ตอนที่ 45.1 วางแผนเล็กน้อยเพื่อจะเป็นเทพ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ระหว่างทางกลับไปยังสำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่วก็คิดว่า หลังจากที่ข้าออกมาข้างนอกสองสามวันแล้ว บนยอดเขาน่าจะเป็นปกติดีใช่หรือไม่

ท่านอาจารย์น่าจะยังคงดื่มอยู่บนยอดเขาอื่น และยังบอกให้ศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาปิดด่านฝึกบำเพ็ญ

สถานการณ์ที่น่าจะมีปัญหายุ่งยากมากที่สุดก็คือ มีคนไปที่ยอดเขาหยกน้อย แล้วบังเอิญบุกรุกเข้าไปในค่ายกลที่อยู่รอบๆ หอโอสถ แม้ค่ายกลกับดักและเขาวงกตจะไม่สร้างความเสียหายโดยตรง แต่การอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน ก็จะทำให้พวกเขาเสียสติและก่อให้เกิดจิตมารได้โดยง่าย

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกือบทำให้อาจารย์ลุงจิ่วอูเป็นบ้าไปแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการ

เขาทิ้งเส้นทาง ‘ผู้มาเยือน’

หากโจรบุกรุกเข้าไปในค่ายกล เขาจะทำให้บ้าคลั่งและกำจัดพวกเขาทันที แต่ในสำนักมีค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา แล้วจะมีโจรจากภายนอกเข้ามาได้อย่างไรกันเล่า

ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้ที่บุกเข้ามาในค่ายกลก็น่าจะเป็นคนในสำนักเดียวกันกับเขาที่มาด้วยจุดประสงค์แปลกๆ ใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ย่อมไม่เหมาะสมที่จะสังหารหรือทำให้พวกเขาบ้าคลั่ง

ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงได้ติดตั้งป้ายบอกทางตามเส้นทางตันเพื่อนำทางผู้บุกรุกให้เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและอบอุ่นเพื่อให้คนผู้นั้นรู้สึกเสถียรมั่นคงชั่วคราว

และด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงความอึดอัดที่อาจตามมาได้ในภายหลัง ทั้งยังป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายวิ่งพล่านไปทุกที่ และเขายังมีเวลาเหลือเฟือเพื่อเตรียมการจัดวางสิ่งอื่นๆ ได้

ยิ่งกว่านั้น หากเขาสามารถดักจับเซียนเสิ่นซึ่งเคลื่อนที่ไปทุกหนทุกแห่งอย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะกระตุ้นให้เปิดค่ายกลสังหารที่ซ่อนอยู่ได้

ความจริงแล้ว ไม่ว่าผู้บุกรุกจะเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา แต่เมื่อถึงเวลานั้น ก็ย่อมจะกลายเป็นเรื่องลำบากเมื่อสำนักพบว่าเขาทำผิดกฎในการสร้างค่ายกล

บทบาทหน้าที่ของค่ายกลคือการป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาใกล้หอโอสถ และค่ายกล ‘ต้อนรับผู้มาเยือน’ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาหลักที่สำคัญสองประการข้างต้นนี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

นี่เป็นมาตรการที่จำเป็น หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว

ยิ่งกว่านั้น เขายังยืมใช้ชื่ออาจารย์ของเขาและเลียนแบบลายมือของเขาเพื่อเขียนลงไปบนป้ายไม้บอกทางด้วย

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ท่านอาจารย์ของเขาก็คือ ปรมาจารย์ผู้นำแห่งยอดเขาหยกน้อย ในขณะที่เขาเป็นเพียงศิษย์อาวุโสแห่งยอดเขาหยกน้อยเท่านั้น

ในที่สุดข้าก็จะกลับไปในเร็วๆ นี้แล้ว

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วกวาดสำรวจไปทั่วภูเขาที่ผ่านไปในระยะไกลและคาดคำนวณถึงการเดินทางที่เหลือของเขา

หลังจากที่เขากลับมา เขาจะระงับระดับขอบเขตพลังของเขาต่อไปและทำความเข้าใจสูตรเพลิงสมาธิแท้

ในขอบเขตเล็กๆ ยามนี้ของเขา หากหลี่ฉางโซ่วต้องการระงับความเร็วในการทะลวงฝ่าด่านตามธรรมชาติของเขา ก็น่าจะสามารถระงับมันได้อีกราวสองปีหรือมากกว่านั้น

สองปีก็เพียงพอแล้วที่เขาจะฝึกฝนสูตรเพลิงสมาธิแท้ในระดับต้นได้ด้วยตัวเอง

และครั้งต่อไปที่เขาออกจากภูเขา ก็จะเป็นการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อย่างเป็นทางการของเขา

แล้วก็เป็นอีกครั้ง ข้าควรจะอธิบายให้อาจารย์รู้เรื่องหอโอสถและค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการที่อยู่รอบๆ อย่างไร หากอาจารย์ถามว่าค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการจัดตั้งได้อย่างไร ข้าควรจะเปิดเผยพลังที่ซ่อนเอาไว้บางส่วนกับอาจารย์หรือไม่

แน่นอนว่าหลี่ฉางโซ่วย่อมไว้ใจอาจารย์ของเขาได้ แต่หากอาจารย์ของเขาพูดความจริงหลังจากดื่มสุราจนเมามายแล้วเล่า…

ช่างมันเถิด อาจารย์และศิษย์น้องหญิงของเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดกับเขามากที่สุด ดังนั้นขอบเขตอำนาจและการปฏิบัติของพวกเขาทั้งสองที่นี่ก็ควรจะเท่าเทียมกัน

หลี่ฉางโซ่วจะกลับไปพูดคุยกับอาจารย์ของเขาในเรื่องนี้เพื่อให้อาจารย์ของเขารับรู้เท่าที่ศิษย์น้องหญิงของเขารู้

และในขณะที่เขาเข้าใกล้ภูเขาของสำนัก สายลมยามค่ำคืนก็ค่อนข้างอบอุ่นอย่างไม่คาดคิด

……

เมื่อหลี่ฉางโซ่วกลับไปถึงสำนักตู้เซียน ก็เป็นเวลากลางดึก ท่ามกลางดวงจันทร์ส่องแสงสว่างไสวในขณะที่ดวงดาวดารดาษเต็มท้องฟ้า

กลุ่มคนแยกย้ายกันตรงด้านหน้าของหอไป่ฝาน จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็อำลาอาจารย์อาจิ่วจิ่ว ก่อนจะขึ้นเมฆขาวและล่องลอยไปยังยอดเขาหยกน้อย

เห็นได้ชัดว่าโหย่วฉินเสวียนหย่าอยากพูดกับหลี่ฉางโซ่วสักสองสามคำ แต่เมื่อนางร่อนลงสู่พื้นก็มีอาจารย์ลุงหลายคนเรียกนางให้ไปที่หอไป่ฝาน นางจึงไม่มีโอกาสได้หลบเลี่ยง

หลี่ฉางโซ่วลอยออกไปบนเมฆขาวโดยไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนสองสามคนแถวนั้น เพราะผู้คนอื่นๆ ต่างสดชื่นรื่นรมย์กับเหตุการณ์ที่มีความสุข และการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มหาศาลของพวกเขาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

แต่เมื่อหลี่ฉางโซ่วนึกถึงการเดินทางไปทะเลบูรพา สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นอย่างรวดเร็ว…

เขายังไม่แน่ใจว่าเหตุใดองค์ชายมังกรถึงเลือกเขาในวันนั้น

เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ตัวข้าได้พบกับอ๋าวอี่ที่อุตริไม่เหมือนชาวบ้านอีกครั้ง ข้าต้องอยู่ให้ห่างจากพวกชนชั้นสูงโบราณเหล่านี้ในอนาคต

ในขณะนี้บนยอดเขาหยกน้อยเงียบสงัดยิ่ง หลี่ฉางโซ่วตรวจพบได้จากระยะไกลว่า ศิษย์น้องหญิงน้อยและอาจารย์ของเขาไม่ได้อยู่ในกระท่อมของตัวเอง เขาแผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้ของเขาออกไปสำรวจทั่วทั้งพื้นที่ขนาดใหญ่ และในชั่วพริบตานั้นก็พบว่าพวกเขาติดอยู่ที่ริมขอบค่ายกล

นี่คือ? พวกเขาถูกขังอยู่ด้วยกันข้างในได้อย่างไร

ท่านอาจารย์ของเขามักจะปิดด่านบำเพ็ญเพียรอยู่เสมอ ดังนั้นท่านจึงไม่รู้เรื่องค่ายกลที่ด้านหลังภูเขา แต่หลิงเอ๋อร์เป็นผู้ที่คอยเฝ้าดูในระหว่างที่เขาจัดวางค่ายกล แล้วพวกเขาเข้ามาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร

หรือพวกเขาจะคิดว่าที่นั่นมีทิวทัศน์ดี ดังนั้นอาจารย์และศิษย์คู่นี้จึงพากันไปดื่มชาและดูดวงดาวด้วยกัน?

หลี่ฉางโซ่วลอยไปบนเมฆขาว เขาไม่รีบร้อนที่จะไปปล่อยพวกเขาทั้งสองคน แต่ตรวจสอบทั้งจากภายในและออกไปภายนอกของค่ายกล แล้วจึงพบป้ายหยกที่ใช้ควบคุมค่ายกลถูกทิ้งเอาไว้ด้านนอกค่ายกลกับดัก

สายลมโชยพัดมาพาหมอกสีขาวเข้าในป่าและหายไป ในขณะที่ป่าทึบก็ดูเหมือนจะมีพุ่มไม้หนาแน่นน้อยลงกว่าเดิมอยู่บ้าง

ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็ส่งเสียงลิงโลดออกมาทันที “ท่านอาจารย์! ศิษย์พี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

“หือ” ฉีหยวนพลันเริงร่าและคิดจะลุกขึ้นทันที ทว่าจู่ๆ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จึงนั่งลงอย่างเรียบร้อย และเผยใบหน้าปกติของเขาพลางหยิบแส้หางม้าขึ้นมา!

“อะแฮ่ม! เจ้าเด็กสารเลว…ดีจริงๆ หลี่ฉางโซ่ว! ไม่รีบมาเพื่อรับโทษอีกหรือ!”

หลี่ฉางโซ่วที่กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าพลันกะพริบตาและสัมผัสถึงกลิ่นทะแม่งๆ ได้

ในทันทีที่เขาร่อนลงสู่พื้นดิน ท่านอาจารย์ก็สะบัดแส้หางม้าในมือของเขาแล้ว

หลังจากข้ามผ่านสู่การเป็นเซียนจั๋ว ความแข็งแกร่งของฉีหยวนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แส้หางม้านี้ยามฟาดออกไปจะสาดเส้นสายแผ่ออกเป็นตาข่ายสีขาวเต็มไปทั่วท้องฟ้าในชั่วพริบตา! ซึ่งหากไม่เป็นเพราะความอดทนของเขาแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็คงหนีไม่พ้นแน่ๆ!

ครั้นเมื่อเส้นสายแส้ดั่งตาข่ายสีขาวตกลงมา หลี่ฉางโซ่วก็ถูกมัดเอาไว้ภายใต้ตาข่ายสีขาวนั้น

ฉับพลันนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็รีบกระโจนเข้าใส่เหยื่อของนางทันทีราวกับเสือโคร่งเนื้อนุ่มที่โดดใส่หลี่ฉางโซ่ว และเขาก็ถูกศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาผลักล้มลงไปอย่างกะทันหัน

ชั่วขณะนั้นพลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาเจือเสียงหัวเราะดังก้องกังวานไปทั่วป่า

ทว่าในครั้งนี้ ‘บทเรียน’ ที่สั่งสอนศิษย์พี่นั้นไม่รุนแรงเท่าที่หลันหลิงเอ๋อร์คาดคิดเอาไว้

ต้องขอบคุณศิษย์พี่ของนางที่ไม่ขัดขืนและตอบโต้ใดๆ เลย และท่านอาจารย์ของนางที่คอยเฝ้าดูทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นในขณะที่นางทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้

นางเป็นแค่ศิษย์น้องหญิงน้อย และหากท่านอาจารย์ของนางไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ นางย่อมไม่อาจทำกับศิษย์พี่ของนางเช่นนั้นได้จริงๆ…

และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป นางก็เห็นสายตาเตือนจากศิษย์พี่ของนาง

ฮึ่ม!