“ให้ข้าตัดสินหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง ความเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาเรียวรีของเขา เขาทำราวกับว่าเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแต่อย่างใด “เช่นนั้นก็ให้เป็นโทษประหารชีวิต”

โทษประหารชีวิตหรือ มือของเฮ่อเหลียนเวยเวยกำเข้าหากันแน่น องค์ชายสามผู้ยิ่งใหญ่อะไรกัน ช่างเนรคุณเสียจริง!

เนื้อกระต่ายที่นางย่างให้ในป่าวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรกับย่างให้หมากิน!

เขาไม่รู้จักสำนึกบุญคุณเลยจริงๆ!

เดี๋ยวสิ

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว เขาบอกเองว่าเป็นโทษประหาร แล้วเขายื่นมือมาให้นางทำไม

คงไม่ได้คิดว่ามือตัวเองสวยจนนางยอมยกโทษให้หรอกนะ…

ตอนที่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายด้วยความเด็ดเดี่ยว ทีแรกนางตั้งใจว่าจะตบหน้าเขาสักฉาด แต่แล้วทั้งร่างของนางก็เหมือนพลัดตกลงไปในดวงตาสีดำสนิทราวน้ำหมึก และลึกล้ำราวกับบ่อน้ำโบราณของชายหนุ่มเข้า ตาคู่นั้นดั่งมีเวทมนตร์ราวกับสามารถดูดกลืนนางเข้าไปได้

เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักงัน เอ๋ เขาอยากประหารชีวิตนางมิใช่หรือ ทำไมถึงยังยื่นมือมาช่วยนางก่อนตายอีกล่ะ

นางคิดว่าองค์ชายสามช่างรู้ดีเสียจริงว่าตนเองควรปฏิบัติตัวอย่างไร ให้นางกินพุทราก่อนตาย[1] พอนางไปถึงนรกแล้ว จะได้ไม่ต้องเคียดแค้นเขา!

อย่าหวังเลยว่านางจะเป็นคนใจอ่อนเช่นนั้น…

แต่เขาจะดูุถูกนางมากเกินไปแล้ว คิดหรือว่านางจะยอมจำนนต่อเสน่ห์สมชายชาตรีของเขาง่ายๆ

ขันทีซุนแทบเป็นบ้าเพราะเด็กสาวจากตระกูลเฮ่อเหลียน เขาลดเสียงลง แล้วเร่งนางอย่างร้อนใจ “คุณหนูเฮ่อเหลียน องค์ชายกำลังช่วยท่านอยู่ เฮ้อ ทำไมยังไม่รีบส่งมือของท่านให้ฝ่าบาทอีก ท่านคิดจะให้เขาลดตัวลงมาเช่นนี้อีกนานแค่ไหนกัน!”

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายสามจะช่วยนาง นางยื่นมือตัวเองออกไปวางลงบนปลายนิ้วของเขา สัมผัสนั้นทำให้นางชาจนไร้เรี่ยวแรงได้อย่างคาดไม่ถึง

เขาจับมือนางเอาไว้เพียงครู่เดียวก่อนจะผละออก ราวกับพยายามเลี่ยงความสกปรกที่อยู่บนมือของนาง บนใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมความยุติธรรมแต่ก็ดูชั่วร้ายอยู่ในทีนั้นมีความสง่างามไร้รอยด่างพร้อยปรากฏอยู่ รูปโฉมอันงดงามราวกับภาพวาดนั้นทำให้ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

นางพบว่านางมององค์ชายสามไม่ออกจริงๆ

หลังจากนั้น นางก็ได้ยินเขากล่าวขึ้นว่า “ในฐานะที่เป็นถึงตัวแทนของเจ้าสำนัก แต่กลับเป็นผู้ริเริ่มให้การใส่ร้ายคนรุ่นหลังที่ซื่อสัตย์และยุติธรรมเสียเอง โทษของเขาย่อมเป็นการประหารชีวิตอย่างแน่นอน”

เสียงของเขาไม่ได้ดัง แต่ก็เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งที่กดทับลำคอของคนฟังเอาไว้

ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวจากก้นบึ้งของหัวใจ รู้สึกเหมือนเลือดของตนถูกแช่แข็ง มันเงียบเสียจนพวกเขาได้ยินเสียงของเลือดที่สูบฉีดอยู่ในร่างกายได้เลยทีเดียว…

มันช่างเงียบเสียจนน่ากลัว

แม้แต่อากาศก็คล้ายกับหยุดนิ่งไป

ใบหน้าของจิ้งอู๋วั่งซีดเผือดในทันใด เขายืนตัวแข็งทื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง ‘ตุ้บ’!

อาจเป็นเพราะพลังนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถึงกับตัวสั่นงันงก เหงื่อจากฝ่ามือของนางทำให้ผ้าเช็ดหน้าในมือเปียกชุ่ม ขณะที่นางมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ปากของนางก็เผยอขึ้นคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่นางก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา

มู่หรงฉางเฟิงคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ ความประหลาดใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเขา

เขาไม่คิดเลยว่าองค์ชายสามผู้เฉยชากับทุกสิ่งจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้น ทันทีที่เขาเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ก็ได้มอบข้อเสนออันยอดเยี่ยมให้แล้ว

มู่หรงฉางเฟิงอยากคัดค้านเขา แต่ก็ไม่อาจหาข้อแก้ตัวใดมาแย้งได้

เมื่อแหที่เรียกว่า “การใส่ร้ายคนรุ่นหลังที่ซื่อสัตย์และยุติธรรม” ถูกเหวี่ยงออกไป ต่อให้ไม่ว่ามีจะมีผู้เกี่ยวข้องกี่คน พวกเขาก็ต้องได้รับโทษประหารชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น!

มีเพียงเฮ่อเหลียนเหมยคนเดียวเท่านั้นที่ยังอ่านบรรยากาศนี้ไม่ออก

ไม่ใช่สิ แทนที่จะบอกว่านางอ่านบรรยากาศไม่ออก

อันที่จริงควรจะบอกว่านางทำใจเชื่อไม่ลงต่างหากว่าองค์ชายสามผู้สูงส่งและหยิ่งผยองจะยื่นมือเข้าไปช่วยคนไร้ค่า!

“ฝ่าบาท ท่านรับสั่งอันใดผิดไปหรือไม่เพคะ คนที่สมควรถูกสั่งประหารชีวิตจะกลายเป็นอาจารย์จิ้งไปได้อย่างไรเพคะ!”

เฮ่อเหลียนเหมยชี้นิ้วไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเดือดดาล “เห็นๆ กันอยู่ว่าผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่มีจุดประสงค์ชั่วร้าย นางช่วยชีวิตองค์ชายของเผ่าไป๋เจ๋อเอาไว้ได้ แต่จงใจที่จะไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวจนถึงวินาทีสุดท้าย เพื่อรอจะใส่ร้ายท่านอาจารย์ต่างหากล่ะเพคะ!”

ทันทีที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ยินคำพูดนั้น นางก็รู้ได้ในทันทีว่า ‘ซวยแล้ว!’ นางก้าวออกมาข้างหน้า แล้วรีบตำหนิว่า “น้องสาม เงียบซะ!”

“ทำไมข้าต้องเงียบด้วย พี่รอง ท่านดูผู้หญิงคนนี้สิเจ้าคะ นางเป็นคนเดิมเหมือนอย่างที่นางเคยเป็นหรือ ไม่เลย! นางเป็นอสรพิษมากเล่ห์ พวกเราเพียงแค่หลงผิดไปนิดเดียว แต่นางกลับกัดพวกเราไม่ปล่อย ข้าว่าที่ผ่านมานางต้องไปเรียนการทำเสน่ห์ของนางจิ้งจอกมาแน่ๆ เจ้าค่ะ กระทั่งฝ่าบาทที่ท่านชอบที่สุดก็ยัง…”

เพี๊ยะ!

เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เห็นสีหน้ารู้ทันของคนที่อยู่โดยรอบ และเห็นว่าดวงตาของชายผู้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาราวกับน้ำแข็งในบ่อลึก นางก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป จึงใช้ฝ่ามือของตนตบหน้าของเฮ่อเหลียนเหมยอย่างแรง!

การตบนี้ไม่ได้แค่ทำให้เฮ่อเหลียนเหมยตกตะลึง แม้กระทั่งเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังเลิกคิ้วขึ้นอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นนางก็ลูบเจ้าแมวขาว มุมปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย

อกของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กระเพื่อมขึ้นลง ราวกับนางกำลังพยายามข่มกลั้นโทสะเอาไว้ภายใน

นางรู้ดีว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทใด มีสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกเขาปฏิเสธไปอย่างไม่ไยดี สิ่งที่คนสูงส่งและหยิ่งผยองเช่นเขาเกลียดที่สุดคือคนที่ใช้แผนการกับเขา

นั่นจึงเป็นเหตุให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางมักจะสงวนถ้อยคำเวลาอยู่ต่อหน้าเขาเสมอ แม้นางจะได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา แต่นางก็ทำเพียงยิ้มอย่างสุขุม แม้กระทั่งตอนที่นางรู้เรื่องการคัดเลือกพระชายาขององค์ชายสาม นางก็ไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกของตนให้ใครรู้แม้แต่คนเดียว

นางแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้สนใจเขามากนัก แม้กระทั่งตอนที่เด็กสาวคนอื่นๆ จากตระกูลขุนนางถามนาง นางก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะข่มความพอใจและความสุขที่ตนมีเอาไว้

แต่ตอนนี้ล่ะ ประเดี๋ยวเดียวเฮ่อเหลียนเหมยก็เปิดเผยความลับที่อยู่ลึกภายในใจของนางออกมาให้ทุกคนได้รู้เสียแล้ว!

นางแทบจะนึกภาพออกเลยว่าในเวลานี้บรรดาเด็กสาวที่มีสัมพันธ์อันดีต่อนาง และมักจะลากตัวนางไปคุยเรื่ององค์ชายสามจะมองนางด้วยสายตาเช่นใด!

หากน้องสามของนางจะโง่ไปเองคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ถึงกับลากนางลงไปด้วย แล้วจะไม่ทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกโมโหได้อย่างไร!

“ท่านตบข้าหรือ พี่รอง ท่านถึงขนาดตบหน้าข้าเชียวหรือ!” น้ำเสียงแหลมบาดหูของเฮ่อเหลียนเหมยดังขึ้น นางยังอารมณ์ร้อนเหมือนอย่างเคย นางถลึงตาใส่อีกฝ่าย แล้วกระโจนเข้าไปหมายจะกระชากผมของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางรับไม่ได้ที่ถูกตบต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้!

เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักกระทั่งวิธีการควบคุมตัวเอง นางก็นึกโกรธขึ้นมา นางคว้าข้อมือของเฮ่อเหลียนเหมย ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “หยุดได้แล้ว เฮ่อเหลียนเหมย เจ้าอยากให้เราสองคนพี่น้องกลายเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคนหรือ”

“ถ้าพวกมันจะเห็นเราเป็นตัวตลก เช่นนั้นก็ให้มันเห็นไป!” เฮ่อเหลียนเหมยโมโหจนไม่สนใจสิ่งใด เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่อยากให้ใครรู้ แต่นางกลับตัดสินใจแล้วว่า ไม่ปลาตาย แหก็ต้องขาด[2]กันไปข้างหนึ่ง “ยังไงซะตั้งแต่เด็กจนโต ข้าก็ไม่เคยเป็นอะไรได้นอกจากตัวตลกของท่านอยู่แล้ว”

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ชะงักไป “เจ้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร”

“หรือจะบอกว่าไม่ใช่” เฮ่อเหลียนเหมยตะคอกเสียงดัง เมื่อเทียบกับตัวนางในยามปกติแล้ว ตัวนางในเวลานี้ไร้สติยั้งคิดยิ่งกว่า เรียกได้ว่าคลุ้มคลั่งไปแล้วก็ว่าได้ นางถึงกับเผยด้านอัปลักษณ์ของตนออกมาให้ทั้งโลกได้รับรู้ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชั่วช้าเพียงใด ท่านก็สั่งให้ข้าไปทำ ข้าเป็นแค่เพียงเครื่องมือของท่านเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะให้ข้าลงมือที่ใด ข้าก็จะต้องลงมือ! และผลลัพธ์ที่ได้คือการที่ท่านได้ชื่อเสียงอันดีให้กับตัวเอง แต่ข้าไม่เคยได้อะไรเลย แม้แต่ท่านพ่อก็รักท่านมากกว่า! ทุกคนควรจะได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วท่านมันไม่มีอะไรดีเลย!”

“เฮ่อเหลียนเหมย!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตัวสั่นแล้วเอ่ยเตือนเสียงเบา “วันนี้เจ้าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”

เฮ่อเหลียนเหมยยิ้มเยาะ ดวงตาทั้งสองข้างของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ “ข้าหรือ ข้าก็แค่เพิ่งจะตาสว่างจากฝ่ามือของท่านอย่างไรล่ะ นังคนโฉดชั่วแพศยา!”

ทุกคนถึงกับตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้น

ใครๆ ก็รู้ว่าปกติแล้วสองพี่น้องผู้มีหน้าตางดงามคู่นี้ต่างก็เป็นที่รักของคนที่ได้พบเห็น พี่คนโตอ่อนหวาน ใจเย็น และงดงาม ส่วนคนน้องก็มีชีวิตชีวา แม้กระทั่งตอนพูดคุยก็ยังเรียกความรักใคร่เอ็นดูจากผู้คนได้อย่างมากมาย

แต่ดูวันนี้สิ นี่มันอะไรกัน เฮ่อเหลียนเหมยเหมือนกับคนข้างถนนไม่มีผิดเลย โอ้ สวรรค์!

ในระหว่างที่ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง มีแค่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคนเดียวที่มองไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวยซึ่งยืนอยู่ข้างกาย สายตาของเขาเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ และลึกล้ำราวกับบ่อน้ำโบราณ…

[1] ให้พุทรากิน เป็นสำนวน หมายถึง ทำหรือพูดให้กระทบกระเทือนใจในตอนแรกแล้วกลับทำหรือพูดปลอบใจในตอนหลัง ตรงกับสำนวนไทย ตบหัวลูบหลัง

[2] ไม่ปลาตาย แหก็ต้องขาด เป็นสำนวน หมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย