ตอนที่ 102 นักสู้ดอกไม้แดง

“ผมต้องขอโทษทุกคนด้วย ที่ลืมแนะนําตัวเองไป!”

จากนั้น หลินหนานก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะแนะนําตัวเองไปว่า “ผมชื่อหลินหนาน เป็นชาวเมืองเจียงไฮว…”

และก็เป็นดังเช่นหลินหนานคาดคิด ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีคําพูดใดๆ ภายในห้องมีแต่ความเงียบสงัด บรรยากาศเต็มไปด้วยความเย็นชา แต่คนอย่างหลินหนานไม่เคยหวาดกลัว หรือหวั่นไหวต่อบรรยากาศที่เย็นชาห่างเห็นเช่นนี้ เขาจึงสามารถพูดต่อได้อย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด

“ผมก็เป็นแค่คนตัวเล็กๆคนหนึ่ง ไม่ใช่คนใหญ่คนโตที่ควรค่าจะให้ใครๆพูดถึง แต่ต้องขอบคุณเถ้าแก่หลิว ที่ได้เชื้อเชิญให้ผมมาเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคม เม็นคลับ – Men’s Club นี้”

“สมาคมเมิ่งหลาน ” หลิวหยิงหยิงรีบกระซิบบอกหลินหนานทันที

“อ่อ.. แต่จะเรียกสมาคม Men’s Club ก็น่าจะได้อยู่ ดูสิ! ในห้องนี้มีแต่ผู้ชาย มีผู้หญิงอยู่แค่คนเดียว” หลินหนานรับอธิบาย

หลายคนที่ได้ฟังคําพูดผิดๆถูกๆของหลินหนาน ก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที!

หมอนั่นมาเล่นตลกให้ทุกคนดูหรือยังไง?

สมาคมเมิ่งหลาน กลับถูกหมอนั่นเปลี่ยนเป็น “Men’s Club’ ซะแล้ว?

ดูเหมือนหมอนี่จะท่าดีทีเหลวซะแล้ว!

“เฮ้อ อับอายขายหน้า!” จางเฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“คุณจาง อย่าด่วนตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกนัก ไม่แน่ว่าภายใต้ท่าทางตลกขบขันนั่น อาจจะมีอะไรดีจนพวกเราคาดไม่ถึงก็ได้”

หลิวจื่อหยานแกล้งทําเป็นคนดี พร้อมกับพูดเตือนจางเฉิงยิ้มๆ แต่ความความจริงแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดอย่างที่พูดเลยแม้แต่น้อย!

หวังชางหยางกับถังจินซ่งเองก็ถึงกับยิ้มหยันเช่นกัน

“นี่มันละครลิงชัดๆ!” ถังจินซ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“นั่นน่ะสิ! นี่มันยิ่งกว่าออกมาเล่นตลก ขายหน้าชะมัด!” หวังชางหยางรีบพูดสมทบขึ้นทันที

ก่อนหน้านี้ หวังชางหยางมักจะถูกพ่อของเขาพร่ำบ่นอยู่เสมอว่า ไม่รู้จักตั้งใจเรียนหนังสือ เอาแต่เที่ยวจีบผู้หญิง แล้วก็ใช้เงินไปวันๆ ไม่ต่างจากกุ๊ยข้างถนนที่ไม่มีความรู้คนหนึ่ง

แต่เขากลับก็ไม่เคยใส่ใจกับคําพูดของพ่อเลยสักครั้ง จนกระทั่งได้มาฟังหลินหนานพูดแนะนําตัวต่อหน้าทุกคนในคืนนี้ เขาจึงเริ่มรู้สึกว่า คําพูดของพ่อเขานั้นน่าจะเป็นจริง ดูเหมือนความรู้จะทําให้คนเราเฉลียวฉลาดขึ้นได้จริงๆ!

เวลานี้ หลินหนานกําลังถูกเหล่าอันธพาลในคราบผู้ดีพากันรุมเย้ยหยัน แต่เขากลับไม่มีท่าที่สนใจ หรือว่าแยแสเลยแม้แต่น้อย

ไม่เพียงหลินหนานจะไม่แยแสกับท่าทีของคนเหล่านั้น แต่ยังหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบต่อหน้าทุกคนอีกด้วย หลังจากที่เห็นทุกคนหัวเราะกันจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว หลินหนานจึงได้พูดต่อทันที

“ความจริงผมเองก็ไม่ได้สนใจอยากจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกอะไรนี่นัก ผมว่าสู้ผมกลับไปบ้านนอนพักผ่อนน่าจะดีกว่า”

แม้ก่อนหน้านี้ ทุกคนจะสามารถหัวเราะเยาะความโง่เขลาของหลินหนานได้ แต่ประโยคที่หลินหนานเพิ่งจะพูดออกไปนั้น ยากนักที่ทุกคนในห้องจะหัวเราะได้อีก

เพราะคําพูดของหลินหนานในประโยคนั้น บ่งบอกถึงการไม่ให้เกียรติ และดูถูกสมาคมเมิ่งหลานที่พวกเขาต่างก็เป็นสมาชิกอยู่

“ก็แล้วทําไมไม่กลับบ้านไปนอนซะล่ะ? ยังจะยืนอยู่ที่นี่ทําไม? เพราะคนอย่างแกก็ไม่คู่ควรที่จะยืนอยู่ที่นี้เหมือนกัน!”

จู่ๆ ชายคนหนึ่งร้องตะโกนสวนกลับมา เขาก็คือจูกั๋วตง ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกเก้าคนแรกของสมาคมแห่งนี้เช่นกัน

หลินหนานยังไม่ตอบโต้กลับในทันที เขาถึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมา พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งและยกขาข้างหนึ่งขึ้นชันเข่า

“ถ้าผมกลับไปบ้านนอน ก็อดดูพวกลิงหลอกเจ้าน่ะสิ!” หลินหนานพ่นควันบุหรี่ออกมา แล้วจึงต้องจูกั๋วตงกลับไป

นี่…

นี่แก ไอ้เด็กนี่มันกล้าหลอกด่าทุกคนในห้องเชียวเหรอ?

หมอนั่นมันว่าใครเป็นสิ่ง?

ในห้องนี้มีแต่คน ไม่เห็นมีลิงสักตัวนี้นา?

หลังจากที่ได้ฟังคําพูดของหลินหนาน จางเฉิงก็ถึงกับกําหมัดแน่น ในขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวจอหยานก็ได้เลือนหายไปเช่นกัน

แม้กระทั่งหยานลู่เฟิง ก็ถึงกับลืมตาขึ้นจ้องมองหลินหนานแน่นิ่งโดยไม่กระพริบตา!

เวลานี้ เหล่าสมาชิกของสมาคมเมิ่งหลาน ต่างก็พากันจ้องมองหลินหนานด้วยสายตาที่บ่งบอกว่า พวกเขาพร้อมที่จะสั่งสอนหลินหนานให้หลาบจําไปจนตาย!

ในขณะที่สีหน้าของหลิวหยิงหยิงนั้น บ่งบอกว่ากําลังตกใจ วิตกกังวล และหวาดกลัว..

เธอคิดว่าหลินหนานจะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่หลินหนานทําอยู่เวลานี้ กลับไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงไปในกองเพลิงเลยแม้แต่น้อย

และเวลานี้ หลินหนานก็ได้ทําให้คนทั้งสมาคมเมิ่งหลาน กลายเป็นศัตรูของเขาไปแล้ว!

“ผมพูดผิดตรงไหนไม่ทราบ? ที่นี่มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น แล้วแต่ละคนก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต มีอํานาจบารมี ใบหน้าที่เสแสร้งแกล้งยิ้มและมีเมตตา แต่กลับรุมรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆเพียงคนเดียว การกระทําแบบนี้ต่างจากลิงหลอกเจ้าตรงไหน?”

“ในความคิดเห็นของผม นี้ไม่ควรจะชื่อสมาคมเมิ่งหลาน ควรเรียกว่าสมาคมหมาหมู่น่าจะเหมาะสมกว่า

หลินหนานยังคงพูดต่อ และนั่นยิ่งเป็นการโหมไฟโทสะของทุกคนให้ลุกโชนยิ่งขึ้นไปอีก เวลานี้ ไฟโทสะของทุกคนถูหลินหนานปลุกเร้าจนลุกโชนถึงจุดสูงสุดแล้ว

“พ่อหนุ่ม ระวังคําพูดด้วย!”

ชายร่างสูงใหญ่ผมสีบลอนด์คนหนึ่งลุกขึ้นยืน พร้อมกับร้องตะโกนบอกหลินหนานด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก และหลิวหยิงหยิงก็รู้จักผู้ชายคนนี้ดี

เขาเป็นลูกน้องของหนึ่งในสมาชิกสมาคมเมิ่งหลานที่มีชื่อว่าหวังเซียนหย่ง ฉายาของเขาก็คือ ‘อีกาดํา’

ใครๆต่างก็รู้ดีว่า ผู้ชายคนนี้นอกจากจะห้าวหาญแล้วยังมีฝีมือในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย อีกาดําผู้นี้เคยได้รับเหรียญทองอันดับหนึ่งในการประลอง และยังเป็นผู้ที่ได้ครอบครองตราสัญลักษณ์ดอกไม้แดงที่ทรงคุณค่าอีกด้วย

“ทําไม? ผมพูดแทงใจดําพวกคุณหรือยังไง? ถึงได้ร้อนตัวกันจนนั่งไม่ติดแบบนี้” หลินหนานย้อนถามด้วยสีหน้ายียวน

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน! นี่แกคงอยากตายมากสินะ!”

อีกาดําร้องตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที และจู่ๆ เขาก็ใช้สองมือดึงเสื้อที่สวมใส่จนฉีกขาด เผยให้เห็นกล้าเนื้อเป็นมัดๆ และรอยสักรูปพยัคฆ์รวมถึงรอยแผลเป็นที่น่ากลัว

และรอยแผลเป็นนี้ ก็เป็นสิ่งที่อีกาดําภาคภูมิใจไม่ต่างจากเหรียญทองอันดับหนึ่งที่ตนเองเคยได้รับ!

ครั้งหนึ่งในอดีต หวังเขียนหยังเคยถูกคนรุมทําร้ายพร้อมกับถึงยี่สิบคน และแต่ละคนต่างก็ฟาดฟันเขาด้วยอาวุธมีดพร้อมๆกัน แต่ด้วยความสามารถของอีกกาดํา ที่สามารถเอาชนะคนพวกนั้นทั้งหมดได้ และหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ฉายาอีกาดําของเขาก็ยิ่งโดดเด่นและแพร่สะพรัดไปอย่างรวดเร็ว

อีกาดําเดินตรงเข้าไปหาหลินหนาน พร้อมกับตวาดเสียงดัง “เด็กเมื่อวานซืน ฉันเองก็อยากจะรู้นักว่า แกเก่งกาจขนาดไหนกัน?”

“ห้ะ?! นี่คุณพูดว่าอะไรนะ?” หลินหนานแสร้งทําเป็นไม่ได้ยินที่อีกาดําพูด พร้อมกับย้อนถามตัวยสีหน้ายียวน

“ดูเหมือนแกคงจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้แล้วล่ะ” อีกาดําพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน

“ทําไมต้องใช้กําลังด้วยล่ะ?! พวกเราทุกคนในที่นี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนเจริญแล้วทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันด้วยเหตุผลไม่ดีกว่าเหรอ?” หลินหนานตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

“ทุกคนในห้องนี้ส่วนใหญ่ ก็ล้วนแล้วแต่ผ่านการใช้กําลังมาแล้วทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น สมาคมเมิ่งหลานคงจะอยู่ยืนยาวมาได้ไม่ถึงวันนี้แน่!”

อีกาดําตอบหลินหนานกลับไป พร้อมกับพูดต่อว่า “แต่ถ้าแกไร้ความสามารถก็รีบๆออกไปจากที่นี่ซะ!”

“เฮ้อ…คุณนี้ช่างเป็นคนที่ไร้เหตุผลสิ้นดี!” หลินหนานประณามเสียงดัง

“ หึ! อย่าเอาเหตุผลมาพูดที่นี่ คนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น ถึงจะสามารถชนะทุกเหตุผล!”

จากนั้น อีกาดําก็หันไปรอบๆห้อง พร้อมกับประสานฝ่ามือไว้ข้างหน้า และก้มศรีษะลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“อาวุโส และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมขอเสนอให้ตัดสินด้วยการประลอง ถ้าชายหนุ่มคนนี้สามารถเอาชนะผมได้ เขาย่อมมีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกของสมาคมเมิ่งหลานของเรา ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร?

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลายคนถึงกับต้องหันไปมองหน้ากัน เพราะทุกคนต่างก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกาดําอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า อีกาดํานั้นเป็นนักสู้ที่ทั้งดุร้ายแล้วก็แข็งแกร่งมาก หลายคนเคยจบชีวิตลงด้วยฝีมือของเขามาแล้ว

“ผมเห็นด้วยกับวิธีของอีกาดํา!” จูกั๋วตงเป็นฝ่ายออกความเห็นเป็นคนแรก

“ผมเห็นด้วยเช่นกัน!”

หลิวจื่อหยานเองก็พยักหน้าเห็นด้วย รวมถึงคนอื่นๆที่มีตําแหน่งใหญ่โต ต่างก็ไม่มีใครแสดงท่าที่คัดค้านแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งถึงจางเฉิง เขาดูมีท่าที่ละล้าละลังเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งจะประมือกับหลินหนานที่หน้าห้องจัดเลี้ยงมาก่อน จึงได้รู้ว่าหลินหนานเป็นคนที่มีฝีมือไม่น้อย แม้ท่าทางของเขาที่แสดงออกมาจะดูคล้ายคนอ่อนหัดไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่โคลนนุ่มนิ่มอย่างที่ทุกคนคิด เขาคือกําแพงที่แข็งแกร่งและน่ากลัว

แต่ในระหว่างที่จางเฉิงกําลังจะคัดค้านนั้น หรู่เฟิงก็ได้ประกาศว่า “ตกลง! ให้อีกาดําทดสอบความแข็งแกร่งของเขา ถ้าเขาชนะก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมเมิ่งหลานได้!”

น่าขัน ใครบ้างจะสามารถเอาชนะผู้ได้ตราสัญลักษณ์ดอกไม้แดงได้

โอกาสที่หมอนั่นจะชนะได้ ไม่ต่างจากโอกาสในการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

หลังจากที่ได้รับความยินยอมจากอาวุโสภายในห้อง อีกาดําก็ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความพอใจและหันไปพูดกับหลินหนานว่า

“ว่ายังไง? นี่เป็นโอกาสของแกแล้วนะ แกควรจะต้องรีบคว้าเอาไว้”

“โอกาสงั้นเหรอ?!” หลินหนานทําสีหน้าท่าทางคล้ายคนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

“ทําไม? หรือว่านึกกลัวขึ้นมา? ถ้าแกกลัว ก็รีบคุกเข่าโขกศรีษะต่อหน้าทุกคน แล้วก็พูดว่าผมสํานักผิดแล้ว! ฉันจะปล่อยให้แกกลับบ้านไปนอนกินนมได้!” อีกาดําร้องบอกหลินหนานด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ทุกคนในห้องจัดเลี้ยง ต่างก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนดังอีกก้องไปหมด..

สมน้ำหน้า!

สมควรแล้ว อวตดีนัก!

ต้องลงโทษแล้วก็สั่งสอนมันให้สาสม

คนอวดดีแบบนี้ ย่อมสมควรต้องเจอดี

ฝากนิยายของทีมงานด้วยนะคะ

เรื่อง : เทพปีศาจผงาดฟ้า

เขาฟื้นสติตื่นขึ้นมาในร่างและพื้นพิภพแห่งใหม่ หลังจากที่ล่วงลับตายจากไปในโลกก่อนหน้า

หลงเฉินเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ในพื้นพิภพที่เต็มไปด้วยเทพเซียนและมารปีศาจ สิ่งมีชีวิตลึกลับมากมายหลายหลาก และมนุษย์ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนขึ้นกลายเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน พร้อมผงาดขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งผืนพิภพทั้งมวล

หนทางเบื้องหน้าของเขามิได้เรียบง่ายอย่างที่คิด จําต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเกินคณานับ สังหารทุกคนที่เข้าขัดขวาง ยอดผู้ฝึกยุทธ์พเนจรท่องโลกาท้ายุทธภพสุดขอบฟ้า จนกลายเป็นที่รู้จักในนามเทพปีศาจแห่งจักรวาล ปกครองความเป็นและความตาย

แม้กระทั้งสรวงสวรรค์ยังต้องก้มกราบต่อหน้าเขา!

——

เรื่อง : จักรพรรดิ์เทพมังกร

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปตัวยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด

จากนั้น หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร