ตอนที่ 44.2 ท่านอาจารย์ ความจริงแล้ว ศิษย์พี่ของข้า... (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บัดนี้ป่าเงียบสงัดยิ่ง ได้ยินเพียงเสียงกรอบแกรบยามสายลมพัดผ่านยอดไม้เท่านั้น

ครั้นเมื่อมองขึ้นไปจากที่นี่ เนื่องจากมีต้นไม้ปกคลุมโดยรอบ จึงดูเหมือนว่าท้องฟ้าสีครามจะเหลือเพียงพื้นที่ขนาดเล็กเท่านั้น

ในชั่วพริบตานั้น นักพรตเต๋าชราผู้นี้ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันที

เขามองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้แล้วถามเสียงต่ำว่า “สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์พี่ของเจ้าสร้างขึ้นมาหรือ”

หลันหลิงเอ๋อร์ตอบว่า “น่าจะกล่าวว่าศิษย์พี่เป็นผู้ออกแบบสถานที่แห่งนี้ในขณะที่เซียนเสิ่นแห่งยอดเขาพิชิตสวรรค์ ท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วเป็นผู้จัดตั้งเจ้าค่ะ”

“อ้อ ไม่น่าแปลกใจเลย” ฉีหยวนพูดพร้อมกับยิ้มเหยเก “เป็นศิษย์น้องหญิงจิ่วจิ่วช่วยจัดตั้งให้นั่นเอง”

“ความจริงแล้ว ท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วไม่เข้าใจเรื่องการจัดวางค่ายกลเลย แต่ศิษย์พี่เป็นผู้บอกให้นางจัดตั้งตรงจุดนั้นจุดนี้ ทีละจุดทีละจุดเองเจ้าค่ะ”

หลันหลิงเอ๋อร์หยุดกล่าวไปชั่วขณะแล้วก้มหน้าลงก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า “ท่านอาจารย์ ท่านไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยหรือเจ้าคะ”

ในขณะนั้นฉีหยวนยกถ้วยชาของเขาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก มันเป็นชาดอกบัวเก๊กฮวยที่เขาโปรดปรานยิ่ง

“รู้เรื่องอันใด รู้ว่าเจ้าชื่นชอบศิษย์พี่ของเจ้าหรือ”

“ไอ้หยา!” หลันหลิงเอ๋อร์หน้าแดงขึ้นฉับพลัน

ฉีหยวนขมวดคิ้วขณะจ้องมองเขม็ง “เจ้าไม่ได้ชอบฉางโซ่วหรือ”

“ศิษย์…พูดตรงๆ ไม่ได้เจ้าค่ะ ศิษย์อาย…”

หลันหลิงเอ๋อร์สงบลงอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าค่ะ ”

“อ้อ?”

ฉีหยวนมองดูนางด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในสายตาของเจ้า แน่นอนว่า ศิษย์พี่ของเจ้าย่อมไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” หลันหลิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นเพื่อจัดเส้นผมข้างใบหูของนางให้เป็นระเบียบ “ศิษย์พี่มีความสามารถมากกว่าที่ท่านอาจารย์คิดจริงๆ เจ้าค่ะ… ตัวอย่างเช่น ค่ายกลที่นี่ ศิษย์พี่ใช้ค่ายกลพื้นฐานเหล่านี้สร้างค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการขึ้นมาเจ้าค่ะ… แม้เขาจะขอให้ท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วช่วย แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ศิษย์พี่จัดการที่นี่เพียงลำพังเจ้าค่ะ”

แล้วฉีหยวนก็นิ่งงันไปอีกครั้ง

หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวเสริมอีกว่า “กว่าสิบปีที่ศิษย์เข้าร่วมสำนักมา ศิษย์พี่ได้สอนสั่งศิษย์มากมาย… ท่านอาจารย์เจ้าคะ มีหลายครั้งหลังจากที่ท่านอาจารย์สั่งสอนถึงเต๋า ศิษย์สับสนไม่เข้าใจเหตุผล ศิษย์พี่ก็จะมาอธิบายแก่นสารของมันให้แก่ข้าเสมอมาเจ้าค่ะ…บ่อยครั้งที่เขาสามารถชี้ให้เห็นความหมายที่แท้จริงในหนึ่งหรือสองประโยค ดังนั้นข้าจึงบรรลุมาถึงขอบเขตพลังเช่นนี้ได้เจ้าค่ะ”

ฉีหยวนขมวดคิ้วแล้วมองไปที่หลันหลิงเอ๋อร์โดยไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง

หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ดูสิ บัดนี้ศิษย์มีขอบเขตพลังอยู่ในระดับใดแล้วเจ้าคะ”

ฉีหยวนลูบเคราของเขาพลางครุ่นคิดก่อนจะตอบว่า “ขอบเขตหลอมรวมปราณขั้นเก้า?”

หลันหลิงเอ๋อร์ชูนิ้วเป็นรูปกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้างและสำแดงตราผนึกซับซ้อนออกมา จากนั้นพลังลมปราณภายในกายนางก็แผ่พุ่งออกไปภายนอก “แล้วบัดนี้เล่าเจ้าคะ?”

ฉับพลันนั้นดวงตาของฉีหยวนก็เบิกกว้างขึ้นแล้วกล่าวว่า “สร้างปราณวิญญาณเทพขั้นห้า! หลันหลิงเอ๋อร์ เจ้าทำได้เมื่อใดกัน!”

หลันหลิงเอ๋อร์ทำท่าทางเงียบๆ สำแดงตราผนึกมือของนางอีกครั้ง จากนั้นลมปราณรอบกายนางก็ถูกระงับไปอย่างรวดเร็ว

นางกระซิบเสียงแผ่วเบาว่า “นี่คือเวทสงบลมปราณเต๋าที่ศิษย์พี่ถ่ายทอดให้ข้า มันสามารถซ่อนระดับขอบเขตพลังได้ ตราบใดที่ข้าไม่ได้มีการสัมผัสกายกับเซียนเสิ่น ข้าก็ยังสามารถปกปิดหรือเปิดเผยขอบเขตพลังระดับใดก็ได้ตามแต่ข้าต้องการเจ้าค่ะ”

บัดนี้มีเพียงความตกใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของฉีหยวนเท่านั้น

“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่เข้าสำนักมาได้ร้อยกว่าปีแล้ว ท่านใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปิดด่านฝึกบำเพ็ญเพื่อฝ่าทะลวงขึ้นสู่เซียน ความเข้าใจและความใส่ใจในตัวศิษย์พี่จึงน้อยเกินไปเจ้าค่ะ”

ในเวลานั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมา และใช้มือซ้ายของนางรองรับฐานถ้วยน้ำชาในขณะที่มือขวาของนางก็ถือถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเบาๆ ด้วยท่าทีมั่นใจ

“ในขณะนี้ ด้วยอุบายของท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู ศิษย์พี่จึงต้องไปที่ทะเลบูรพา ศิษย์อยากชี้แจงสิ่งเหล่านี้ให้ท่านอาจารย์ทราบอย่างชัดเจนเจ้าค่ะ…

ศิษย์คอยเฝ้าดูศิษย์พี่อยู่ข้างๆ และเห็นเขาทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อท่าน แต่ท่านไม่รู้เรื่องนี้เลย และทุกครั้งที่ท่านพบศิษย์พี่ ท่านก็จะเอาแต่ดุด่าเขาหรือพูดว่าเขาย่ำแย่เพียงใด

ท่านอาจารย์ ข้าเกรงว่าเวลานี้ศิษย์พี่คงอยู่ไม่ไกลจากการบรรลุเป็นเซียนแล้วเจ้าค่ะ และหากศิษย์คาดไม่ผิด โอสถสลายเซียนที่ท่านใช้ก็ถูกหลอมมาจากสมุนไพรหญ้าสลายเซียน ซึ่งเป็นศิษย์พี่ไปขุดหามาจากส่วนลึกของดินแดนเทวะอุดรในงานชุมนุมหาประสบการณ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน

ท่านอาจารย์ ท่านกังวลเกี่ยวกับเรื่องทัณฑ์สวรรค์ของตัวท่านเอง ในขณะที่ศิษย์พี่กังวลมากที่สุดคือการฝ่าทัณฑ์สวรรค์ของท่าน และพยายามอย่างมากเพื่อให้ท่านบรรลุเป้าหมายนั้น ท่านอาจารย์สิ่งที่ท่านเพิ่งเห็นไปคือกรงเวท…ในความเป็นจริงแล้ว ศิษย์พี่ได้สร้างวัตถุเวทมากกว่าสิบชิ้น เพื่อต้านทานทัณฑ์สวรรค์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เมื่อทดสอบติดตามผลแล้วก็พบว่าพวกมันไม่ได้ผล

ศิษย์เห็นเขาหงุดหงิดเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนที่เขาจะลงนั่งยองๆ ต่อหน้าวัตถุเวทที่ถูกสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์จำลองถล่มทลาย มีเพียงเวลาเดียวที่ศิษย์เห็นเขาเคร่งเครียด นั่นก็คือช่วงเวลาที่ท่านข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เจ้าค่ะ”

หลันหลิงเอ๋อร์มองไปที่อาจารย์ผู้เฒ่าฉีหยวน ในขณะที่ฉีหยวนงงงันจนนั่งนิ่งอยู่กับที่ราวกับต้นไม้

“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ศิษย์ไม่ได้กล่าวเหลวไหลนะเจ้าคะ…”

หลันหลิงเอ๋อร์ค่อยๆ กล่าวถึงสิ่งที่นางรู้เกี่ยวกับศิษย์พี่ผู้นี้

แม้นางจะปกปิดหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้เพราะคำสั่งของศิษย์พี่ แต่นางก็ไม่ได้พูดเกินจริงเลย

จากนั้นฉีหยวนก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมาในขณะที่ขอให้หลันหลิงเอ๋อร์สำแดงเวทสงบลมปราณเต๋าอีกครั้ง จากนั้นก็มองไปที่ร่างหลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งมีโอสถเซียนและโอสถพิษพกไว้จำนวนมาก เป็นผลให้เขานั่งนิ่งอีกครั้งและตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด

หลังจากนั้นไม่นาน

ฉีหยวนก็เอ่ยถามอย่างไม่สบายใจว่า “หลิงเอ๋อร์ บอกอาจารย์หน่อยสิ…บอกว่าในฐานะอาจารย์… ข้าควรทำอย่างไรดี ควรกล่าวชื่นชมศิษย์พี่ของเจ้าเมื่อเขากลับมาหรือไม่”

“ท่านอาจารย์ ท่านควรทำราวกับว่าวันนี้ศิษย์ไม่ได้บอกอะไรท่านเลย และแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น แล้วปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นเคยเจ้าค่ะ” หลันหลิงเอ๋อร์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่คงจะเข้ามารับพวกเราในเวลาต่อมา ท่านก็สามารถตีก้นเขาด้วยแส้หางม้า…

แต่ห้ามท่านใช้กำลังเด็ดขาดนะเจ้าคะ…ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์อยากตีศิษย์พี่ ความจริงแล้วเขาก็จงใจเผยข้อบกพร่องเพื่อให้ท่านอาจารย์จับเขาได้หรอกเจ้าค่ะ”

ฉีหยวนตกใจ เส้นสีดำสองสามเส้นพาดตามหน้าผากพลางฝืนยิ้มขื่นขณะกล่าวว่า “นี่อาจารย์เหลือทนเช่นนั้นเลยหรือ”

“เอ่อ…” หลันหลิงเอ๋อร์รีบร้องลั่นออกมาว่า “ท่านอาจารย์ ท่านเปี่ยมปัญญาและกล้าหาญยิ่ง! และมีเคล็ดวิชาเซียนไร้ที่สิ้นสุดเจ้าค่ะ!”

ทว่าฉีหยวนยังลังเลที่จะกล่าวตอบว่า “หากเป็นเช่นนั้น ในฐานะอาจารย์ จะให้ข้าแสร้งทำเป็นว่าข้าไม่ได้ยินอะไรเลยอย่างนั้นหรือ”

“สิ่งที่ศิษย์พี่ต้องการมากที่สุดก็คือ การที่ผู้อื่นไม่สนใจและสังเกตเห็นเขา แล้วสร้างโชควาสนาด้วยตัวเขาเอง” หลันหลิงเอ๋อร์มุ่ยปากพลางบ่นว่า “ข้าต้องจงใจทำตัวโง่เขลามากขึ้นต่อหน้าเขา ข้าจะแสร้งทำเป็นมึนงงไม่รู้เรื่องในยามจำเป็น ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องเหินห่างจากข้าไปอย่างแน่นอน…”

บัดนี้การสนทนาของหลันหลิงเอ๋อร์พลันเปลี่ยนไป เมื่อนางเริ่มบริภาษว่า หลี่ฉางโซ่วมักรังแกศิษย์น้องหญิงน้อยเช่นนางอย่างไร และพยายามบรรเทาความเศร้าในใจของท่านอาจารย์

และในไม่ช้า ฉีหยวนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มขบขันไปกับนางแล้วหัวเราะซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับมีกำลังวังชาขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้า! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

จากนั้นฉีหยวนก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางด้านข้างเพื่อมองดูแผนผังของค่ายกลที่จัดวางขึ้นที่นี่ซึ่งเขาไม่สามารถเข้าใจ โดยไม่ยอมให้ศิษย์คนเล็กได้เห็นน้ำตาเปียกชื้นอยู่ที่หางตาของเขาในเวลานี้

“ในฐานะอาจารย์ เป็นข้าเองที่เห็นแก่ตัวเกินไป ข้าคิดแต่เพียงการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์และเอาแต่ปิดด่านบำเพ็ญเพียรเท่านั้น…

อนิจจา หลังจากที่อาจารย์รับศิษย์พี่ของเจ้ามาที่สำนักและถ่ายทอดเคล็ดวิชาการฝึกฝนให้เขาแล้ว ข้าก็เอาแต่ปิดด่านบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอดเวลา ข้าคิดว่าหลังจากผ่านพ้นทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ จะสั่งสอนพวกเจ้าทั้งคู่ให้ฝึกฝนอย่างดี แต่ข้ากลับพบว่าเป็นข้าเองที่ได้รับความใส่ใจดูแลเสมอมา ก็นั่นหละนะ

ไม่เป็นไร อาจารย์ไม่สนใจหรอก อาจารย์จะไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว…หากมีศิษย์เช่นนี้ ข้าย่อมสามารถบอกบรรพชนแห่งยอดเขาหยกน้อยให้วางใจอย่างสบายใจได้เช่นกัน!”

หลังจากนั้น ฉีหยวนก็หันไปมองหลันหลิงเอ๋อร์และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้ศิษย์คนเล็กของข้าก็ยังมีเหตุมีผล ฉลาด มีไหวพริบอย่างยิ่ง”

หลันหลิงเอ๋อร์ยิ้มเขินอายและพึมพำเบาๆ ว่า “เพื่อให้คู่ควรกับศิษย์พี่ ข้าฝึกฝนอย่างหนักมาโดยตลอดเจ้าค่ะ”

“อ้อ?”

“เอ่อ ท่านอาจารย์ดื่มชาสิเจ้าคะ! ชาจะเย็นแล้ว! แล้วท่านอาจารย์โปรดอย่าเปิดเผยถึงสิ่งที่ศิษย์กล่าวออกมาในวันนี้นะเจ้าคะ!”

“ก็ได้ ก็ได้ พวกเราทั้งคู่จะแสร้งทำเป็นโง่ต่อหน้าศิษย์พี่ของเจ้า” หลังจากที่ฉีหยวนกลับมานั่งลงที่โต๊ะเตี้ยแล้วหยิบแส้หางม้าออกมาก่อนจะกล่าวว่า “อาจารย์จะสอนบทเรียนให้ศิษย์พี่ของเจ้าในภายหลัง พวกเจ้าก็จะร่วมมือกันเพื่อประลองฝีมือกัน”

นัยน์ตาของหลันหลิงเอ๋อร์เป็นประกายขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วกล่าวว่า “ได้หรือเจ้าคะ ท่านอาจารย์”

“แน่นอน หลังจากที่เล่นเป็นลิงหลอกอาจารย์มาหลายปีแล้ว ข้าต้องสั่งสอนบทเรียนที่ถูกต้องให้เขา!”

หลันหลิงเอ๋อร์เริงร่าขึ้นทันทีและกระตือรือร้นอยากลองขึ้นมาทันใด

ฉีหยวนกล่าวอีกครั้งว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะปิดด่านฝึกบำเพ็ญเพื่อให้รู้แจ้งเกี่ยวกับการฝึกฝนของเซียนจั๋ว และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็จะมอบยอดเขาหยกน้อยแห่งนี้ให้พวกเจ้าทั้งคู่ดูแลไป”

หลังจากกล่าวเช่นนี้แล้ว ฉีหยวนก็มองไปยังน้ำชาที่อยู่เบื้องหน้าเขาในขณะที่มองดูเงาสะท้อนใบหน้าแก่ชราอยู่ในนั้น พร้อมทั้งอดส่ายศีรษะและหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้

อัศจรรย์ยิ่ง…ช่างวิเศษสุดจริงๆ!

…………………………………………………………