องโตเดินขึ้นภูเขา
และเขาก็ได้ความมาว่า แม่นางสวีแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นคนของหมู่บ้านแห่งนี้ แต่แต่งงานแล้วมาลงหลักปักฐานที่นี่ อยู่มาวันหนึ่งแม่นางสวีได้รับจดหมายจากทางบ้านว่าบิดาของนางป่วยหนัก บอกให้นางกลับไปยังบ้านเกิด
แต่ด้วยความที่นางกำลังตั้งท้อง ทางนี้ก็ไม่ยอมให้นางเดินทางไกล นางจึงใช้วิธีเดินทางไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแทน
นางเดินทางไปยังวัดโดยหลอกแม่ยายไปว่าขึ้นเขาไปเก็บผัก วางแผนไว้ว่าจะกลับก่อนฟ้ามืด แต่ดันเกิดฟ้าฝนคะนอง แม่นางสวีเลยติดอยู่ในวัด ซ้ำยังหกล้มที่นั่นด้วย
ที่ฮูหยินโหวคลอดก่อนกำหนดนั้นเกิดจากครรภ์แฝด ส่วนของแม่นางสวีนั้น เป็นเพราะอุบัติเหตุนี่เอง
พวกคนในตระกูลกู้ไม่มีใครรู้เลยว่านางเดินทางไปยังวัด พอเห็นว่าฝนตกหนัก นางยังไม่กลับมาที่เรือนเสียที กู้ซานหลังร้องจะออกไปตามหานางจะเป็นจะตาย แต่กลับถูกพี่ชายทั้งสองห้ามไว้
เข้าป่าช่วงฝนตกหนัก รนหาที่ตายชัดๆ!
สองวันต่อมา แม่นางสวีก็กลับมาที่เรือนพร้อมกับทารก เป็นผู้หญิง มีรอยปานแดงบนใบหน้า หน้าตาอัปลักษณ์ราวกับว่าไม่ใช่ลูกของกู้ซานหลังอย่างไรอย่างนั้น
กู้ซานหลังขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มรูปงามหน่วยก้านดี เป็นที่หมายปองของหญิงสาว แต่สุดท้ายเขาก็เลือกแม่นางสวี เพราะสินสอดของนางเยอะที่สุด
แม่นางอู๋เคยสงสัยแม่นางสวีว่าหรือที่จริงแล้วนางทำเด็กตาย แล้วไปเก็บเด็กที่ไหนไม่รู้ว่าเพราะกลัวว่าจะโดนด่า
แต่แม่นางสวีเป็นคนซื่อสัตย์ นางพูดเองว่าเด็กคนนี้เป็นลูกแท้ๆ ของนาง หากไม่เชื่อ ให้ไปถามเจ้าอาวาสที่วัดได้
แม่นางอู๋ถึงกับลากแม่นางหลิวขึ้นไปถามเจ้าอาวาสที่วัดด้วยตนเองเพื่อยืนยันว่าเด็กนั่นเป็นลูกของแม่นางสวีจริงๆ แถมตอนคลอดทารกร้องเสียงดังไปทั่วทั้งวัด
‘ไม่ได้เก็บมาเลี้ยงหรอกรึ’ แม่นางอู๋ถามไปตรงๆ
พระภิกษุหัวเราะ พลางเอ่ยตอบ “โยมรู้หรือไม่ ว่าวันนั้นมีฮูหยินอีกคนมาทำคลอดที่วัดนี้เหมือนกัน เป็นตระกูลสูงส่งจากเมืองหลวง ใครจะกล้าเก็บลูกเขามาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะโยม”
แม่นางอู๋เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรต่อ
ลูกของบ้านตระกูลสูงส่ง มูลค่ามหาศาลยิ่งกว่าทองคำอีก อย่าว่าแต่เก็บได้เลย แค่คิดจะขโมยมาก็ยากแล้ว
พอหวงจงฟังเรื่องราวถึงตรงนี้ เขามั่นใจเต็มที่แล้วว่าเด็กคนนี้คือคนที่เขากำลังตามหาอยู่
และดูเหมือนว่าแม่นางสวีเองก็ไม่รู้ว่าตนเองอุ้มลูกมาผิดคน
“แซ่กู้เหมือนกันอีกด้วย ช่างบังเอิญเสียจริง” หวงจงฟันธงแล้วว่าต้องใช่แน่ๆ จึงรีบเอ่ยถาม “แม่นางสวีกับกู้ซานหลังคงรักและเอ็นดูนางมากเลยสินะ”
ถามอะไรแปลกๆ แม่นางสวีกับกู้ซานหลังรักนางเด็กนั่นยิ่งกว่าอะไรเสียอีก!
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แม่นางอู๋ไม่พอใจ แม่ไก่ไม่ออกไข่อย่างแม่นางสวีเอาแต่ครอบครองผู้ชายแสนดีอย่างกู้ซานหลังไว้คนเดียว พอได้โอกาสมีลูกก็ดันให้กำเนิดตัวอะไรก็ไม่รู้ออกมา
นอกจากจะหน้าตาอัปลักษณ์แล้ว ซ้ำยังโง่อีก
ความโง่ของนางเพิ่งจะมาออกฤทธิ์ตอนโตแล้ว เด็กบ้านอื่นในรุ่นราวคราวเดียวกันเริ่มกระโดดโลดเต้นได้แล้ว แต่เด็กนั่นแม้แต่เดินยังเดินไม่เป็น สามขวบนู่นเพิ่งจะหัดพูดเรียกแม่ได้
แต่ดูเหมือนทั้งแม่นางสวีและกู้ซานหลังกลับมองข้ามข้อบกพร่องตรงนี้ คอยประคบประหงมดูแลอย่างดี
ช่วงเวลาที่ลำบากในชีวิตของกู้เจียวเพิ่งจะมาเริ่มต้นก็ตอนที่บิดามารดาของนางลาโลกนี้ไป
แน่นอนว่าแม่นางอู๋ไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ออกไปอยู่แล้ว
หวงจงตั้งใจฟังและพยายามเก็บข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา จนไม่ได้สังเกตุท่าทีลังเลของแม่นางอู๋
หวงจงเก็บอาการตื่นเต้นไว้ พลางมองหน้าแม่นางอู๋ แล้วเอ่ย “ว่ากันตามตรงแล้ว ฮูหยินตระกูลสูงส่งที่ไปทำคลอดที่วัดในวันนั้น เป็นฮูหยินที่ข้ารับใช้อยู่ ส่วนเด็กสองคนที่ว่านั้น ดูเหมือนว่า…มีการสลับกันเกิดขึ้น”
แม่นางอู๋เมื่อได้ยินดังนั้นก็อึ้งจนพูดไม่ออก
“ข้า ข้า…ข้าไม่เข้าใจ ท่านพูดอีกรอบซิ” แม่นางอู๋ถามอย่างตะกุกตะกัก
หวงจงหัวเราะ แล้วเอ่ยต่อ “ลูกสาวของกู้ซานหลัง คือคุณหนูของตระกูลข้า”
แม่นางอู๋อ้าปากค้าง “แล้วตระกูลท่านคือ…”
“จวนติ้งอันโหวขอรับ” หวงจงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
เปรี้ยง!
ทุกคนต่างพากันรู้สึกสะดุ้งราวกับว่าฟ้าผ่าลงมากลางหัว
ติ้งอันอะไรนั่นพวกเขาไม่รู้หรอก จะรู้ก็แต่แค่
จวน โหว!
นางเด็กบ้านั่นเป็นลูกของจวนโหวงั้นรึ
“จวน จวนโหวที่ว่านั่นใหญ่กว่าท่านขุนนางอำเภอไหม” แม่นางหลิวเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
จวนโหวไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นสถานที่ ท่านโหวต่างหากที่เป็นขุนนาง หวงจงที่ดูเหมือนเข้าใจสิ่งที่แม่นางหลิวต้องการสื่อ จึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
หวงจงไม่ได้อธิบายต่อว่าใหญ่แค่ไหน ต่อให้อธิบายไป พวกเขาก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
หากเป็นคนในเมืองหลวงมาถามคำถามเช่นนี้กับท่านโหว มีหวังได้โดนกระทืบจนตายแน่นอน
ให้คนระดับเขามาเทียบกับขุนนางระดับอำเภอบ้าบออะไรนั่น มันหยามกันชัดๆ
นับว่าหวงจงนั้นเมตตากับพวกตระกูลกู้เลยทีเดียว เห็นแก่ที่พวกเขาเลี้ยงดูคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก หวงจงจึงเอ่ยถามพวกเขาต่อด้วยสีหน้าเบิกบาน “ท่านโหวของข้ารออยู่ในเมือง ข้าขอพาเด็กไปพบกับท่านท่านโหวได้หรือไม่”
พวกเขาตะลึงกับเรื่องที่ได้ยินจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งตกใจที่เด็กนั่นจะกลายเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ทั้งหวาดผวาที่ที่ผ่านมาพวกเขาเอาแต่คอยกลั่นแกล้งนางสารพัด หากท่านโหวล่วงรู้เข้าละก็ มีหวังได้ลากพวกเขาเข้าไปนอนในตารางแน่นอน
และขณะที่พวกเขากำลังงงงวยกันอยู่นั้น กู้ฉังไห่ก็กลับมาที่เรือนพอดี
เขาเห็นแล้วว่าหน้าเรือนมีรถม้าจอดอยู่ จากนั้นก็ได้เห็นใบหน้าถอดสีของแต่ละคน
เขาหันไปเหล่มองหวงจงที่ดูเหมือนเป็นผู้คุมสถานการณ์ในห้อง จากนั้นก็ทำหน้าขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามแม่นางอู๋ “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น”
“พ่อเจ้าล่ะ” แม่นางอู๋ถามพลางชะเง้อไปทางด้านหลัง
กู้ฉังไห่เอ่ยตอบ “พ่อไปหาลุงแล้วให้ข้ากลับมาก่อน”
“คือว่า…” แม่นางอู๋ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นเล่าให้ลูกชายฟังอย่างไรดี
หวงจงแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ พลางยิ้มให้ แล้วเอ่ย “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอร่างจดหมายให้ท่านโหวก่อน ส่วนพวกท่านเจรจากันก่อนว่าจะเล่าให้นางฟังอย่างไรดี หากพวกท่านไม่สะดวกใจที่จะพูด ข้าจะช่วยพูดให้”
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ อย่างน้อยก็ควรให้เวลาพวกเขาได้ทำใจรับมือ แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้นานเกิน ไม่ว่ายังไง วันนี้เขาต้องเจอเด็กคนนั้นให้ได้
พอหวงจงเดินออกไป ฮูหยินสามคนก็ค่อยๆ เล่าเบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงของกู้เจียวให้ฟัง
กู้ฉังไห่พอได้ฟังเข้าก็หน้าถอดสี ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน แต่เรื่องราวที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ก็ออกอาการหนักกว่าฮูหยินสามคนเสียอีก ทั้งหน้าซีดทั้งเข่าอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
ปฏิกิริยาของพวกเขาคงจะดีอยู่หรอกถ้าก่อนหน้าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตัวแย่ๆ กับกู้เจียว แต่ความจริงก็คือ…พวกเขาแทบจะไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง!
มีอะไรดีๆ ก็ไม่เคยแบ่งปันให้นาง ซ้ำยังโยนงานหยาบๆ ให้นางทำอยู่ตลอด ทั้งตัดหญ้าเอย ให้อาหารหมูเอย เก็บขี้หมูเอย…และทุกครั้งนางก็ทำได้แย่ เพราะนางเป็นเด็กโง่ พอตอนหลังพวกก็เลยไม่ได้ให้นางทำต่อ
แถมพวกเขายังชอบทุบตีทำร้ายนางบ่อยๆ มิหนำซ้ำ ยังบังคับให้นางแต่งงานกับหนุ่มขาเป๋ตั้งแต่อายุยังไม่ครบสิบสี่ และบังคับให้พวกเขาแยกออกไปอยู่เอง
เรื่องราวพวกนี้ หากท่านโหวรู้เข้า มีหวังได้หัวหลุดออกจากบ่าแน่นอน