ตอนที่ 68 ยามราตรี

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 68 ยามราตรี

ฉังซิงโหวซื่อจื่อเฉาซิงอวี้ยืนห่างออกไปไม่ไกล ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากพร้อมกับแววตาที่ยากเกินหยั่งถึง

ท่ามกลางดอกโบตั๋นที่เบ่งบาน กลิ่นของมันตลบอบอวลไปทั่ว เจียงซื่อที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นกลับรู้สึกถึงความเย็บวาบที่ขั้วหัวใจ

เจียงเชี่ยวก้าวเท้าไปขวางข้างหน้าเจียงซื่อตามสัญชาตญาณ “ที่แท้ก็ท่านพี่เขยนี่เอง ข้ากับน้องสี่กำลังชมดอกไม้กันอยู่พอดีเจ้าค่ะ”

เฉาซิงอวี้เผยรอยยิ้มจางๆ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสีทอง ท่าทางสุภาพอ่อนโยนผิดแปลกไปจากปกติ “ดอกโบตั๋นแปลงนี้ออกดอกสวยสดงดงามกว่าแปลงข้างๆ เสียอีก น้องทั้งสองเชิญชมตามสบาย”

ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น

ภายใต้แขนเสื้อนั้น ปิ่นทองแดงที่เย็นเฉียบและแข็งกระด้างกดอยู่บนผิวอ่อนนุ่มของหญิงสาว

เจียงซื่อกำปิ่นทองแดงในมือแน่น สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่เฉาซิงอวี้ที่กำลังเข้ามาใกล้

เฉาซิงอวี้รูปร่างผอมเพรียว หากถอดเสื้อคลุมยาวสีครามนั้นออกก็จะเห็นร่างบอบบางชวนเวทนา

ใครจะคาดคิดว่าคนเช่นนี้จะทำเรื่องแหกกฎสวรรค์ได้ลงคอ

สัตว์เดรัจฉานในคราบมนุษย์

ในความคิดของเจียงซื่อมีวลีนี้แวบเข้ามา ความกลัวที่เอ่อล้นจากเหตุการณ์ตั้งแต่ภพก่อนหายวับไป ในยามนี้เหลือเพียงแต่ความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

นางต้องถลกหนังสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ออกให้จงได้ มันจะได้ไม่สามารถทำร้ายสตรีบริสุทธิ์นางอื่นได้อีก!

เฉาซิงอวี้ขยับเข้ามาใกล้ แต่ไม่ได้หยุดยืนที่หน้าหญิงสาวทั้งสอง เขาเลือกเดินไปตรงพุ่มดอกโบตั๋นที่อยู่อีกทางหนึ่ง

ทำเหมือนเป็นการบังเอิญเดินผ่านมาตามปกติ

เฉาซิงอวี้เดินห่างออกไปเรื่อยๆ โดยไม่หันกลับมามอง

เจียงเชี่ยวจ้องมองด้านหลังชุดคลุมสีคราม บุ้ยปากพลางหันไปพูดกับเจียงซื่อ “เมื่อครู่เจ้าแย่งปิ่นไปทำไมกัน”

เจียงซื่อที่ตั้งสติได้ตั้งแต่แรกตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “ซื่อจื่อโผล่มาเงียบๆ ข้าเลยตกใจ รีบโยนปิ่นนั่นทิ้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้”

“โยนทิ้งไปแล้วงั้นรึ” เจียงเชี่ยวมองไปรอบๆ “โยนไปตรงไหนล่ะ”

เจียงซื่อชี้นิ้วไปมั่วๆ “น่าจะตรงนั้นนะ”

นางชี้เข้าไปในพุ่มไม้ เจียงเชี่ยวมิได้ใส่ใจต่อ “ช่างเถอะ ก็แค่ปิ่นทองแดง ต่อให้เป็นปิ่นทองปิ่นเงิน ของที่บังเอิญเจอเช่นนี้ก็ไม่ควรเก็บไว้อยู่ดี”

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฉาซิงอวี้ทำให้เจียงเชี่ยวเลิกสนใจดอกไม้ “ไปกันเถอะ ไปหาพี่รองกับคนอื่นๆ ที่ศาลากันเถอะ”

“ดีเลย” เพราะอย่างไรเจียงซื่อก็ไม่สามารถขุดดินใต้พุ่มดอกโบตั๋นดูได้ในทันที ทำได้เพียงเก็บงำความสงสัยเอาไว้และพยักหน้าตอบตกลงอย่างว่าง่าย

เจียงเชี่ยวก้าวเท้าเดินไปพลางปรารภกับตัวเองว่า “มีปิ่นทองแดงตกอยู่ข้างแปลงดอกโบตั๋นเช่นนี้ ช่างพบเห็นได้ยากยิ่งนัก”

เจียงซื่อที่เดินตามหลังมาได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่

เจียงเชี่ยวที่ดูภายนอกหยาบกร้านแต่ภายในกลับเป็นคนละเอียดรอบคอบ แท้จริงแล้วก็ไม่มีใครโง่ดักดานไปเสียหมดหรอก

ในศาลาปาอินบนเขาจำลองมีโต๊ะหินและม้านั่งหินอยู่ชุดหนึ่ง เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การนั่งตากลมในช่วงฤดูร้อนยิ่งนัก เนื่องจากถูกสร้างอยู่บนเขาสูง หากยืนอยู่บนนั้นก็จะสามารถมองเห็นภาพสวนงดงามด้านล่างได้อย่างทั่วถึง

ฉะนั้นคนในศาลาจึงเห็นฉากที่เฉาซิงอวี้เดินมาพบกับหญิงสาวทั้งสองในสวนเมื่อครู่

ด้วยเหตุนี้เจียงเชี่ยนไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามอง นางยกถ้วยชาในมือขึ้นมาละเลียดอย่างแช่มช้า

เจียงเพ่ยรีบทำทีพะเน้าพะนอเจียงเชี่ยน มือที่จับราวชี้ไปด้านล่างเอ่ยขึ้นว่า “พี่สี่ช่างงามพริ้ง ยืนอยู่ท่ามกลางดอกโบตั๋นนั่นก็ยังโสภาโดดเด่นเสียยิ่งกว่าดอกไม้เหล่านั้น”

สามีของพี่รองทั้งสุภาพและปราดเปรื่องปานนั้น อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงฉังซิงโหวซื่อจื่อ นับว่าเป็นเขยที่หาได้ยากยิ่งนัก นางไม่เชื่อว่าพี่รองจะไม่เป็นกังวล

ยิ่งไปกว่านั้นคือความงามของเจียงซื่อที่แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเองยังต้องชายตามอง ฉะนั้นไม่ต้องไปเดาเลยว่าพวกผู้ชายจะคิดอย่างไร

เจียงเชี่ยนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะหิน ไม่ได้หันไปมองเจียงซื่อที่ยืนอยู่ข้างพุ่มดอกไม้ด้านล่าง แต่กลับหันไปจองหน้าเจียงเพ่ย

เจียงเพ่ยเริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดไป

เจียงเชี่ยนหัวเราะขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “จริงด้วย อย่าว่าแต่ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดเลย เพราะต่อให้ไปเที่ยวหาจนทั่วเมือง ก็เกรงว่าจะหาคนที่สวยกว่าน้องสี่ไม่ได้อีกแล้ว”

นางเอ่ยแผ่วเบาพลางชายตาไปมองเจียงซื่อที่กำลังเดินขึ้นมา “การที่ได้มีน้องสาวสวยเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเกียรติของข้ามากแล้ว”

นางไม่ได้รู้สึกผิดบาปในใจ เพราะแท้แล้วเฉาซิงอวี้เป็นพวกจิตวิปริต หากรู้สึกถูกใจสตรีใดก็จะพยายามครอบครองให้ได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจียงซื่อเกิดมาหน้าตาสะสวยกว่าชาวบ้าน อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องการแต่งงานกับจวนอันกั๋วกงที่เป็นเกราะป้องกันเสียด้วย

ครั้นเห็นเจียงซื่อและเจียงเชี่ยวกำลังเดินขึ้นมาถึงบนศาลา เจียงเพ่ยได้แต่ปั้นยิ้มเหยเกไม่กล้าพูดจาเรื่อยเจื้อยอีก แต่ในใจของนางรู้สึกไม่พอใจเจียงเชี่ยนมากกว่าก่อน

พี่รองมีชาติกำเนิดที่ดี มีชีวิตแต่งงานที่ดี คนที่ยืนพูด ไฉนจะมาปวดเอวอย่างข้าได้[1]

ใครต่างก็ชอบคนสวยทั้งนั้น นางไม่เชื่อว่าพี่เขยที่ได้รู้จักกับเจียงซื่อจะไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ถึงเวลานั้นแล้ว ค่อยมาดูว่าพี่รองจะน้ำตานองเพียงใด

เจียงเพ่ยคิดอย่างแค้นเคืองราวกับว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว ถึงได้รู้สึกสะใจเพียงนี้

“พวกเจ้าทั้งสองเหตุใดไม่เดินเล่นต่ออีกหน่อยล่ะ”

เจียงเชี่ยวที่เดินปรี่เข้ามาในศาลาตรงเข้าไปนั่งบนม้าหิน และรับลมเย็นอย่างสบายใจ “แม้ว่าดอกโบตั๋นจะสวย แต่พออยู่นานๆ เข้ากลับรู้สึกว่ากลิ่นฉุนไปหน่อย ดีที่ได้ขึ้นมาสูดอากาศบนนี้”

เจียงเชี่ยนปราดตามองไปที่พุ่มดอกโบตั๋นที่ออกดอกบานสะพรั่งก่อนจะเผยยิ้มออกมา “จริงด้วย ต่อให้ทิวทัศน์จะงดงามเพียงใด แต่พอมองนานๆ เข้ากลับไม่รู้สึกพิเศษอีกต่อไป แต่ทว่าดอกโบตั๋นนี้ก็ควรค่าแก่การเชยชมยิ่งนัก”

พวกหญิงสาวนั่งพักอยู่ในศาลาปาอินครู่หนึ่งก่อนที่เจียงเชี่ยนจะพากลับไปที่เรือน นางสั่งให้สาวรับใช้พาเจียงซื่อและคนอื่นๆ เข้าไปพัก

“เรือนฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของซื่อจื่อยังคงว่างอยู่ ก่อนที่พวกเจ้าจะมา ข้าสั่งให้คนทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว น้องสาม น้องสี่ เจ้านอนที่เรือนฝั่งตะวันออก ส่วนน้องห้าและน้องหกนอนที่เรือนฝั่งตะวันตก พวกเจ้าว่าอย่างไร”

เจียงเพ่ยไม่รีรอให้ใครตอบ รีบแย่งพูดขึ้นว่า “พวกเราเอาตามที่พี่รองจัดแจงนั่นแหละเจ้าค่ะ พี่รองช่างโชคดีเหลือเกิน พี่กับท่านพี่เขยแต่งงานมาตั้งหลายปี ท่านพี่เขยยังไม่มีอนุเลยสักคน”

เจียงเชี่ยนชายตามองไปที่เจียงเพ่ย ส่งยิ้มแต่มิได้ตอบสิ่งใด นางหันไปสั่งสาวรับใช้ให้พาทั้งสี่คนไปพักผ่อน

เจียงเพ่ยหน้าเหยเกด้วยความกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันควัน

จะว่าไปแล้วก็น่าแปลก ยามที่อยู่ต่อหน้าท่านแม่ใหญ่ ปากของนางทำให้นางได้ดิบได้ดี แต่ทำไมกับพี่รองดูเหมือนว่าคำพูดของนางจะดูไม่เข้าหูเอาเสียเลย

ทั้งที่สิ่งที่นางพูดก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของผู้หญิงแท้ๆ

ครั้นเจียงซื่อเห็นแววตาที่ว้าวุ่นสับสนของเจียงเพ่ยก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

ช่างน่าสงสารเจียงเพ่ยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เอ่ยถ้อยคำเยินยอความรักของเจียงเชี่ยนและฉังซิงโหวซื่อจื่อโดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นการตบหน้าเจียงเชี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้เรือนตะวันออกของซื่อจื่อจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก ถึงกระนั้นก็เงียบสงบและงดงามหมดจด ดอกของต้นไห่ถังซึ่งตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเรือนผ่านช่วงบานเต็มที่มาแล้ว ในยามนี้จึงเริ่มมีผลสีเขียวงอกออกมา

“ผ้าปูที่นอนทั้งในห้องฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูท่านไหนอยากนอนห้องฝั่งตะวันออก ท่านไหนอยากนอนห้องฝั่งตะวันตกเจ้าคะ” ชิงอีถามอย่างยิ้มแย้มขณะที่เดินนำทั้งสองไปที่ห้อง

“พี่สามอยากนอนห้องไหนล่ะ” สำหรับเจียงซื่อแล้วห้องฝั่งตะวันออกหรือตกก็ไม่ต่างกัน

คำตอบของเจียงเชี่ยวเกินความคาดหมายของเจียงซื่อไปมาก “ไม่ต้องยุ่งยากเพียงนี้ ข้ากับน้องสี่จะนอนด้วยกัน”

ชิงอีผงะไปชั่วขณะ ชำเลืองมองไปที่เจียงซื่ออย่างช่วยไม่ได้

“ข้าชินกับการนอนคนเดียว…”

เจียงเชี่ยวคว้ามือของเจียงซื่อมากุมไว้พลางกล่าวด้วยท่าทีออดอ้อน “จู่ๆ ต้องมานอนต่างที่เช่นนี้ ข้าไม่ชินเอาเสียเลย ถ้ามีคนสนิทมานอนด้วยกันข้าถึงจะหลับลง น้องสี่ เจ้าให้ข้านอนด้วยเถอะนะ”

เจียงซื่อถึงตอนที่เจียงเชี่ยวออกตัวปกป้องขณะที่อยู่ในสวนเกือบเผลอตัวพยักหน้าตกลง แต่ครั้นนึกถึงสองสามีภรรยาคู่นั้น เจียงซื่อก็พลันเปลี่ยนเป็นคนใจแข็งขึ้นมาทันที นางส่ายหัวพลางตอบ “ข้าชินกับการนอนคนเดียวมากกว่า”

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าเลือกนอนห้องฝั่งตะวันออกแล้วกัน”

ช่วงกลางวันที่คลื่นลมสงบนิ่งผ่านพ้นไป ไม่นานก็ถึงเวลาจุดไฟเสียแล้ว เจียงซื่อที่ล้างเนื้อล้างตัวและจัดการสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง แต่แล้วก็มีเสียงฝีเท้าจากที่ไกลๆ เข้ามาใกล้ขึ้นๆ และเสียงฝีเท้านั้นก็มาหยุดอยู่ที่นอกม่านหน้าประตู

[1] มาจาก คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว แปลว่า คนที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ