ตอนที่ 69 มีคนมา

หลังจากความวิตกกังวลทั่วร่างสลายไป เจียงซื่อก็เริ่มผ่อนคลายอีกครั้ง

แม้จะมีม่านลายดอกโบตั๋นคั่นอยู่ อีกทั้งยังมีระยะห่างประมาณหนึ่ง แต่กลิ่นที่คุ้นเคยบอกว่าคนที่อยู่ด้านหลังม่านนั้นคือเจียงเชี่ยว

ไม่นานม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น และเจียงเชี่ยวกอดผ้าห่มผืนบางเดินเข้ามา ด้านหลังมีสาวรับใช้สองคนเดินตามมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“น้องสี่ ข้านอนไม่หลับจริงๆ ให้ข้านอนกับเจ้าเถอะนะ” เจียงเชี่ยวรีบสาวเท้ามาตรงหน้าเจียงซื่อพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

เจียงซื่อขมวดคิ้วมุ่น

“น้องสี่ เจ้าทนเห็นข้านอนไม่หลับทั้งคืนได้อย่างงั้นเหรอ”

เจียงซื่อยังคงลังเล เจียงเชี่ยวรีบถอดรองเท้าถือวิสาสะขึ้นมานั่งบนเตียง ดูรูปการณ์แล้วคงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับห้องตัวเอง

เจียงซื่อถอนหายใจ “แค่คืนเดียวนะ พรุ่งนี้พี่สามต้องกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง”

“พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” เจียงเชี่ยวยิ้มร่าก่อนจะชำเลืองไปที่สาวรับใช้ทั้งสอง “เอาเถอะ พวกเจ้าออกไปพักข้างนอกได้แล้ว”

เนื่องจากมาพักที่นี่เพียงช่วงสั้นๆ เจียงเชี่ยนจึงระบุในเทียบเชิญให้น้องๆ มาแต่ตัว ส่วนสิ่งจำเป็นอื่นๆ นางจะจัดเตรียมไว้ให้ ทั้งสี่จึงไม่ได้พาสาวรับใช้ประจำตัวมาด้วย ฉะนั้นสาวรับใช้ทั้งสองคนนั้นจึงเป็นคนที่เจียงเชี่ยนเลือกมา

และทั้งเจียงเชี่ยวและเจียงซื่อต่างก็ไม่คุ้นชินกับการให้สาวรับใช้แปลกหน้ามานอนเฝ้าในห้องทั้งคู่

สาวรับใช้มองหน้ากันแต่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน

“มีปัญหางั้นรึ” เจียงเชี่ยวแสดงสีหน้าเคร่งขรึม

สาวรับใช้ทั้งสองจึงกุลีกุจอยอมออกไป

เจียงเชี่ยวเหยียดกายลงพลางบ่นปอดแปด “ไม่คล่องไม้คล่องมือเหมือนบ่าวของตัวเองเสียเลย”

เจียงซื่อหัวเราะ “ก็พอถูไถแหละ พวกเรารู้สึกไม่คล่องไม้คล่องมือ พวกบ่าวรับใช้ก็คงคิดว่าพี่สาวสองคนนี้ช่างเรื่องมากเสียจริง พี่สาม พี่เข้าไปนอนด้านในแล้วกัน”

เจียงเชี่ยวดึงผ้าห่มแพรไหมพลางส่ายหัว “ข้าชอบนอนข้างนอก”

“ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าพี่สามจะพิถีพิถันกับการนอนขนาดนี้”

“ก็ใช่น่ะสิ ข้ารู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่ครั้นอยากจะแก้ก็แก้ไม่หาย น้องสี่ เหตุใดเจ้ายังใส่เสื้อคลุมอยู่อีกล่ะ”

“มานอนต่างที่เช่นนี้ ข้าไม่สะดวกจะใส่แค่ชุดข้างในอย่างเดียวหรอก”

“ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็มีความเคยชินแตกต่างกันไป ค่ำแล้ว นอนกันเถอะ”

เจียงเชี่ยวหัวเราะคิกคัก พลางเอี้ยวตัวไปเป่าแสงไฟข้างเตียง

ภายในห้องถูกความมืดเข้าครอบงำจนมองเห็นนิ้วทั้งห้านิ้วได้เพียงรางๆ แต่แล้วก็ค่อยๆ สว่างขึ้น แสงจันทราสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้มีแสงสลัวปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง

“น้องสี่”

“หืม”

ท่ามกลางความเงียบงันในความมืดนั้น เจียงเชี่ยวพลิกตัวหันหน้าออกไปด้านนอก “ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะ”

ผ่านไปไม่นาน เสียงลมหายใจสม่ำเสมอก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืดสลัวไม่คุ้นตา

เจียงซื่อเหม่อมองไปที่ตะขอเงินที่เกี่ยวอยู่กับม่านที่เตียงพลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

นางไม่เคยลังเลยามต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย เพราะนางรู้ดีว่าสามารถเอาตัวรอดได้ แต่นางไม่เคยคิดจะลากเจียงเชี่ยวที่ยากแก่การรับมืออยู่แล้วเข้ามาเกี่ยวด้วย

เป้าหมายของเจียงเชี่ยนและสามีก็คือนาง การที่เจียงเชี่ยวตัวติดกับนางเป็นเงาเช่นนี้ก็คงมีเรื่องร้ายรออยู่อีกมากเป็นแน่

นางไม่สงสัยในความไร้ยางอายของสามีภรรยาคู่นี้เลย ในเมื่อทั้งคู่กล้าลงไม้ลงมือกับนาง แน่นอนว่ากับเจียงเชี่ยวก็คงไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ

แค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ห้ามให้เจียงเชี่ยวมานอนด้วยเด็ดขาด

แค่คืนนี้เท่านั้น…

เจียงซื่อมองแสงวาบที่เคลื่อนไหวไปมา

คืนนี้สายลมสงบนิ่ง แม้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะวางแผนต่ำช้าสามานย์ใดๆ ไว้แต่นางไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์เป็นแน่

เวลาล่วงเลยไป ความง่วงที่รุมเร้าทำให้เปลือกตาของเจียงซื่อปิดลงอย่างเชื่องช้า

แต่ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น เจียงซื่อลืมตาขึ้นฉับพลัน และแกล้งทำเป็นหลับตาลงอีกครั้ง

แม้ว่านางจะประเมินความไร้ยางอายและความอหังการของฉังซิงโหวซื่อจื่อเอาไว้แล้ว แต่นี่ก็เป็นเพียงคืนแรกเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะทนรอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!

นี่อุกอาจเข้ามาโดยไม่เกรงกลัวฟ้าดินเลยงั้นสิ

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเจียงซื่อ แต่อีกใจก็พยายามหาเหตุผลมาค้าน

อย่างไรเสียฉังซิงโหวซื่อจื่อก็ไม่ใช่พวกคนเสียสติ การบุกเข้ามาในเคหสถานของน้องสาวภรรยากลางดึกเช่นนี้ หากมีเจตนาจะทำอนาจารก็จะต้องถูกเนรเทศ

เจียงซื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถกรีดร้องออกไปเพื่อยืนยันความผิดของชายหนุ่มได้ เพราะมิฉะนั้นชื่อเสียงของนางและเจียงเชี่ยวคงเสียหายป่นปี้ไปด้วย

ส่วนภพชาติที่แล้วนั้น…

เจียงซื่อยิ้ม

ชาติที่แล้วนางถูกล่อลวง เหตุเพราะเห็นนางเป็นเพียงหญิงหม้ายจึงแน่ใจว่านางจะไม่กล้าปริปาก

ฉังซิงโหวซื่อจื่อที่ทั้งหวงแหนหน้าตาแต่ก็อยากสนองความต้องการของตัวเองในคราวเดียววางแผนการต่ำช้ามาอย่างแยบยล

เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นและหยุดลง มุมหนึ่งของผ้าม่านถูกเลิกขึ้นอย่างเบามือ

แม้ว่าเจียงซื่อจะหลับตาสนิท แต่มือของนางที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มแพรไหมก็ลูบกำไลทองที่ข้อมืออย่างแผ่วเบา

จากการคาดคะเนอย่างเป็นเหตุเป็นผล แม้จะเชื่อว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อที่มาเยือนในคืนนี้จะยังไม่กล้าลงมือ แต่นางก็ต้องการป้องกันตัวไว้ก่อนในกรณีที่อีกฝ่ายเกิดสติหลุด

การได้ชีวิตกลับคืนมาอีกครั้งทำให้นางเข้าใจความจริงข้อหนึ่งคือ พึ่งภูเขา เขานั้นอาจถล่ม พึ่งสายน้ำ น้ำนั้นอาจไหลผ่าน มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้

เมื่อห้องขนาดเล็กมีชายหนุ่มอีกคนเพิ่มเข้ามา หนำซ้ำยังเป็นชายหนุ่มที่เจียงซื่อรังเกียจเข้าไส้ เลยทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าอากาศในห้องหยุดนิ่งสนิท ความอึดอัดคับแน่นชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน

เจียงซื่อเฝ้ารอท่าทีของอีกฝ่ายอย่างไร้สุ้มเสียง

เขาไม่ได้ทำอะไร ฉังซิงโหวซื่อจื่อยืนอยู่เฉยๆ มีเพียงแค่เสียงลมหายใจที่ถี่ขึ้นเท่านั้น

สำหรับเจียงซื่อ เสียงหายใจฟืดฟาดไม่ต่างอะไรกับเสียงฟ้าผ่า ทั้งที่ในความเป็นจริงเสียงนั้นเบาเกินกว่าจะปลุกคนให้ตื่นได้

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเจียงเชี่ยวทำให้เจียงซื่อรู้สึกคลายกังวลลง

นางนึกไม่ออกเลยว่าเจียงเชี่ยวที่ตื่นขึ้นมาพบว่ามีชายหนุ่มยืนอยู่ข้างเตียงจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร

หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง นางคงจะต้องจัดการฉังซิงโหวซื่อจื่อให้รู้ดำรู้แดงเสียก่อนจึงจะเบาใจได้

แต่นางหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น

การที่จะฆ่าใครสักคนช่างง่ายดาย แต่นั่นอาจทำให้พวกนางที่อยู่ในจวนฉังซิงโหวต้องเข้าไปเอี่ยวด้วย สิ่งที่นางต้องการคือการทำให้ฉังซิงโหวซื่อจื่อย่อยยับ และแม้ว่าต้องตายก็เป็นเพราะคนทั้งโลกไม่เหลียวแล

ฉังซิงโหวซื่อจื่อยืนอยู่ตรงนั้นนานพอจนสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืด แววตาโลภโมโทสันจับจ้องไปที่หญิงสาวที่กำลังหลับใหล

เขาเฝ้ารอวันนี้มานานเหลือเกิน นานถึงขนาดว่าคนหรือเรื่องที่เคยทำให้เขาตื่นเต้นได้ยังไม่สามารถกระตุ้นให้เขาเกิดความรู้สึกได้มากเช่นนี้

เฉาซิงอวี้กลืนน้ำลาย กำหมัดแน่นเพื่อข่มกลั้นความปรารถนาที่จะเอื้อมมือออกไปสัมผัส

เขากวาดสายตากลับมามองที่ร่างของเจียงเชี่ยว

หากไม่มียัยคนนี้นอนขวางอยู่ คืนนี้เขาคงได้สัมผัสใบหน้านั้นแล้ว

จริงสิ พวกนางหลับสนิทขนาดนี้ จับสักหน่อยก็คงไม่รู้สึกอะไร

ความคิดแวบเข้ามาในหัว เฉาซิงอวี้ตาลุกวาวขึ้นมาทันใด แม้ว่าเจียงซื่อจะหลับตาอยู่ แต่ก็รับรู้ได้ถึงรังสีแผดเผาจากสายตาคู่นั้น

เจียงซื่อเคาะกำไลทองอย่างเบามือ

เฉาซิงอวี้เลียปากตัวเองพลางค่อยๆ ยื่นมือออกไป

สภาวะตึงเครียดเช่นนี้กลับให้เขายิ่งรู้สึกเร้าใจขึ้นไปอีก

จู่ๆ เจียงเชี่ยวที่นอนอยู่ด้านนอกก็พลิกตัว ปากของนางพึมพำบางอย่างออกมา

เฉาซิงอวี้รีบชักมือกลับ ความตื่นเต้นถูกหมอกหนาทึบเข้าปกคลุมจนหมดสิ้น

ตอนนี้ยังไม่เหมาะ!

เขาอดทนรอได้อยู่แล้ว รอกระทั่งเจียงซื่อแต่งงานออกไปและมีลูก เพราะก็ยังต่างจากพวกผู้หญิงทั่วไปที่ต้องรอให้เสียความบริสุทธิ์แล้วพยายามฆ่าตัวตายเสียก่อนแล้วถึงจะลงมือได้

หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยุ่งยากเช่นนี้ ไม่เหมือนหญิงชาวบ้านทั่วไปที่พอเห็นถูกใจก็แค่แอบพาเข้าจวนก็จบเรื่อง

เฉาซิงอวี้เลิกคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์พลางหันไปมองใบหน้าไร้ตำหนิของหญิงสาวอย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ถอยเท้าออกไป

เจียงซื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันมองม่านประตูที่ปลิวไปมาด้วยสายตาเย็นชา

ในเมื่ออีกฝ่ายร้อนใจถึงเพียงนี้ นางคงรอต่อไปไม่ได้แล้ว คืนนี้นางต้องพิสูจน์ความจริงในสวนให้ได้

ทันใดนั้นเอง เจียงเชี่ยวที่กำลังหลับสนิทก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง