บทที่ 97 – เรย์น่ากับเรนะ

 

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ มิวก็เปิดหนังสือดูอีกรอบอย่างใจเย็น และก็อย่างที่มิวคิดจริงๆ ว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในนี้มันคล้ายกับตารางธาตุเคมี

แต่อาจจะไม่ได้ละเอียดและซับซ้อนเท่า อีกทั้งยังไม่ได้มีการจำแนกธาตุไว้เยอะแยะหรือชัดเจนขนาดโลกเดิมของมิว

แต่นั่นก็พอเข้าใจได้อยู่บ้าง เพราะว่าพวกตารางธาตุพวกนี้ไม่ได้ถูกตั้งทฤษฎีขึ้นมาเพื่ออธิบายสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ในระดับอะตอม

แต่ว่าโลกนี้ไม่ได้ทำเพราะเหตุผลเช่นนั้นนั่นเอง ความละเอียดหรืออะไรอาจจะช่วยไม่ได้เยอะมาก กล่าวคือต่อให้มิวเก่งเรื่องเคมี

และมาอ่านเคมีในโลกนี้ก็คงไม่สามารถเข้าใจได้อยู่ดีแหละ เพราะมันคนละหลักสูตรกันนั่นเอง.. แต่เอาเข้าจริงถ้ามีความรู้ระดับนั้นได้ก็คงพอแยกออกนั่นแหละนะว่าธาตุอะไรคือธาตุอะไรหากเทียบกับโลกเดิม

มิวไม่สนใจหนังสือที่อยู่ไกลเกินกว่าตัวเอง แล้วก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับข้อมูลของปีศาจจิตมรณะ..

ในหนังสืออธิบายไว้ละเอียดกว่าที่เรย์น่าอธิบายพอสมควร แต่หลักการคร่าวๆ ของปีศาจนี้มันเหมือนกับซอมบี้แผ่กระจายจากอีกคนสู่อีกคนผ่านการกัดหรือการสัมผัสในระดับที่ลึกลงกว่าผิวหนัง

พูดอีกแบบก็คือถ้าถูกข่วนอะไรทำนองนั้นก็มีโอกาสติดสูงแล้วนั่นแหละ ผู้ติดเชื้อจะเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งผิวเริ่มซีดกลายเป็นสีฟ้า

นอกจากนี้ผู้ที่ติดเชื้อนี้ได้ไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่าอื่นๆ ด้วย.. ตราบใดที่เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนจะสามารถติดเชื้อนี้ได้

ผู้ติดเชื้อไม่เพียงแต่คลุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ยังทำให้พละกำลังทางกายภาพเพิ่มด้วย ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตไม่สามารถเอาแรงทั้งหมดที่ตัวเองมีออกมาใช้ได้

นอกเสียจากจะอยู่ในสถานะเฉียดตายหรือสถานะใกล้ตาย สัญชาตญาณตัวรอดจะกระตุ้นขึ้นจนสมองหยุดยั้งไม่ให้ร่างกายพันธนาการตัวเองอีก

ดังนั้นจึงมักจะมีข่าวให้เห็นว่าจู่ๆ ก็มีคนยกตัวเย็นวิ่งออกจากบ้านระหว่างไฟไหม้ได้.. ทั้งที่เขาไม่น่าจะมีแรงขนาดนั้น

ซึ่งผลลัพธ์ก็มาจากการตื่นตัวและออกแรงเกินขีดจำกัดของร่างกายที่ว่านี้นี่เอง.. แต่แลกมาด้วยกับการกล้ามเนื้ออาจจะฉีกขาดได้เพราะร่างกายรับไม่ไหว

และไอ้ปีศาจจิตมรณะนี่ก็เป็นเหมือนทำให้คนตื่นตัวแบบนั้นตลอดเวลาระหว่างคลุ้มคลั่ง.. กล่าวง่ายๆ ก็คือผู้ติดเชื้อจะสามารถแสดงพละกำลังที่มากกว่าตอนมีชีวิตอยู่ได้เกือบเท่าตัวนั่นเอง

และแน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงในแง่ร่างกายเท่านั้น.. แต่หมายถึงในแง่เวทมนตร์ด้วย ผู้ใช้เวทมนตร์ได้ก็จะสามารถใช้เวทมนตร์ที่ทรงพลังกว่าเพราะการตื่นตัวจากการติดเชื้อ ผู้ใช้วิชายุทธ์ก็จะใช้วิชายุทธ์ที่รุนแรงยิ่งกว่า

ส่วนผู้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่มีใครที่ติดเชื้อจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนั่นเอง แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีรูปภาพหน้าตาของปีศาจจิตมรณะ

แต่จากคำบรรยายคงอารมณ์แบบเดียวกับสัตว์ประหลาดในชั้นสามนั่นแหละ เพราะเป็นตัวสีฟ้าๆ เหมือนกัน

“อ้ะ..”

พอมิวรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเหมือนท้องฟ้าจะอาบไปด้วยแสงสีส้ม ยามราตรีกำลังจะมาถึงซะแล้ว

พอหันไปด้านข้างก็เห็นว่าเรย์น่าที่นั่งอยู่ข้างๆ หลับฟุบลงบนโต๊ะตอนไหนไม่รู้ เจ้าตัวเหมือนจะจ้องมิวตลอดจนเผลอหลับไปตอนไม่รู้ตัว

มิวถอนหายใจออกมาก่อนจะยื่นมือไปจับไหล่ของเรย์น่ากำลังจะปลุกเธอ.. แต่พอเห็นใบหน้าของเธอที่หลับอยู่มิวก็หยุดชะงัก

จะเป็นเพราะความคิดถึงก็ดี หรือเป็นเพราะความหน้าเหมือนก็ช่าง แต่มิวกลับมองเรย์น่าให้ความรู้สึกเหมือนมองเรนะ

จะว่าไป.. แต่ก่อนเธอก็มีช่วงเวลาแบบนี้อยู่สินะ ช่วงเวลาที่มิวของให้เธอมาช่วยมิวติวสอบ เพราะเรนะเธอเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาด

อย่างน้อยก็ฉลาดกว่ามิวแน่ๆ แต่สอนไปสอนมาคนที่ดันง่วงกับการสอนของตัวเองดันเป็นตัวเรนะเองซะงั้น

เพราะเรนะมีทักษะการสอนที่ค่อนข้างติดลบในระดับเหมือนลิงสื่อสารเลยก็ว่าได้ ถึงจะฉลาดแต่ก็สอนคนไม่เป็นน่ะนะ

สอนแบบที่ตัวเองเข้าใจอะไรทำนองนั้น จนคนที่ผลอยหลับไปตอนไหนไม่รู้แทนที่จะเป็นมิวแต่ดันเป็นเรนะแทน

ตอนที่เธอนอนอยู่บนเก้าอี้.. เจ้าตัวก็ทำหน้าตาไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวเหมือนกับเรย์น่าเลย ทั้งที่มิวกำลังใกล้จะสอบและถ้าสอบตกขึ้นมาก็คงได้เรียนแก้ใหม่ยาวอีกแหงๆ

เป็นคนที่เหมือนจะไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาวอะไรจนน่ากลัวนั่นแหละนะ.. มิวค่อยๆ หลับตาลงหวนนึกถึงเรนะ

“ฉันจะต้องกลับไปหาเธอให้ได้…”

“หอคอยหนึ่งร้อยชั้น.. ฉันจะไปถึงชั้นที่ร้อยให้ได้”

มิวพึมพำกับตัวเองเบาๆ …

…..

….

ในโลกด้านนอก ตอนนี้เป็นตอนกลางคืน..

บนเตียงจู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน แน่นอนว่าคนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเรนะ

แต่ไม่ใช่ ‘เรนะ’ ที่มิวเคยรู้จักอีกต่อไป ดวงตาของเธอค่อยๆ กลอกไปกลอกมาหอบหายใจ เหงื่อไหลรินไม่หยุด

“เมื่อกี้.. มัน…”

วิดาร์ที่เห็นเรนะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางคืน เธอก็ปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ หายากนะที่จะเห็นเจ้าตื่นมาพร้อมเสียงแบบนี้”

“…..”

เรนะไม่ได้ตอบอะไร.. เธอเพียงแค่เงียบหลังจากหอบหายใจอยู่พักหนึ่งเธอก็นอนกลับลงไปบนเตียงเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วิดาร์มองเรนะที่ไม่ได้คิดจะตอบอะไร ดวงตาของเธอก็หรี่ลงเล็กน้อย แม้วิดาร์จะเป็นวิญญาณสถิตอยู่กับเรนะ

และเธอก็ไม่ใช่แค่วิญญาณธรรมดา.. แต่เธอก็สัมผัสได้ชัดเจนกว่าใครว่าเรนะผู้นี้มีอะไรที่แปลกประหลาด.. มันแปลกเสียจนรู้สึกอยากจะอ้วกออกมาเลย

ความน่าสะอิดสะเอียนที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเงียบขรึมเหล่านั้นมันเหมือนกับเธอแบกรับบาปอะไรบางอย่างเอาไว้

หากคนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่เธอที่เป็นผู้เงียบสงัด.. แต่เป็นคนอื่นที่เธอรู้จักคงมีคนอ้วกแตกกับร่างนี้บ้างแหละ.. แม้แต่เธอก็ยังมองไม่ออกว่ามนุษย์คนนี้กำลังซ่อนอะไรไว้

สายตาของวิดาร์จ้องไปที่เรนะซึ่งนอนอยู่บนเตียง

“ฉัน..แค่ฝัน”

“ฝัน..ถึงเรนะ”

เธอพึมพำเงียบๆ เพียงแค่นั้นแล้วก็หลับตาลงนอนหลับไปอีกรอบ ไม่รู้ว่าคำพูดนี้เธอพูดให้วิดาร์ที่ลอยอยู่ข้างๆ ฟัง

หรือเพราะพูดให้ตัวเองฟังเรื่องนี้ไม่มีใครทราบแม้แต่ตัวเรนะเอง เธอเหมือนกับกำลังย้ำเตือนบางอย่างกับตัวเองเงียบๆ ก็เท่านั้นว่า…..

…..

ดวงตาของเรย์น่าค่อยๆ ลืมขึ้นก็พบว่ามิวกำลังนั่งมองหน้าเธออยู่ แน่นอนว่าปฏิกิริยาแรกก็คือการสะดุ้ง

“เอ้ะ.. เอ้ะ ท่านมิว?มีอะไรติดหน้าข้าเหรอคะ”

มิวที่เห็นเรย์น่าตื่นขึ้นมา มิวก็รีบปรับอารมณ์และส่ายหน้าทันที

“อ้ะ เปล่าไม่มีอะไรหรอก นี่ก็เริ่มมืดแล้ว เรากลับขึ้นไปดีกว่าไหม?”

“อ่า.. นี่เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย แย่แล้วค่ะท่านมิว เรารีบกลับขึ้นไปกันเถอะค่ะ ก่อนที่คุณสเตลจะโกรธ”

“คุณสเตล?”

“เธอเป็นคนคอยดูแลเรื่องของฉันน่ะค่ะ ต้องกินข้าวให้ตรงเวลา ต้องอ่านคัมภีร์ให้ตรงเวลา ถ้าคุณสเตลโกรธเธอน่ากลัวมากเลยนะคะ”

ว่าแล้วสาวน้อยก็รีบวิ่งแจ้นออกไปจากหอสมุดเพื่อกลับทันที มิวที่มองตามหลังได้แต่หัวเราะแห้งๆ หลังจากเก็บหนังสือไว้ที่เดิมมิวก็ตามไปแทบจะทันที

สาวน้อยที่วิ่งออกมานานแล้วก็เหมือนจะรออยู่ด้านหน้าหอสมุด

“อ่าว..ไม่ใช่ว่าไปแล้วเหรอ?”

“เอ่อ.. ข้ากลัวว่าทิ้งท่านมิวที่เสียความทรงจำไว้คนเดียวคงไม่ดีเท่าไหร่น่ะค่ะ”

“….”

มิวถอนหายใจเล็กน้อย เอาเข้าจริงถึงมิวจะเจอคนนิสัยไม่ดีมาเยอะ แต่คนที่มิวเจอแล้วเป็นคนดีก็มีเยอะกว่าคนเลวเหล่านั้นซะอีก

รินนะก็ดี เทรต้าก็ดีหรือแม้แต่เรย์น่าคนนี้

“งั้นก็รีบกลับกันเถอะ?”

“ค่ะ”