บทที่ 64 ความซาบซึ้งใจของซูฉี ระดับสุญตามาโจมตี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 64 ความซาบซึ้งใจของซูฉี ระดับสุญตามาโจมตี
สามปีต่อมา

หานเจวี๋ยทะลวงระดับสุญตาขั้นสอง

สิงหงเสวียนยังคงศึกษาวิชายุทธ์ นางและชายชราชุดคลุมเทาผู้นั้นต่างก็ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน

หลังจากทะลวงระดับสุญตาขั้นที่สองสำเร็จ ด้วยความเคยชินของหานเจวี๋ยจึงเปิดค่าความสัมพันธ์ตรวจสอบจดหมาย

[หยางเทียนตงลูกศิษย์ของท่านกลายเป็นราชาปีศาจ]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x129

[นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสหายของท่านเผชิญการโจมตีจากผู้บำเพ็ญอิสระ]

[ซูฉีลูกศิษย์ของท่านได้รับโอกาสวาสนา บรรลุพลังวิเศษ]

[โม่วฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร] x287

[โม่วฟู่โฉวสหายของท่านเผชิญการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x302

[โม่วฟู่โฉวสหายของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส เคราะห์ดีหนีรอดได้]

[โจวฝานสหายของท่านเข้าสู่สายมาร]

……

ฉิบ!

มีศิษย์เข้าสู่สายมารอีกคนแล้วหรือ

ทั้งยังเป็นผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอีกด้วย!

หานเจวี๋ยหมดคำพูด

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับยอดเขาอัสนีสวรรค์

เจ้าเขาเป็นจารชน ศิษย์สายหลักสองคนก็ยังหักหลังอีก!

ตบะของโม่ฟู่โฉวและโจวฝานล้วนอยู่เหนือระดับรวมแก่นปราณขั้นที่ห้า เรียกได้ว่าก้าวหน้าอย่างมหาศาลทีเดียว

ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเจออะไรมากันแน่

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้น เขาพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้น

สุนัขอ้วนตัวนี้นั่งอยู่หน้าปากถ้ำเทวา ท่าทางอึกๆ อักๆ ราวกับอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา

หานเจวี๋ยเอ่ยปากถาม “มีอะไร”

เมื่อสุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นได้ยิน จึงรีบเอ่ยปากทันที “นายท่าน…ข้าสามารถออกไปฝึกประสบการณ์ด้านนอกสักครั้งได้หรือไม่ ข้าอดใจไม่ไหวแล้วจริงๆ!”

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นเฝ้ารอคำตอบอย่างกระสับกระส่าย

“เจ้าเป็นสัตว์เทพ หากสถานะถูกเปิดเผย ย่อมดึงดูดความโลภของคนอื่นได้ง่าย เมื่อถึงตอนนั้นข้าคงช่วยเจ้าได้ยากนัก” หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง

นิสัยของสุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นนั้นช่างเป็นปัญหาจริงๆ

ไม่เหมือนกับไก่คุกรัตติกาล เนื่องจากไก่คุกรัตติกาลได้รับการสั่งสอนจากเขาโดยตรง จนกลายเป็นไก่เชื่องไปแล้ว แต่นิสัยของสุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากหากจะเกลี้ยกล่อมไม่ให้มันออกไปเผชิญโลกภายนอก

“นายท่านวางใจเถิด ข้าจะระวังเป็นอย่างดี ไม่หาเรื่องใส่ตัว และไม่เปิดเผยสถานะของตน ข้าออกไปไม่นานก็กลับ” สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นเอ่ยยืนยัน

หานเจวี๋ยไตร่ตรองสักพัก จึงตอบว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ”

ในฐานะสัตว์เทพโชคชะตา สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นไม่มีทางตายง่ายๆ

ปล่อยให้มันไปเผชิญกับโลกภายนอกก็ดี มันจะได้รู้เสียทีว่าการถ่อมตนฝึกฝนอยู่ข้างกายเขานั้นดีเพียงใด

สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นตื่นเต้นดีใจ พลันพุ่งตัวลงจากเขาในทันที

ไม่นานนัก

ไก่คุกรัตติกาลก็มา

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไร เจ้าก็อยากไปด้วยอย่างนั้นหรือ”

ไก่คุกรัตติกาลตกใจตัวสั่นงันงก กล่าวออกไปว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร! ตีให้ตายข้าก็ไม่ไป ข้าจะอยู่กับนายท่านไปตลอด ข้างนอกนั่นอันตรายเกินไป! ในที่สุดสุนัขอ้วนตัวนั้นก็ไปจนได้สินะ นายท่าน ท่านสอนข้าบำเพ็ญเพียรได้หรือไม่”

ได้ยินเช่นนั้น หานเจวี๋ยก็พลันลุกขึ้น

จริงๆ เขาก็ควรจะถ่ายทอดความสามารถให้ไก่คุกรัตติกาลอยู่บ้าง

ไก่คุกรัตติกาลมีวิชายุทธ์ติดตัวแต่กำเนิดอยู่แล้ว ขาดเพียงวิชาเวทและพลังพิเศษเท่านั้น

ไก่คุกรัตติกาลในตอนนี้มีขนาดใหญ่เท่าห้องใต้หลังคาแล้ว

เมื่อเห็นขนาดตัวที่ใหญ่ของมัน หานเจวี๋ยพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

เขาตัดสินใจจะถ่ายทอดพลังค้ำฟ้าเสมือนพสุธาให้แก่ไก่คุกรัตติกาล

โดยเขาจะแนะนำให้มันได้รู้จักกับความแข็งแกร่งของพลังค้ำฟ้าเสมือนพสุธาอย่างง่ายๆ เป็นอันดับแรก

ไก่คุกรัตติกาลตื่นเต้นดีใจ ลอบเอ่ยว่า ‘เจ้าสุนัขอ้วนน่าตายนั้น คงนึกไม่ถึงล่ะสิว่าพอเจ้าจากไปแล้ว ข้าก็มาแอบเรียนพลังวิเศษกับนายท่าน รอเจ้ากลับมาก่อนเถอะ พี่ไก่จะกระทืบเจ้าแน่!”

ก็เป็นเช่นนี้ จากนั้นหานเจวี๋ยจึงเริ่มชี้แนะการฝึกฝนพลังพิเศษให้กับไก่คุกรัตติกาล

……

ภายในเมืองที่ดูเจริญแห่งหนึ่ง

ซูฉีเดินก้าวเท้าเยื้องย่างไปบนถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอย พลุกพล่านไปด้วยเหล่าผู้บำเพ็ญมากหน้าหลายตา

จากหานเจวี๋ยไปหลายปี ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นไม่น้อย ไม่มีรอยยิ้มพรายบนใบหน้าเฉกเช่นเมื่อก่อน ทำให้ผู้พบเจอสัมผัสถึงการผ่านความเปลี่ยนแปลงมามากมาย

ซูฉีเดินไปพลางมองซ้ายแลขวาไปรอบๆ

หลังจากเหตุการณ์ตระกูลหลิวเสียชีวิตทั้งตระกูล ก่อนหนีออกมาเขาฉวยโอกาสในการนำทรัพย์สินในตระกูลหลิวติดตัวออกมาทั้งหมด ตอนนี้แหวนเก็บสมบัติของเขาเต็มไปด้วยหินวิญญาณและโอสถรวมวิญญาณ

ผ่านพ้นเรื่องอันตรายและความยากลำบากมาเหลือคณา กระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมภารกิจที่หานเจวี๋ยมอบให้

“บางทีผลลัพธ์ของภารกิจก็ไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญนั้นคือวิธีการ”

ซูฉีหวนคิดเงียบๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาก็พลันทอดถอนใจออกมาในที่สุด

ทุกครั้งที่เขาเกือบจะหมดหวัง เรื่องร้ายมักจะกลายเป็นดีอยู่เสมอ

เขาเดาว่าคงเป็นหานเจวี๋ยที่คอยปกป้องเขาอยู่ลับๆ อย่างแน่นอน!

ต้องใช่แน่ๆ!

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน!

ไม่เช่นนั้นทุกครั้งที่เขาตกอยู่ในอันตราย เหตุใดจึงรอดพ้นมาได้

อีกอย่างเขาก็จำได้ว่าหานเจวี๋ยเคยกล่าวไว้ว่า หานเจวี๋ยจะเดินทางไปสำนักมารปีศาจด้วยตนเอง และกำจัดสำนักมารปีศาจให้สิ้นซาก

บางทีผู้อาวุโสอาจจะกำลังฝึกปรือเขาอยู่ เพื่อให้เขากลายเป็นศิษย์ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม!

ทุกครั้งที่เขาคิดได้เช่นนี้ ซูฉีก็รู้สึกลุกโชน เลือดภายในกายพลุ่งพล่าน

เขาไม่ได้ตัวคนเดียว!

เขาไม่ได้เดินคนเดียว!

ในใจของเขาตอนนี้ หานเจวี๋ยก็ได้กลายเป็นอาจารย์ของเขาแล้ว!

มีอาจารย์คอยปกป้องอยู่ข้างหลังเช่นนี้ ข้าจะต้องทะนุทนอมไว้อย่างดี!

ปึก!

ในขณะที่ซูฉีกำลังอยู่ในห้วงคิดของตนเองอยู่นั้น เขาก็ชนกับคนคนหนึ่งเข้าโดยไม่ตั้งใจ

ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้พลังวิญญาณผลักเขากลับในทันที

ซูฉีถอยร่นไปหลายก้าว เงยหน้าขึ้นเห็นเป็นสตรีนางหนึ่ง จึงรีบเอ่ยปากขอโทษนางในทันใด “ขออภัย”

หน้าตาของสตรีนางนี้ค่อนข้างสะสวย ทว่าอารมณ์ร้ายเป็นที่สุด นางชี้นิ้วด่าทอซูฉีในทันที “ไม่มีตาหรืออย่างไร เชื่อหรือไม่ว่าข้าควักลูกตาเจ้าออกมาได้”

ดุชะมัด!

ซูฉีส่ายหน้าพลางหลุดยิ้มออกมา ไม่ได้ถือโทษโกรธนางแต่อย่างใด เตรียมจะเดินอ้อมผ่านสตรีนางนั้นไป

ทว่าเมื่อสตรีนางนั้นเห็นว่าซูฉีไม่สนใจ นางยิ่งระเบิดโทสะ ชักกระบี่ตวัดพุ่งไปทางเขาทันที

เสียงคมกระบี่ที่ถูกชักออกมาจากฝักอย่างรุนแรงนั้น ทำให้เหล่าวิหคปีศาจที่ถูกเตรียมไว้สำหรับรอจำหน่ายอยู่ข้างๆ ต่างตื่นตกใจกลัว วิหคปีศาจหลายตัวพลันกระโจนเข้าหานางทันที ทำให้นางตกใจจนตวัดกระบี่ออกไปอย่างสะเปะสะปะ สถานการณ์ตกอยู่ในความลำบากเป็นอย่างมาก

เมื่อซูฉีเห็นภาพฉากนั้น จึงลอบยิ้มขึ้นเงียบๆ

คิดไว้ไม่มีผิด!

ผู้อาวุโสแอบช่วยข้าอีกแล้ว

ความอบอุ่นซาบซ่านขึ้นภายในใจของซูฉี

……

หลังจากที่สุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้นจากไปไม่ถึงหนึ่งปี

ภายใต้การนำของหลี่เฉียนหลงและเว่ยหยวน ในที่สุดเหล่านักบำเพ็ญทั้งสิบเก้าสายสำนักก็พร้อมบุกโจมตีสำนักหยกพิสุทธิ์

แต่ละสำนักต่างนำศิษย์มาหลายสิบ หรือหลายร้อยคนมา แต่ละคนล้วนมีตบะในระดับสร้างฐานขั้นแปดขึ้นไปทั้งนั้น

ทั้งหมดรวมกันแล้ว ก็มีประมาณหลายพันคน

พวกเขาไม่ได้โจมตีเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทาง หากแต่รวมกันเป็นทิวแถวบุกตีเข้ามา

พวกเขากังวลว่าตนเองจะต้องประจันหน้ากับผู้บำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสสังหารเทพผู้ลึกลับท่านนั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะตามอยู่ด้านหลังเว่ยหยวน

รอจนกระทั่งเว่ยหยวนสังหารผู้อาวุโสสังหารเทพแล้ว พวกเขาจึงจะสามารถโรมรุกบุกตะลุยเข้าไปได้

เว่ยหยวนย่างก้าวช้าๆ ไปในอากาศ แขนเสื้อโบกสะบัดตามแรงลม เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเทพเซียน

เขาใช้พลังจิตกวาดไปทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์

เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ภายในสำนักหยกพิสุทธิ์มีระดับเปลี่ยนวิญญาณท่านเดียว อีกทั้งร่างกายยังบาดเจ็บสาหัส”

เขาเหลือบมองหลี่เฉียนหลงอย่างไม่พอใจ

สายตาคู่นั้นราวกับกำลังกล่าวว่านี่เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ

เว่ยหยวนออกเดินทางไกลมาอย่างองอาจ แต่สุดท้ายกลับต้องมาประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณที่กำลังบาดเจ็บคนเดียว?

เสียทีที่ก่อนหน้าที่จะมานั้นเขาตั้งใจเตรียมพร้อมที่จะทำศึกมาเป็นพิเศษ อาวุธเวทหลากหลายชนิด ทั้งกระดาษยันต์ต่างๆ ล้วนเตรียมพร้อมมาทั้งหมด

แต่ผลสุดท้าย…

กลับกลายเป็นเช่นนี้?

หลี่เฉียนหลงได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามด้วยความดีใจ “เขาได้รับบาดเจ็บหรือ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีน่ะสิ!”

เป้าหมายของเขาคือการทำลายสำนักหยกพิสุทธิ์ ไหนเลยจะสนใจอะไรมากมายเพียงนั้น

เว่ยหยวนพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ

ในเมื่อมาแล้ว

เขาคงทำได้เพียงเดินหน้าต่อ

ทว่าเวลาเดียวกันนั้น

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

พลันปรากฏข้อความหนึ่งขึ้นต่อหน้าหานเจวี๋ย

[สำนักหยกพิสุทธิ์เผชิญการโจมตีจากสายหลักสายมารทั้งสิบเก้าสายสำนัก ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง หลบหนีทันที หลีกเลี่ยงการปะทะ จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[สอง สังหารศัตรู ปกป้องสำนักพิสุทธิ์ จะได้รับเคล็ดวิชาเวทหนึ่งเล่ม]

หานเจวี๋ยไม่ได้ตัดสินใจเลือกในทันที แต่ใช้การฝึกจำลองอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบผู้แข็งแกร่งที่สุดในระแวกใกล้เคียง

[เว่ยหยวน: ระดับสุญตาขั้นหนึ่ง มาจากเขตแก่นประจิม รองเจ้าสำนักเก้ามังกร]

ระดับสุญตาขั้นหนึ่ง?

ไม่เลวนี่!

หานเจวี๋ยดำเนินการตามแบบจำลองการทดสอบ ประลองฝีมือกับเว่ยหยวน

สามวินาทีต่อมา

เขาตาเบิกโต ส่ายศีรษะไปมา

เขาเกิดความคิดเช่นเดียวกับเว่ยหยวน

แค่นี้หรือ

……