อีกด้านหนึ่ง ท่านโหวกู้ก็ตั้งหลักพักผ่อนที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน
ด้วยความที่เขาเป็นคนมีตำแหน่งหน้าที่ในเมืองหลวง ดังนั้น ตามหลักแล้ว เขาไม่สามารถลากิจได้เป็นเวลานาน แต่ด้วยความที่เป็นเรื่องสำคัญ เขาจึงร่างจดหมายและส่งไปยังเมืองหลวงเพื่อขออนุญาตจากฝ่าบาท
โดยทั่วไปแล้ว ระดับโหวอย่างเขาไม่ได้มีโอกาสได้พบปะกับฝ่าบาทเท่าใดนัก แต่เผอิญว่าน้องสาวแท้ๆ ของเขาดันได้เป็นสนมคนโปรดของพระองค์ ท่านชายรองกู้เลยได้เข้าวังสบายๆ
ฝ่าบาทเองเหมือนจะทราบดีเกี่ยวกับเรื่องของกู้เหยี่ยนที่ดูเหมือนว่าอาการเริ่มจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ฝ่าบาทจึงให้ท่านโหวกู้ลากิจและพำนักที่หมู่บ้านโดยไม่ต้องกังวลและให้เขาจัดการดูแลทางนั้นให้เรียบร้อยเสีย
แต่ฝ่าบาททรงมิได้ตรัสว่าให้เขากลับมายังเมืองหลวงหลังจากเสร็จธุระ…
ท่านโหวกู้ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายใจว่าฝ่าบาทคิดจะเล่นตุกติกกับเขา เพราะเขากำลังว้าวุ่นกับการค้นหาเด็กคนนั้น
เขาเริ่มต้นด้วยการตามหาแม่อุ้มบุญของแม่นางเหยาก่อน
แม่อุ้มบุญผู้นี้เป็นคนที่ถูกเชิญมาจากหมู่บ้านแถวๆ นี้ ใช้เวลาตามหาไม่นานก็สามารถทราบข่าวคราวได้อย่างรวดเร็ว
เว้นเสียแต่ว่า แม่อุ้มบุญผู้นี้ได้ย้ายถิ่นฐานไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ได้ข่าวว่าพออุ้มบุญให้ตระกูลคนรวยก็ได้ค่าตอบแทนมหาศาล จากนั้นก็ย้ายไปลงหลักปักฐานในเมือง
ตอนที่หวงจงได้เจอกับครอบครัวนั้นก็พบว่าแม่อุ้มบุญที่ว่าได้เสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน คนรอบตัวนางน้อยคนนักที่รู้เรื่องที่นางไปรับอุ้มบุญที่วัด
แม้ท่านโหวกู้รู้ดีว่าย้อนเวลาแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่ลึกๆ ยังคงมีความหวังว่าจะได้พบหน้าเด็กคนนั้น และออกตามหาต่อที่หมู่บ้านรอบๆ ซึ่งทำให้เขาได้เบาะแสเพิ่มเติม
เด็กที่คลอดในวัดมีทั้งหมดห้าคน มีเด็กอายุสิบแปดขวบ สิบเก้าขวบ และเจ็ดขวบ ซึ่งเด็กสามคนที่ว่านี้อายุยังไม่ใช่ ส่วนเด็กอีกสองคน อายุของพวกเขาตรงกับที่ท่านโหวกู้ตามหา พวกเขาเป็นเด็กที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่งฮวาและหมู่บ้านชิงเฉวียนที่อยู่ตรงชายเขา
ทหารคนสนิทของท่านโหวกู้ นามหวงจง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านซิ่งฮวาก่อน ปรากฏว่า เด็กคนนั้นดันเป็นเด็กผู้ชาย แถมเดือนเกิดไม่ถูกต้องด้วย
เด็กชายเกิดเดือนแปด ที่ถูกต้องควรจะเป็นเดือนสิบ เพศหญิง
ทีนี้ ก็จะเหลือแค่เด็กในหมู่บ้านชิงเฉวียนที่ยังไม่ได้ตามหา
ถ้าครั้งนี้เขายังหาไม่เจออีก เขาคงต้องตามหาต่อไปเรื่อยๆ นอกเหนือจากหมู่บ้านชิงเฉวียน นั่นก็แปลว่าขอบเขตการค้นหาก็จะกว้างมากขึ้น
“ท่านโหวขอรับ” หวงจงเอ่ยเรียกเขา หวงจงผู้นี้เป็นทหารคนสนิทของเขา เป็นคนที่กู้โหวเย่ไว้ใจให้ติดตาม “ท่านโหวขอรับ หมู่บ้านชิงเฉวียนอยู่ตรงอีกฝั่งของภูเขา เกรงว่าว่าจะต้องเดินอ้อมไป…”
หวงจงแค่รู้สึกว่า ความเป็นไปได้ที่จะเจอนั้นยากนัก
ท่านโหวกู้เองก็คิดเช่นนั้น ถึงได้วางตารางหมู่บ้านชิงเฉวียนไว้เป็นที่สุดท้าย
“เจ้าลองไปดูก่อน ถ้าไม่ใช่อย่างไรก็ค่อยกลับมา อย่าแพร่งพรายให้ใครได้รู้ ถ้าเกิดใช่ล่ะก็…ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ร้านน้ำชาในเมือง”
“ขอรับ”
หลังจากที่หวงจงรับคำสั่งแล้ว ก็รีบขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชิงเฉวียน
หวงจงเป็นบุรุษวัยกลางคนอายุราวสี่สิบ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้ายิ้มแย้ม สามารถสร้างความประทับใจและน่าไว้วางใจให้กับผู้คนที่พบเจอเขาครั้งแรกได้
“นั่นลูกของพวกตระกูลกู้นี่นา!” ลุงเฒ่าโพล่งขึ้นขณะที่กำลังยืนตากแดดร้อนๆ อยู่ตรงหน้าเรือนอาศัยแห่งหนึ่ง ที่หวงจงคาดว่าน่าจะเป็นเรือนของลุงเฒ่าผู้นี้
ลุงเฒ่าที่ว่านี้แม้มักจะมีอาการขี้หลงขี้ลืม แต่เขาจำเรื่องในอดีตได้ว่าตระกูลกู้มีลูกที่กำเนิดในวัดแห่งนี้
“ตระกูลกู้ไหนรึ” หวงจงเอ่ยถาม
“นายอากร! นายอากรกู้!” ลุงเฒ่าโบกไม้โบกมือพลางช่วยชี้ทาง
มีตระกูลกู้อีกรึนี่ ช่างบังเอิญเสียจริง
หวงจงขอบคุณลุงเฒ่าคนนั้น จากนั้นก็นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปที่เรือนตระกูลกู้
กู้ต้าซุ่นกับกู้เสี่ยวซุ่นออกไปเรียนหนังสือแล้ว ส่วนนายอากรกู้พากู้ฉังไห่ไปที่ศาลาว่าการเพื่อไปขนข้าวสารอาหารแห้ง ส่วนกู้ฉังลู่กับกู้เอ้อซุ่นไปหว่านข้าวที่ท้องนา เหลือแค่กู้เยว่เอ่อร์กับพวกสะใภ้ไม่กี่คนที่อยู่เฝ้าเรือน
คนที่มาเปิดประตูต้อนรับคือกู้เยว่เอ่อร์
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้เยว่เอ่อร์เห็นราชรถมาเกยอยู่ที่หน้าเรือนตนเอง แต่กระนั้นก็ยังอดรู้สึกตะลึงไม่ได้ “ท่าน ท่านมาหาใครรึ”
เมื่อได้เห็นท่าทีตอบรับของเด็กสาวชนบทตรงหน้า หวงจงถึงกับหัวเราะ จากนั้นเอ่ย “นายอากรกู้อยู่ที่นี่หรือไม่”
กู้เยว่เอ่อร์ไม่กล้าพูดกับคนแปลกหน้า จึงรีบวิ่งเข้าไปด้านในแล้วตะโกนเรียก “ท่านย่า! มีคนมาหาท่านปู่น่ะ!”
เหล่าฮูหยินหันมาพร้อมๆ กัน พวกนางกำลังเด็ดพริกอยู่ที่หลังเรือน พอเห็นว่ากู้เยว่เอ่อร์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา แม่นางอู๋จึงเอ็ดไปหนึ่งที “ใครมาหาปู่เจ้าล่ะ”
กู้เยว่เอ่อร์ชี้นิ้วไปทางประตู พลางเอ่ย “ใครก็ไม่รู้ ข้าไม่รู้จัก มีรถม้าจอดอยู่ด้วย”
พอได้ยินคำว่ารถม้า ท่าทีของแม่นางอู๋ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
จากนั้นวางมีดลง เอาผ้ามาเช็ดๆ ที่มือ แล้วกุลีกุจอเดินไปยังหน้าประตู
เมื่อเทียบกับรถม้าครั้งก่อนของผู้ดูแลที่มาส่งคำเชิญเข้าศึกษาให้กูเสี่ยวซุ่น รถม้าของหวงจงมีจำนวนม้าเยอะกว่า แม่นางอู๋จึงคิดว่ายศตำแหน่งของหวงจงดูเหมือนจะสูงกว่าของท่านเจ้าสำนักบัณฑิตเสียอีก!
แล้วไฉน คนใหญ่โตเช่นนี้ถึงได้มาเยือนที่นี่ล่ะ
แม่นางอู๋ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลางเอ่ย “ท่านเป็นใครกัน มีธุระอันใดหรือ”
“ข้ามีนามว่าหวงจง ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวท่านมีเด็กที่เกิดในวัด จึงอยากมาถามไถ่เรื่องราวของเด็กคนนั้นเสียหน่อย”
แม่นางอู๋จากที่ยิ้มอยู่นั้นจู่ๆ ก็หุบยิ้มลง
มาหานางตัวซวยสินะ ใครที่มันเกี่ยวพันกับนางเด็กนั่น ต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่นอน!
แม่นางอู๋หน้าดำคล้ำทำท่าจะปิดประตู ทันใดนั้นแม่นางหลิวก็เดินเข้ามา จากนั้นยิ้มให้ แล้วเอ่ย “ถ้าเช่นนั้น จะให้ถามไถ่อย่างเดียวคงมิได้หรอก”
สีหน้าหวงจงยังคงยิ้มแย้มดังเดิม จากนั้นควักถุงเงินขึ้นมา
ฮูหยินทั้งสองพอเห็นดังนั้นก็ทำตาลุกวาว
แม่นางหลิวกำลังจะยื่นมือรับ แต่ดันช้ากว่าแม่นางอู๋ไปแค่จังหวะเดียว!
แม่นางหลิวกัดฟันกรอดๆ
ส่วนแม่นางอู๋พอรับถุงเงินมาแล้วก็ทำหน้าตาสดชื่น พลางเอ่ย “ท่านอยากถามอะไร ถามมาได้เลย!”
“เด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่ เป็นเด็กผู้หญิงใช่หรือไม่”
“สิบสี่! เด็กผู้หญิงเจ้าค่ะ!”
พอเอ่ยจบ คราวนี้เป็นหวงจงที่ทำหน้าตาสดชื่นแทน “เกิดเดือนไหนรึ”
แม่นางอู๋นิ่งไป พลางคิดในใจ ใครจะมานั่งจำเดือนเกิดนางเด็กบ้านั่นได้เล่า
คราวนี้แม่นางหลิวชิงตอบแทน “ข้าข้าข้าข้าข้ารู้!นางเกิดเดือนสิบ!”
เพราะเป็นเดือนเดียวกันกับที่นางท้องกู้เสี่ยวซุ่น แม่นางหลิวเลยจำได้
ในเมื่อเดือนเกิดก็ตรงแล้ว หวงจงเริ่มมีความหวัง และเอ่ยถามต่อ “วันที่เท่าใด”
“สิบแปดหรือสิบเจ็ดนี่ล่ะ” พอเป็นวันที่ แม่นางหลิวชักจะไม่ค่อยมั่นใจ ดูเหมือนจะไม่มีใครจำวันเกิดของนางได้นอกจากกู้เสี่ยวซุ่น
วันที่สิบแปด! แม้แต่วันที่ก็ตรงกับที่ตามหา ชักจะเข้าเค้าเข้าไปทุกที
หวงจงพยายามกดความตื่นเต้นของตัวเองไว้ จากนั้นเอ่ยถามต่อ “แล้วนางเกิดที่วัดใดรึ”
แม่นางหลิวชี้นิ้วขึ้นไป พลางเอ่ย “วัดที่อยู่บนเขานั่นแหละท่าน จะมีที่ไหนอีกล่ะ”
และในตอนนั้นเอง กู้ฉังลู่เดินถือไม้เท่าเข้ามาพอดี
แม่นางหลิวกวักมือเรียกเขา “นี่ๆ เจียวเหนียงเกิดวันที่สิบแปดหรือสิบเจ็ดนะ”
“สิบแปด ถามทำไมรึ” กู้ฉังลู่เอ่ยตอบ พลางใช้สายตาชำเลืองไปที่บุรุษแปลกหน้าและรถม้าของเขา
หวงจงทำหน้าตื่นเต้นดีใจหนักกว่าเก่า ทุกอย่างถูกต้องไปหมด ไม่น่าจะพลาดแล้วล่ะ
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนที่คาดหวังน้อยสุด กลับเป็นคนที่ใช่!
กู้ฉังลู่มาหยุดยืนใกล้ๆ แม่นางอู๋กับแม่นางหลิว และในตอนนั้นเองที่แม่นางโจวเข้ามาร่วมวงด้วย
จะเหลือก็แต่กู้เยว่เอ่อร์ที่ไม่กล้าเข้ามาฟัง ยืนหลบอยู่ในห้องแล้วทำท่าด้อมๆ มองๆ
หวงจงเก็บอาการไว้ไม่อยู่ กู้ฉังลู่สังเกตเห็นท่าทางของเขา จึงเอ่ยถามแม่นางหลิวไปว่า “เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องกู้เจียวได้ล่ะ”
แม่นางหลิวลากกู้ฉังลู่มายืนข้างๆ จากนั้นชี้นิ้วไปที่ถุงเงินในมือของแม่นางอู๋ จากนั้นกระซิบกับเขา “บุรุษผู้นี้มาสืบเรื่องของกู้เจียวน่ะสิ แถมให้เงินด้วย แล้วดูสิ แม่นางอู๋เอาเงินนั่นไปหมดเลย!”
กู้ฉังลู่ถลึงตาใส่แม่นางหลิว ไม่พอใจที่นางใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ็ดมารดาตัวเอง แม้ตัวกู้ฉังลู่เองก็ไม่เห็นด้วยที่แม่นางอู๋รับเงินเขามา
เขาจึงเดินเข้าไปใกล้แม่นางอู๋ พลางเอ่ย “ท่านแม่ พวกเรารับเงินนี่ไว้ไม่ได้หรอก”
แม่นางอู๋กำถุงเงินแน่น พลางเอ่ยย้อน “ทำไมจะรับไว้ไม่ได้ล่ะ”
กู้ฉังลู่หันไปมองหวงจงหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยตอบ “คนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ มาสืบเรื่องกู้เจียวทำไมกัน แล้วถ้าเกิดเขาเป็นคนไม่ดี คิดจะทำไม่ดีไม่ร้ายกับกู้เจียวขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”
แม่นางอู๋เมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดอาการไม่พ่อใจ นางเด็กนั่นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เกี่ยวอะไรกับนางด้วยล่ะ ตายๆ ไปซะก็ดี จะได้ไม่ต้องมาสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลอีก!