ในเสี้ยววินาทีนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าตนถูกอีกฝ่ายมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง

แต่คิดดูอีกที ต่อให้นางถูกเขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็แล้วจะทำไม

นางช้อนดวงตาหงส์คู่งามของตนขึ้น สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

ตอนนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ทำให้องค์ชายสามจดจำนางเอาไว้ในฐานะของ ‘ผู้หญิงชั่วร้ายและเอาแต่ใจ’ คงไม่ใช่เรื่องดีนัก หากในอนาคต ปัญหาที่เรียกว่าการคัดเลือกพระชายาหล่นลงมาทับนางเข้า

คิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงลูบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนไหล่ของตน แล้วใช้น้ำเสียงที่ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเอ่ยติดหัวเราะว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าทำได้ดีมาก”

“ที่จริงข้ายังไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ก็แค่หยิบยืมฝ่ามือของพี่สาวนางที่บังเอิญตบมาได้อย่างถูกที่ถูกเวลา แล้วทำให้นางพูดทุกสิ่งที่อยู่ในใจออกมาก็เท่านั้น” เจ้าแมวขาวมองคนที่ทะเลาะกันอยู่ตรงหน้าเขาทั้งสองคนอย่างรังเกียจ มันลูบหนวดของตัวเองด้วยความขยะแขยง

ด้วยเหตุนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาของเขาก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นมุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย…

ภาพนี้ทำให้ขันทีซุนที่จับตามองเขามาครู่ใหญ่นึกสงสัยว่าสายตาของตนมีปัญหาหรือเปล่า

มิฉะนั้น เหตุใดเจ้านายของเขาถึงได้ปฏิบัติต่อเด็กสาว ‘ตัวดำ’ คนนี้ดีนักเล่า

เป็นเรื่องเข้าใจผิด นี่มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน!

และในตอนนั้นนั่นเองที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใสซื่อบริสุทธิ์ถูกเฮ่อเหลียนเหมยกระชากเส้นผมเอาไว้ในมือ ความรวดร้าวที่ส่งผ่านมาทางหนังศีรษะของนางช่างเจ็บปวดยิ่งนัก มันเกือบทำให้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้วสบถคำด่าออกมา นางจ้องเขม็งไปที่เฮ่อเหลียนเหมยด้วยความโมโหสุดขีด แต่นางรู้ว่าต่อให้พูดอะไรออกไปก็คงไม่มีประโยชน์ ดังนั้นนางจึงรวบรวมพลังปราณในร่างทันที เมื่อนางปล่อยพลังนั้นออกมา เฮ่อเหลียนเหมยก็ถูกผลักออกไปไกลกว่าสามฉื่อ!

ใบหน้าของมู่หรงฉางเฟิงซีดเผือด เขาไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น เฮ่อเหลียนเหมยที่เชื่อฟังเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มาโดยตลอดพูดเรื่องร้ายกาจเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร

เขาจำได้ว่าตอนที่เขาไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ สองพี่น้องไม่ได้เป็นคนเช่นนี้

ดูเหมือนว่าสภาพของพวกนางที่เห็นในเวลานี้ ช่างแตกต่างกับที่เคยเห็นเมื่อตอนนั้นราวฟ้ากับเหว

เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือนิสัยที่แท้จริงของพวกนาง

มู่หรงฉางเฟิงตัวแข็งทื่อ แม้เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะดูดีกว่าเล็กน้อย แต่นางก็ดูดุร้ายกว่าในยามปกติ ส่วนเฮ่อเหลียนเหมยนั้นมีสภาพเหมือนกับหมาบ้าไม่มีผิด ถ้าขืนปล่อยให้นางพูดพล่ามอยู่อย่างนี้ เห็นทีนางคงได้เอาเรื่องอื่นมาป่าวประกาศอีกเป็นแน่ แต่ถ้าเขาพูดอะไรออกไปเพื่อปกป้องพวกนาง เช่นนั้นเขาก็จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย

โครม!

เฮ่อเหลียนเหมยถูกทุ่มลงบนพื้นอย่างแรง เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนโดยรอบลอยเข้ามาในหูนางทีละคนสองคน นางส่ายหน้า แล้วจึงค่อยๆ ตั้งสติได้ทีละน้อย เมื่อนึกถึงสิ่งที่นางเพิ่งจะพูดออกไป สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

ทำไมล่ะ ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

เมื่อครู่นางเหมือนกับโดนผีสิงไม่มีผิด ซ้ำยังถึงกับพูดทุกอย่างที่นางไม่ควรพูดออกมาด้วย!

“ไม่นะ!” เฮ่อเหลียนเหมยกุมศีรษะ แล้วกรีดร้องออกมา “ใครกัน ใครเป็นคนจัดฉากใส่ร้ายข้า! ข้าไม่ได้อยากพูดเช่นนั้นนะ!”

จบสิ้นแล้ว ทุกอย่างพังจนไม่เหลือชิ้นดี!

เฮ่อเหลียนเหมยเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา คอของนางเต็มไปด้วยรสชาติอันขมปร่า นางไม่กล้าแม้แต่จะมองคนที่อยู่รอบตัวเลยแม้แต่คนเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาคุณชายจากตระกูลที่มีชื่อเสียงต่างก็ยืนอยู่ที่นี่ การกระทำเมื่อครู่ของนางช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก นางกลัวว่าต่อไปนางจะไม่สามารถแต่งงานได้!

เมื่อเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เห็นภาพนี้ นางก็ร้องไห้ออกมา พวกนางสองคนพี่น้องเคยปล่อยให้ใครมาเห็นสภาพอันน่าอับอายของตนเสียเมื่อไหร่ นางไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางก็รู้ดีว่าในเวลานี้ นางไม่อาจทำตัวร้ายกาจไปมากกว่านี้ได้ นางต้องทำเป็นอ่อนแอเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากผู้อื่นต่างหาก

ดังนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงทิ้งความเกลียดชังที่มี แล้วยื่นมือออกไปกอดเฮ่อเหลียนเหมย ก่อนหันหน้าไปทางมู่หรงฉางเฟิง พลางเอ่ยกับเขาอย่างแผ่วเบาว่า “ซื่อจื่อ น้องสามคงตกเป็นเหยื่อของคำสาปร้ายบางประเภทเจ้าค่ะ คำสาปนั้นคงทำให้นางฝืนใจตัวเองแล้วพูดจาเช่นนั้นออกมา เจียวเอ๋อร์ขอร้องซื่อจื่อ โปรดอนุญาตให้ข้ากับน้องสาวออกไปพักผ่อนก่อนได้ไหมเจ้าคะ”

แม้นางจะไม่อยากเห็นน้องสาวร่วมสายเลือดต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่การที่เฮ่อเหลียนเหมยคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว

หากใช้วิธีนี้ นางก็จะมีทางหนี ไม่อย่างนั้นองค์ชายสามคงได้ลากนางให้ตายตกไปพร้อมกันกับจิ้งอู๋วั่งแน่!

นางบังเอิญได้ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในเวลานี้ เพื่อเอาตัวรอดไปจากเรื่องนี้ได้

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใช่คนประเภทที่พอถูกทำร้ายแล้วจะยอมปล่อยเรื่องนั้นผ่านไปได้ง่ายๆ นางมองไปที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบว่า “น้องรอง เจ้าคิดจะกลับไปดื้อๆ ทั้งที่ยังใส่ร้ายป้ายสีข้าเอาไว้อย่างนั้นหรือ”

แขนของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เกร็งเล็กน้อย ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตารินไหลลงมาในยามที่มองเฮ่อเหลียนเวยเวย

มองไกลๆ แล้ว คนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคงจะคิดว่านางต่างหากที่เป็นคนถูกใส่ร้าย

แต่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น!

นั่นจึงทำให้การแสร้งทำตัวน่าสงสารของนางในครั้งนี้ไม่เป็นผล

แม้แต่มู่หรงฉางเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรเพื่อช่วยนางเช่นกัน

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้ว่าครั้งนี้ นางจำต้องยอมรับผิด และกล่าวขอโทษออกมา ขณะที่นางก้มหน้าลง ความชั่วร้ายก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาของนาง นางหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วโค้งคำนับอีกฝ่ายพร้อมกับขบกรามแน่น “พี่ใหญ่ ครั้งนี้น้องสาวผิดเอง ข้าไม่ควรให้การปรักปรำท่านโดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบเรื่องราวให้ดีเสียก่อนเจ้าค่ะ”

“รู้ว่าผิดก็ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ “กลัวแต่ว่าในใจของน้องรองยังคงไม่เชื่อว่าตนเองผิดจนกระทั่งตอนนี้ ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าเจ้าจะคำนับอย่างไร ก็คงจะทำด้วยใจที่ไม่ยอมรับ ”

นิ้วของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำเข้าหากันแน่นระหว่างที่นางก้มตัวลงอีกครั้ง กระทั่งเข่าทั้งสองข้างของนางก็ย่อลงจนติดพื้น ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มแข็งกระด้างปรากฏอยู่ “ตอนนี้พี่ใหญ่พอใจหรือยังเจ้าคะ”

“ไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะพอใจหรือเปล่า สิ่งสำคัญก็คือเจ้าต่างหากล่ะ น้องรอง” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้น แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ ทีละคำว่า “ยอมหรือไม่”

นางจงใจ นางจงใจเน้นสามคำสุดท้ายนั่น!

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์โมโหจนใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปทั้งหน้า แต่นางก็ไม่อาจทำอะไรได้ นอกเสียจากต้องโน้มตัวลงต่ำกว่าเดิม แล้วตอบเสียงลอดไรฟันว่า “ยอมเจ้าค่ะ”

หลังจากพูดสองคำนั้นจบ ผ้าเช็ดหน้าในมือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็มีเลือดซึมออกมา

การให้นางมาเผชิญหน้ากับเฮ่อเหลียนเวยเวยในสภาพเช่นนี้ นับว่าโหดร้ายยิ่งกว่าการฆ่านางให้ตายเสียอีก

นางยอมตบปากตัวเองดีกว่าให้คนอื่นมาเห็นนางในสภาพนี้ มองดูนางคุกเข่าก้มหัวอย่างอ่อนน้อม ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับได้รับชัยชนะเหนือนาง

ไม่เพียงแค่นั้น

ครั้งนี้พวกนางยังเสื่อมเสียทั้งชื่อเสียงของน้องสาม และเสียทั้งหมากตัวสำคัญที่ตระกูลซูสู้อุตส่าห์ติดสินบนมานานนับปีไปจากสำนักอีกด้วย

ถ้าท่านตารู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่

ยังมีองค์ชายสามอีกคน… นางปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นมองนางก้มหัวให้คนอื่นได้อย่างไร

ทั้งหมดเป็นเพราะนังคนชั้นต่ำเฮ่อเหลียนเวยเวย!

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์นึกอยากจะลงมือฆ่านางเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่นางรู้ว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกัดริมฝีปากบางของตน และปล่อยให้องครักษ์ลากตัวจิ้งอู๋วั่งออกไป

นางจะต้องเอาคืนนังคนชั้นต่ำคนนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม!

นางแทบรอให้ถึงงานประลองยุทธ์ครั้งใหญ่ และรอให้จบการคัดเลือกพระชายาแทบไม่ไหว นางอยากให้นังคนชั้นต่ำคนนี้ตายเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย!

ประกายแสงในดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์วูบไหว มันเต็มไปด้วยเจตนาอันชั่วร้าย

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

ตระกูลไป๋เจ๋อเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเข้าใจจิตใจของมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งกว่านั้นเสี่ยวไป๋ยังเป็นถึงองค์ชาย ดังนั้นเขาย่อมสังเกตเห็นความเกลียดชังที่แผ่ออกมาจากร่างของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ เขาจึงเอ่ยเตือนเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยเสียงอันเย็นชาว่า “ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะสั่งฆ่านางทันที ทำไมต้องให้นางคุกเข่าขอโทษด้วย เสียเวลาจริงเชียว!”

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก สำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งที่ทรมานที่สุดนั้นไม่ใช่ความตาย แต่เป็นการทำให้พวกเขาสูญเสียสิ่งที่ยึดถือมาตลอดทั้งชีวิตไปต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น อำนาจ หรือไม่ก็ศักดิ์ศรี…”

นางเชื่อว่าในเวลานี้ ความรู้สึกของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะต้องเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฮ่อเหลียนเวยเวยมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกเช่นนั้นมาโดยตลอด ทนทุกข์อยู่กับความอัปยศอดสู การมีชีวิตอยู่นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

สิ่งที่นางต้องการไม่อาจจัดการได้ด้วยดาบเดียว!

ทุกอย่างที่ควรจะเป็นของตระกูลเฮ่อเหลียน

ไม่ว่าคนพวกนั้นจะพรากอะไรไปจากนาง นางก็จะเอาคืนกลับมาทีละอย่างด้วยวิธีเดียวกัน!