บทที่ 96 – อ่านหนังสือในเสี้ยววิ

 

ไอ้เวทมนตร์กับวิชายุทธ์เท่าที่มิวอ่านก็ดูไม่มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ แต่ที่มันแปลกก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก

ความจริงแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นพลังที่มีขึ้นมาทีหลัง พลังเวทหรือวิชายุทธ์ เดิมทีพลังนี้มันเป็นแค่นามธรรมที่ไม่มีใครรู้จักหรือสัมผัสได้

เอาง่ายๆ เป็นเรื่องงมงายนั่นแหละ งมงายว่ามีเทพ งมงายว่ามีผู้แพร่พลังศักดิ์สิทธิ์.. นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมศาสนจักรโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ถึงไม่ได้โด่งดังเท่าอีกสองศาสนจักรที่เหลือ

นั่นเป็นเพราะเกิดขึ้นมาทีหลังพลังเวทและวิชายุทธ์นั่นแหละนะ แต่เมื่อตั้งคำถามว่ามันเกิดขึ้นมาตอนไหน เมื่อไหร่และมีได้อย่างไร

คำถามนี้กลับเป็นคำถามที่ไม่มีใครสามารถตอบได้ชัดเจนนัก ราวกับว่ามันเลือนรางจนไม่สามารถสัมผัสได้

อาจจะมีมาตั้งแต่แรก หรืออาจจะพึ่งมี.. หรืออาจจะพึ่งเกิดขึ้นมาเมื่อวันก่อน เรื่องนี้ไม่มีคนทราบ แต่ก็มีการวิจัยมาอย่างยาวนานพอสมควร

ทำให้รู้ว่าเจ้าพลังนี้คือพลังลึกลับรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถบิดเบือนสถานการณ์บางอย่างได้.. แต่มันไม่ได้บิดเบือนในระดับความเป็นจริงขนาดนั้น

แต่มันคือการบิดเบือนในระดับความคิดและจิตใจของผู้คน.. มันให้อารมณ์เหมือนกับพลังจิตเลย.. อย่างน้อยก็ในความคิดของมิว

ไอ้พลังที่ว่านี้อย่างที่บอกมันไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้ มันวิ่งอยู่ภายในจิตภายในใจของสิ่งมีชีวิตเสียมากกว่า กล่าวคือในโลกแห่งจิตใจทุกคนมีพลังนี้อยู่หมด

‘ตราบเท่าที่นับถือเทพธิดา’ ซึ่งอาจจะเพราะเจ้าพลังนี้นี่เองเลยทำให้พวกปีศาจจิตมรณะไม่สามารถทำอะไรผู้ที่นับถือโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

แต่การจะทำให้พลังนี้สามารถใช้งานขึ้นมาได้นั้น จำเป็นต้องมีใครบางคนสอน.. ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือต้องได้รับอิทธิพลจากจิตใจผู้ที่มีพลังนี้แต่แรก

เพราะพลังนี้มันไม่เหมือนกับเวทมนตร์.. อย่างที่กล่าวว่าพลังนี้มันอยู่เหนือสามัญสำนึกทั่วไปแทบทุกอย่าง.. และสาเหตุมันก็เพราะแบบนี้

เพราะพลังนี้มันคือพลังที่อยู่ภายในจิตใจ อยู่ภายในจินตนาการของผู้คน การที่ผู้คนจะจินตนาการให้เรื่องบางเรื่องอยู่เหนือสามัญสำนึกมันไม่ใช่เรื่องแปลก

เหมือนกับการที่ว่าทำไมยุคที่มิวยังเป็นคางารินิยายแนวแฟนตาซีต่างโลกถึงเป็นที่นิยมนั่นแหละนะ

พลังนี้ได้อยู่ในระดับแค่จินตนาการก็กลายเป็นจริง.. เพราะมันจะสามารถทำให้สิ่งที่อยู่ในจินตนาการเป็นความจริงสำหรับ ‘ผู้ใช้’

และผู้ใช้ซึ่งนับเป็นผู้สังเกตจึงกลายเป็นเหมือนผู้เห็นความ ‘จริง’ ของตัวเองและการที่จะทำให้มันปรากฏขึ้นจริงได้มันต้องเป็นความจริงที่มีแค่ผู้ใช้ที่คิดว่ามันจริง

เอาง่ายๆ คือ.. มันจะสามารถทำในสิ่งที่โลกนี้ไม่สามารถทำได้เท่านั้นนั่นแหละนะ ถ้าหากโลกนี้มีเวทมนตร์ที่สามารถสร้างอะไรจากความว่างเปล่าได้

งั้นการจินตนาการให้เหนือกว่าการสร้างอะไรจากความว่างเปล่ามันก็ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่แบบประมาณว่า ความว่างเปล่าต่างหากที่มีอยู่เพื่อสร้างอะไรบางอย่าง อะไรทำนองนั้น.. แน่นอนว่านี่แค่ยกตัวอย่าง

หรือเกาะลอยฟ้าที่ลอยอยู่เหนือเมืองนี้ก็ถูกวิชาศักดิ์สิทธิ์ทำให้ลอยขึ้นเพราะโดนโซ่ดึงให้ลอยขึ้น ไม่ว่าอะไรก็ดูหลุดสามัญทั่วไปต่อให้เป็นเวทมนตร์ก็ไม่สามารถทำได้

แต่วิชาศักดิ์สิทธิ์สามารถทำได้นั่นเอง.. ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งสร้างความจริงของตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในจิตใจมากขึ้นเท่านั้น

หากใช้จนหมดจิตใจอาจจะแตกสลายได้.. แต่ตราบใดที่ยังไม่ตายผลลัพธ์ของวิชาก็จะไม่หายไป มิวที่อ่านมาถึงจุดนี้ก็รู้สึกขนลุก

ไอ้เกาะที่มันลอยฟ้าอยู่นั่น คงไม่ใช่ว่ามาแนวดาร์คๆ แบบให้ผู้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์นับร้อยคนใช้พลังในการดึงขึ้นจนจิตใจแตกสลายทำให้มันลอยอยู่แบบนั้นตลอดไปหรอกนะ ถ้าขืนเป็นแบบนั้นนี่ก็น่ากลัวไปหน่อย

“ยังไม่เห็นจุดเชื่อมโยงกับพลังมังกรเลย..”

มิวส่ายหน้าเบาๆ อันที่จริงพลังมังกรที่มิวสูดหายใจเข้าออกตลอดนั้น เธอก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมันมาก อันที่จริงถ้าก่อนที่จะถูกผนึกไว้เธออ่านข้อมูลไว้สักหน่อยก็ดี

แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้อ่านเลย.. ส่วนวิชาศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ก็ดูเหมือนจะเกิดจากการวิเคราะห์และวิจัยผ่านมาหลายรุ่นนั่นแหละนะ

“แต่ก็น่าเสียดายที่มีข้อมูลละเอียดขนาดนี้ถูกเขียนไว้โดยที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ แต่ไม่มีใครสามารถเป็นผู้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ได้”

ใช่.. เพราะผู้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์นั้นต้องเกิดจากการสืบทอดจากผู้อื่นเท่านั้น มีเพียงแค่เรย์น่าเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้

แต่เท่าที่อ่านมาพลังนี้เหมือนจะยิ่งจินตนาการได้กว้างแค่ไหนก็ยิ่งเก่งขึ้นไม่ใช่เหรอ.. ถ้าใช้ได้แล้วยังมีอะไรต้องอ่านจากหนังสืออีกแค่จินตนาการให้เหนือกว่าสามัญสำนึกก็น่าจะพอแล้วนี่

ใช่แล้ว.. มิวขมวดคิ้ว เควสที่มิวได้รับจากหอคอยคือสอนวิชาบางอย่าง.. ซึ่งมิวรู้ว่ามันน่าจะเป็นวิชาขั้นสุดยอดที่สุด แต่คำถามคือไอ้พลังระดับกึ่งเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงนี่มันมีอะไรต้องสอนอีกเหรอ

“งานหยาบนะเนี่ย”

มิวถอนหายใจพร้อมกับหยิบหนังสือเล่มต่อไปออกมา ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับปีศาจจิตมรณะ .. ขณะที่กำลังจะอ่านนั้นเอง

“ท่านมิวสนใจอ่านวิชาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงไหมคะ?”

“หือ.. มีด้วยเหรอ?”

คนที่มาขัดจังหวะก็ไม่ใช่ใครนอกจากเรย์น่า และเรย์น่าก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเหมือนจะเป็นหนังสือวิชาศักดิ์สิทธิ์

ต้องเข้าใจว่าหนังสือที่มิวเอามาเป็นแค่หนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับพลังของวิชาศักดิ์สิทธิ์ว่ามีได้อย่างไร มีเมื่อไหร่ คืออะไร

แต่สิ่งที่เรย์น่าถือมาให้เหมือนจะเป็นพวกวิชาและท่าต่างๆ ของวิชาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมิวกำลังตั้งคำถามเลยว่าไอ้หนังสือแบบนี้มันจำเป็นเหรอ ทั้งที่แค่จินตนาการก็สามารถทำให้พลังทำงานได้แล้ว

เพราะมิวก็เดินหามาพักใหญ่แล้วก้เลยคิดว่าไม่น่าจะมีในหอสมุดแห่งนี้.. เพราะเธอคิดว่าควรรู้เหนือหาเผื่อช่วยสอนเรย์น่าได้นั่นแหละนะ

“เอ่อ.. ที่จริงแล้วในนี้ก็ไม่มีหรอกค่ะ”

“เอ้ะ แล้วถ้างั้น…”

“คือมันเป็นหนังสือบนโบสถ์น่ะค่ะ อย่างที่บอกข้าเรียนด้วยตัวเองเลยเก็บมันไว้กับตัวตลอด.. อีกอย่างข้าไม่คิดว่าท่านมิวจะสนใจพลังศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น เพราะอีกไม่นานท่านก็คงได้ความทรงจำกลับมาแล้วเลยไม่ได้ให้ท่านดู”

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ.. ก็นะ เจ้าตัวเข้าใจว่าแบบนั้นมิวก็ลืมไปเลย เธอน่าจะถามอีกฝ่ายว่ามีหนังสือเกี่ยวกับวิชาศักดิ์สิทธิ์แต่แรกซะก็จบ

แต่พอคิดแบบนั้นมิวก็รู้เหมือนอว่าตัวเองกำลังโกงเกมที่เทพธิดาไม่รู้ชื่อคนนั้นให้เควสมาเลยแฮะ..

“นี่ค่ะ.. ในนี้มีข้อมูลวิชาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงทั้งหมด ต่อให้เป็นข้าเองก็มีหลายวิชาที่ไม่คอยจะเข้าใจสักเท่าไหร่”

เธอยื่นหนังสือที่เหมือนกับหนังสือเวทมนตร์มาให้มิว มิวที่รับมาก็รู้สึกว่ามันดูแฟนตาซีสุดๆ เพราะหนังสือเล่มอื่นก็คือหนังสือที่ทำจากกระดาษอ่ะ

แต่หนังสือเล่มนี้เหมือนหน้าปกจะทำจากหนังอะไรก็ไม่รู้ ส่วนแผนกระดาษก็หยาบๆ แปลกๆ ให้ความรู้สึกเหมือนหนังสือเวทมนตร์ในหนังอะไรสักอย่างเลย

เรย์น่านั่งลงข้างๆ มิวแล้วก็มองหน้ามิวเงียบๆ เจ้าตัวมองมิวเหมือนกับว่ามีความสุขที่ได้มองมิว

“เอ่อ.. มีอะไรเหรอ?”

“อ้ะ เปล่าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าท่านมิวนี่แปลกจังเลยค่ะ”

“เอ้ะ?”

“ก็แบบท่านมิวรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานจะได้ความจำกลับมา แต่ก็รู้สึกกังวลเลยต้องหาความรู้เอาไว้ก่อนใช่ไหมละคะ ประมาณว่าความไม่รู้คือสิ่งที่อันตรายที่สุดอะไรแบบนั้นน่ะ สมกับเป็นผู้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่เก่งที่สุดในโลกเลยค่ะ”

“….”

อะไรเนี่ย ประทับใจในแบบเข้าใจผิดวะอย่างนั้น มิวอยากจะขอโทษว่า.. ขอโทษด้วยเธอไม่ได้สามารถมีความทรงจำกลับมาได้เลยต้องศึกษาเพื่อสอนเธอ

ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เธอคิดขนาดนั้นหรอก.. แต่มิวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเธอเพียงตอบสั้นๆ ว่า

“ไม่ขนาดนั้นหรอก”

“หุๆ ถ่อมตัวจริงๆ นะคะ”

สาวน้อยหัวเราะคิกคักพอใจ มิวไม่ได้สนใจเรย์น่าอีกเธอค่อยๆ เปิดหนังสือเล่มดังกล่าวออกมาพร้อมกับอ่านเนื้อหาภายในนั้—

ทว่าวินาทีถัดมานั้นเอง!!

“พรึ้บ!”

มิวกลับอยู่ท่าเดิมหนังสือเหมือนไม่ได้เปิดขึ้นมาก่อน ดวงตาของเรย์น่าเบิกกว้างกับความเร็วที่เกิดขึ้น แม้เธอจะมองตามไม่ทันแต่ทว่า..

เมื่อกี้ท่านมิวของเธอ?ได้เปิดหนังสือแล้ว แต่พอกะพริบตาหนังสือก็ปิดลงแล้ว.. นั่นหมายความว่าอย่างไร.. หมายความว่าท่านมิวของเธอ?อ่านจบภายในวินาทีเดียวเหรอ.. ไม่สิ แบบนั้นเป็นไปได้ด้วยเหรอ

ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ถ้าเป็นท่านมิวคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกมั้ง.. ดวงตาของเรย์น่ามีแววประกายชื่นชมจ้องมองไปที่มิวด้วยสายตานับถือและหลงใหลยิ่งกว่าเดิม

ทว่ามิวกลับเหงื่อไหลเย็น..

สิ่งที่เธอเห็นในเสี้ยววินาทีนั้น

วินาทีที่เปิดหนังสือที่เหมือนหนังสือเวทมนตร์นี้นั้น..

มันคือ…

“สูตรเคมี ตารางธาตุไม่ใช่หรือไงวะเนี่ย”

“ที่เรียนมาฉันก็คืนครูไปจนหมดแล้ว ต่อให้อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจหรอกนะเฮ้ย”

“อีกอย่าง.. แบบนี้นี่เอง ไอ้วิชาศักดิ์สิทธิ์ต้องเหนือสามัญสำนึก.. ฉันพอจะเข้าใจแล้ว ก็คือวิทยาศาสตร์มันคือสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกของโลกนี้งั้นสิ”

มิวเข้าใจแล้ว.. ขอแค่จินตนาการก็เสกอะไรที่เหนือกว่าสามัญสำนึกมาได้ พูดอีกแง่หนึ่งก็คือไม่สามารถเสกสิ่งที่ไม่เหนือสามัญสำนึกได้

ทางออกจึงมีอยู่อย่างเดียว.. การที่จะทำให้สิ่งที่มีอยู่ในสามัญสำนึกของคนโลกนี้กลายเป็นสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกและทำให้วิชาศักดิ์สิทธิ์ใช้งานได้..

ก็คือ ‘วิทยาศาสตร์’ นั่นเอง

 

…………

[ข้อมูลเพิ่มเติม]

เพิ่มเผื่อคนงง คือแบบนี้ครับ.. วิทยาศาสตร์เนี่ยมันคือของที่ไว้อธิบายทุกอย่างบนโลกใช่ไหมครับ เช่นว่าทำไมไฟถึงติดอะไรแบบเนี่ย?แต่คนบนโลกนี้ไม่ได้มีความรู้เรื่องเคมีหรือตารางธาตุ เขาจึงเข้าใจแค่ว่าการเกิดไฟก็คือเพราะมีการจุดไฟแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถอธิบายไฟเกิดขึ้นในโลกนี้ได้ยังไง

พวกนักวิจัยในโลกนี้มันเลยหัวแหลมครับ สร้างอะไรบางอย่างที่คล้ายตารางธาตุขึ้นมาอธิบายสิ่งที่คนโลกนี้เข้าใจแบบผิวเผิน ให้ลงลึกระดับตารางธาตุเหมือนกัน

ทีนี้ไอ้พวกการจุดไฟที่แบบซับซ้อนมันจะไม่ใช่แค่เรื่องการที่คุณจุดไฟเลยไฟติดขึ้นมาแล้ว สรุปมันก็จะเป็นเรื่องเหนือสามัญของคนบนโลกนี้แล้วนั่นเองครับ

แค่นี้ก็จะสามารถใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ในการสร้างสิ่งที่ไม่ได้เหนือสามัญของคนทั่วไป ให้ดูเหนือสามัญขึ้นมาได้แล้วนั่นเองครับ

ซึ่งสภาพหนังสือวิชาศักดิ์สิทธิ์ก็เลยเหมือนเป็นการสอนเคมีนั่นแหละ

และนางเอกของเราก็ไม่ถูกชะตากับเคมีทั้งหลายแหล่..