บทที่ 63 พลังสาปแช่งที่ลึกลับ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 63 พลังสาปแช่งที่ลึกลับ
หวงจี๋เฮ่ากลับไปแล้ว

แต่หานเจวี๋ยไม่อาจมองเขาตรงๆ ได้อีก

ระดับความประทับใจที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลมากจนกระทั่งหานเจวี๋ยสงสัยว่าเจ้าหมอนี่คิดเลยเถิดกับเขาแล้ว

หลังจากนั้น หานเจวี๋ยจึงหันมาฝึกฝนต่อ

สำนักกระบี่วิหคชาดสามารถหาตัวคนบงการมาได้หรือไม่ยังคงพูดได้ยาก หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้กังวลว่าพวกเขาจะทำได้หรือไม่

ต่อให้สิบเก้าสายสำนักจะบุกเข้ามาพรุ่งนี้ เขาก็ไม่ได้กังวล

ในสายตาของเขามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น

เขาต้องทะลวงระดับสุญตาขันที่สองโดยเร็ว!

……

ภายในถ้ำแห่งหนึ่งมีเปลวเพลิงสั่นวูบไหว สิงหงเสวียนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้ากองไฟ

โฮก…

ด้านนอกถ้ำมีเสียงร้องคำรามที่ดังสนั่นผ่านเข้ามา น่าเกรงขามอย่างยิ่ง

สิงหงเสวียนค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางเพ่งมองไปยังตัวอักษรที่ประทับอยู่บนหน้าผา หว่างคิ้วยับย่นเล็กน้อย

“เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนยังขาดอะไรไป”

สิงหงเสวียนคิดหนัก

ที่นี่เป็นแดนลึกลับแห่งหนึ่งของผู้บำเพ็ญในยุคบรรพกาล สิงหงเสวียนค้นพบโดยบังเอิญว่าสถานที่แห่งนี้มีการบันทึก วิชายุทธ์ลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก นางรวบรวมความกล้ามุ่งมั่นฝึกฝน ภายในเวลาหนึ่งปีตบะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ระยะทางที่นางจะเรียนรู้วิชายุทธ์นี้ทั้งหมดยังอีกยาวไกลนัก

สิงหงเสวียอดนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมาไม่ได้

หากเขาอยู่ด้วย บางทีอาจจะช่วยข้าแก้ปัญหาได้

พอนึกได้เช่นนี้ สิงหงเสวียนจึงนำหุ่นเชิดสวรรค์ออกมา

นางให้หุ่นเชิดสวรรค์นั่งลงข้างตนเอง เอียงศีรษะของตนพิงกับหุ่นเชิดสวรรค์เบาๆ เริ่มพักผ่อน

นับตั้งแต่มีหุ่นเชิดสวรรค์ ทุกครั้งที่นึกถึงหานเจวี๋ย นางก็จะนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ออกมา

นางมักจะบอกกล่าวเรื่องราวในใจของตนเองให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ฟัง

เพราะในหุ่นเชิดสวรรค์มีจักขุวิญญาณของหานเจวี๋ยซ่อนอยู่ หานเจวี๋ยจึงไม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องร้ายอะไรกับนาง

ผ่านไปเนิ่นนาน

สิงหงเสวียนนั่งตัวตรง เตรียมที่จะฝึกฝนต่อ

ทันใดนั้นเอง

ด้านนอกถ้ำกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น

สิงหงเสวียนหวาดวิตก รีบร้อนนำอาวุธเวทออกมา

เห็นเพียงชายชราในชุดคลุมสีเทาที่ใบหน้าเปล่งปลั่งดุจทารกคนหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ เขามองเห็นสิงหงเสวียนที่ตื่นตระหนก ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ผู้เยาว์ ไม่ต้องกังวลไป ข้าก็มาหยั่งรู้วิชายุทธ์เช่นกัน”

หยั่งรู้วิชายุทธ์?

สิงหงเสวียนขมวดคิ้ว ในใจสับสน

หรือก่อนที่นางจะมาถึงที่นี่ ชายชราผู้นี้ก็ค้นพบปราการเขาลูกนี้แล้ว?

ชายชราชุดคลุมสีเทาไม่ได้สนใจสิงหงเสวียน เดินเข้าไปนั่งลงเบื้องหน้าปราการเขา เริ่มจดจ้องไปยังตัวอักษรบนปราการเขาครุ่นคิดอย่างหนัก

ทั้งสองต่างไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าดวงตาของหุ่นเชิดสวรรค์ค่อยๆ เปล่งประกายวิบวาวออกมาน้อยๆ

……

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยลังเลใจ

ควรให้หุ่นเชิดแห่งสวรรค์ลงมือหรือไม่

นับตั้งแต่สิงหงเสวียนเข้าไปยังแดนลึกลับบรรพกาล เขาก็จับตามองดูตลอด ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องใดกับสิงหงเสวียน

แต่ว่าชายชราชุดคลุมสีเทาผู้นี้ก็ดูราวกับไม่มีเจตนาร้ายใดๆ

ช่างเถิด

คอยดูไปก่อน

หากชิงลงมือก่อนแล้วสู้ชายชราชุดคลุมสีเทาไม่ได้ เช่นนั้นคงกระอักกระอ่วนไม่แล้ว

หานเจวี๋ยหันมาฝึกฝนต่อ

เพียงพริบตาเดียว

เวลาก็ผ่านพ้นไปอีกสองปี

สิงหงเสวียนและชายชราชุดคลุมสีเทายังคงหยั่งรู้วิชายุทธ์บนปราการเขา ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เปิดค่าความสัมพันธ์ตรวจดูจดหมาย

[ซูฉีศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญตระกูลหลิว] x43

[ซูฉีศิษย์ของท่านถูกตระกูลหลิวใช้อำนาจบีบบังคับแต่งงาน]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร] x8

[ฉางเยวี่ยเอ๋อร์สหายของท่านได้รับพลังวิเศษ]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญตระกูลเว่ย] x288

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เคราะห์ดีหนีรอดได้]

[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่โชคร้าย ตระกูลหลิวเผชิญกับโรคระบาดที่พบยากในหนึ่งพันปี ตายทั้งตระกูล]

[เซียนซีเสวียนสหายของท่านรู้แจ้งบางอย่างระหว่างฝึกบำเพ็ญ ตบะเพิ่มพูน ระดับความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์]

……

ซูฉี เจ้าเด็กนี่ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!

ไปถึงไหน หายนะถึงนั่น…

หานเจวี๋ยนึกกลัวในใจ

ดูเหมือนดวงชะตาทายาทจักรพรรดิเซียนของเขานั้นจะแข็งแกร่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานความโชคร้ายระดับนี้ได้

ตระกูลหลิวช่างน่าเวทนานัก

นอกจากนั้นแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับหวงจี๋เฮ่า

หรือตระกูลเว่ยก็เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังโม่ฟู่โฉว

ตระกูลเว่ยนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!

คิดไม่ถึงว่าจะสามารถทำร้ายหวงจี๋เฮ่าได้!

แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนมีคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

หานเจวี๋ยรีบใช้พลังจิตส่งกระแสเสียงไปยอดเขาหลักที่หลี่ชิงจื่อกำลังรักษาตัวอยู่ทันที เพื่อสอบถามเรื่องตระกูลเว่ย

หลี่ชิงจื่อได้ยิน ก็รีบมาถ้ำเทวาของหานเจวี๋ยทันที

“ผู้อาวุโสหาน ท่านถามเรื่องตระกูลเว่ยด้วยเหตุใด” หลี่ชิงจื่อถามอย่างเป็นกังวล

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วเอ่ย “ตระกูลเว่ยนี่แข็งแกร่งมากหรือ”

หลี่ชิงจื่อกล่าวตอบว่า “ตระกูลเว่ยไม่นับว่าแข็งแกร่ง มีปรมาจารย์ระดับปราณก่อกำเนิดเพียงหนึ่งคน ทว่าตระกูลเว่ยนั้นเต็มไปด้วยหญิงงามล่มบ้านล่มเมือง ตระกูลเว่ยเกี่ยวดองไปทั่วสารทิศ แม้กระทั่งมีกิจการค้าขายภายนอกต้าเยี่ยน โดยเฉพาะเส้นสายที่สามารถเรียกได้ว่ากว้างขวางที่สุดในแดนบำเพ็ญต้าเยี่ยน”

หานเจวี๋ยเอ่ยถามขึ้น “มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ตระกูลเว่ยจะเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่าทีของหลี่ชิงจื่อก็ตกตะลึง เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “คงไม่ใช่กระมัง ตระกูลเว่ยกับโม่ฟู่โฉวไม่มีความแค้นอันใดต่อกัน และกับสำนักพิสุทธิ์ก็มีสัมพันธ์อันดี…”

เขาเองก็ไม่มั่นใจนัก

ตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่ว่าใครก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น

“ไม่เป็นไร ท่านเจ้าสำนักพักรักษาอาการให้หายดีเถอะ หากศัตรูบุกเข้ามา มีข้าอยู่” หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าว

หลี่ชิงจื่อพยักหน้าเช่นกัน ก่อนลุกจากไป

ก่อนจากไปนั้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม

หรือจะเป็นตระกูลเว่ยจริงๆ

หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา สาปแช่งหลี่เฉียนหลงและเซียวเอ้อร์ตามความเคยชิน

ช่วงนี้ เมื่อเขามีเวลาว่างก็จะสาปแช่งสองคนนี้

ฝึกฝน ตรวจจดหมาย สาปแช่ง ฝึกฝน ตรวจจดหมาย สาปแช่ง…

นี่ก็คือชีวิตประจำวันของหานเจวี๋ย

……

ท่ามกลางเทือกเขาที่ดุจดั่งแดนเซียน เซียวเอ้อร์นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในป่าไผ่ พลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นหมอกหนาปกคลุมทั่วร่าง

พรวด

เซียวเอ้อร์พลันกระอักเลือดออกมา ไม่นานดวงหน้าที่อัปลักษณ์ก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด

สภาพทั่วร่างของเขาย่ำแย่ลง

เขากัดฟันกรอดก่อนเอ่ยด่า “เกิดอะไรขึ้น… เหตุใดถึงมักเกิดความผิดพลาด…”

ช่วงสิบปีมานี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขามักจะเผชิญมารในใจระหว่างฝึกฝนเสมอ รบกวนการฝึกของเขา แม้กระทั่งเกือบทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรก

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อไรกันที่เขาจะสามารถฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิม

เซียวเอ้อร์กลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก

นับตั้งแต่เข้าไปแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนครานั้น เขาก็รู้สึกว่าเหตุใดตนเองถึงทำอะไรไม่ราบรื่นไปเสียหมด

แปลกประหลาดยิ่งนัก!

เขาตัดสินใจแล้ว หลังจากนี้จะไม่เดินทางไปแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนเพียงลำพังเด็ดขาด

ส่วนหานเจวี๋ย แม้เขาจะเกลียดชัง แต่ก็ไม่ได้บุ่มบ่ามที่จะแก้แค้นในทันที

ชั่วชีวิตนี้คนที่เขาเคยโกรธแค้นชิงชังมีมากมายเกินไป ในใจของเขาหานเจวี๋ยนั้นยังไม่อยู่ในลำดับรายชื่อ

เช่นนั้นเดิมทีเขาจึงไม่คิดว่าสาเหตุนั้นจะมาจากหานเจวี๋ย

เซียวเอ้อร์ยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้ม ทำได้เพียงหยิบโอสถออกมารักษาอาการบาดเจ็บก่อน

……

ภายในตำหนักที่ที่นั่งโอ่อ่าตระการตา มีผู้บำเพ็ญสิบคนกำลังนั่งอยู่

หลี่เฉียนหลงและผู้บำเพ็ญในชุดคลุมสีดำนั่งอยู่ในตำแหน่งหลัก

“ทุกท่าน ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสเว่ยหยวน เป็นผู้บำเพ็ญระดับสุญตา ครั้งนี้ยินดีมาช่วยพวกเราขุดรากถอนโคนสำนักหยกพิสุทธิ์” หลี่เฉียนหลงแนะนำผู้บำเพ็ญที่นั่งอยู่

เว่ยหยวนก็คือผู้บำเพ็ญในชุดคลุมสีดำที่นั่งอยู่ข้างกายเขา

“เจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณมีตบะระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า กล่าวคือมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์มีระดับความสามารถที่สมน้ำสมเนื้อกับระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นเก้า ข้าและตระกูลเว่ยจึงเชิญผู้อาวุโสเว่ยหยวนมาเพื่อทวงความเป็นธรรมแก่พวกเราโดยเฉพาะ ส่วนนักพรตเต๋าจิ่วติ่งนั้น พวกเราได้ข่าวมาว่าเขาเดินทางออกไปต่างแดนเป็นที่แน่แท้แล้ว เจ้านักของพวกเขาเองก็กำลังเผชิญกับปัญหาของตนเอง ไม่มีเวลาที่จะมาปกป้องสำนักหยกพิสุทธิ์”

คำพูดของหลี่เฉียนหลงทำให้ผู้บำเพ็ญที่นั่งอยู่ต่างมองหน้าสบตากัน

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ล้วนเป็นเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักของสายหลักและสายมาร ครั้งนี้ที่มารวมตัวกันก็เพื่อปรึกษาหารือเรื่องโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์

เมื่อได้ยินว่าเว่ยหยวนเป็นผู้บำเพ็ญระดับสุญตาขั้นเก้า พวกเขากลับไม่ได้ยินดี แต่รู้สึกกังวลมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

พอโค่นสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ที่ตระกูลเว่ยจะกลายเป็นสำนักหยกพิสุทธิ์แทน

พวกเขาก็ไม่มีทางชนะผู้บำเพ็ญระดับสุญตาได้!

หลี่เฉียนหลงเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคนในสายตา กล่าวต่อว่า “ผู้อาวุโสเว่ยหยวนมีสำนักของตนเอง ครั้งนี้ตระกูลเว่ยของเราใช้ความจริงใจเป็นอย่างมากถึงสามารถเชิญเขามาได้ หลังจากเรื่องนี้จบลง ผู้อาวุโสเว่ยหยวนจะจากไป หลังจากโค่นล้มสำนักหยกพิสุทธิ์ลงแล้ว ตระกูลเว่ยต้องการเพียงแดนลึกลับของสำนักหยกพิสุทธิ์เท่านั้น จะไม่เข้าร่วมแย่งชิงอำนาจของแดนบำเพ็ญพรตอย่างแน่นอน”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา สีหน้าท่าทางของเจ้าสำนักแต่ละสำนักก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย

หลี่เฉียนหลงลอบพึงพอใจ

ผู้อาวุโสสังหารเทพ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะสามารถรับมือกับผู้บำเพ็ญระดับสุญตาได้หรือไม่!

ในเวลานั้นเอง!

พลังวิญญาณภายในร่างของหลี่เฉียนหลงก็พลันปั่นป่วน กระอักโลหิตออกมาจากปากทันที

บรรดาเจ้าสำนักที่นั่งอยู่ล้วนตกตะลึง ลุกพรวดขึ้นมาตามๆ กัน กวาดมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

…………………………………………………..