ตอนที่ 63 ดึงดันออกรบ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 63 ดึงดันออกรบ
มือที่ลูบคลำหยกจักจั่นของเซียวหรงเหยี่ยนชะงักในทันที หันกลับไป ดวงตาที่ล้ำลึกไม่เคยสะทกสะท้านต่อสิ่งใดส่อแววประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าว่า…เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋เช่นนั้นหรือ”

“ขอรับ! เดิมทีข้าอยากจะนำลายมือของคุณหนูใหญ่ไป๋มาเปรียบเทียบให้แน่ชัดก่อน แต่บ่าวรับใช้ของตระกูลไป๋ซื้อตัวได้ยากมากขอรับ และยังแฝงกายเข้าไปในจวนได้ยากมากเช่นกันขอรับ” ลูกน้องของ

เซียวหรงเหยี่ยนคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น “นายท่านโปรดลงโทษข้าเถิดขอรับ!”

โคมไฟลายดอกเหมยสีแดงซึ่งแขวนอยู่ที่มุมหน้าต่างแกว่งไปมาเนื่องจากลมหนาวพัดผ่าน

เซียวหรงเหยี่ยนในชุดสีฟ้ายืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่ริมหน้าต่าง มือกำหยกจักจั่นไว้แน่น ดวงตาล้ำลึกสีดำสนิทซึ่งยากจะคาดเดาหลบซ่อนอยู่ภายใต้เงามืดของแสงไฟ

ชายหนุ่มหลับตาลง หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ในวัง ยามที่เขาลุกขึ้นยืนเดินตามนางกำนัลออกไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย สายตาที่คุณหนูใหญ่เหลือบมองมาที่เขา เมื่อสองสายตาประสานกันดวงตาของหญิงสาวไหววูบ อีกทั้งเมื่อเขาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จแล้วเดินกลับมา แผ่นหลังของหญิงสาวค่อยๆ ผ่อนคลายความกังวลลง

คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋รู้ฐานะที่แท้จริงของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ

“นายท่าน ไม่ว่าคุณหนูใหญ่ไป๋จะเป็นคนส่งจดหมายมาให้หรือไม่ แต่เป็นไปได้ว่าฐานะของท่านอาจถูกเปิดเผยแล้ว ข้าขอบังอาจแนะนำให้ท่านรีบออกจากเมืองหลวงไปก่อนเถิดขอรับ ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าขอรับ”

ลมหนาวพัดเกล็ดหิมะเข้ามาจากทางหน้าต่าง เซียวหรงเหยี่ยนหมุนกายกลับ สายตาจ้องไปยังบริเวณไฟสีแดงตรงถนน กล่าวขึ้น “หากผู้ที่ส่งจดหมายต้องการทำร้ายข้า เหตุใดต้องเสียเวลานำจดหมายมามอบให้พ่อบ้านด้วย รอดูไปก่อนเถิด”

องค์หญิงใหญ่และคนในตระกูลไป๋ยืนรอข่าวท่ามกลางลมหนาวของหิมะมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว เตาอุ่นมือเปลี่ยนไปรอบหนึ่งแล้ว ซุปเนื้อตุ๋นร้อนๆ ถูกนำมาแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่มารอฟังข่าวอยู่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นที่เรียบร้อย

องค์หญิงใหญ่ที่ประคองตัวเองด้วยไม้เท้าพยัคฆ์เริ่มโซเซไปมา ไป๋ชิงเหยียนประคององค์หญิงใหญ่พลางสั่งให้บ่าวนำเก้าอี้มาให้

แต่องค์หญิงใหญ่กลับส่ายหน้า กุมมือของไป๋ชิงเหยียนไว้ ช่วยกระชับเสื้อคลุมของหลานสาวให้แน่นขึ้นพลางเอ่ยถาม “อาเป่าร่างกายอ่อนแอ เจ้ายังไหวหรือไม่!”

ไป๋ชิงเหยียนฝึกซ้อมร่างกายมาระยะหนึ่งแล้ว มัดกระสอบทรายไว้กับตัวแล้วยืนม้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามทุกวันจนนางชินแล้ว เรื่องยืนแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง

หญิงสาวส่ายหน้า “ท่านย่าวางใจได้เจ้าค่ะ อาเป่ามิเป็นไร”

ชาวบ้านที่กำลังทานซุปร้อนๆ ได้กลิ่นอบอวลของเนื้อแกะจากควันร้อนในถ้วย เมื่อเห็นว่ามีม้าควบมาแต่ไกลก็รีบวางถ้วยลงพลางชี้นิ้ว “มาแล้ว! มาแล้ว! คราวนี้เหมือนจะเป็นคนจากวังหลวงจริงๆ !”

ร่างขององค์หญิงใหญ่แข็งทื่อ ทว่าเมื่อได้สติก็รีบยืดกายตรง คนของตระกูลไป๋รีบขยับเข้าไปด้านหน้า ชะโงกหน้ามองไปยังไฟสีแดงบนถนนที่ทอดยาว

ขันทีที่ควบม้าเข้ามาเห็นชาวบ้านถือโคมไฟรออยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงตั้งแต่อยู่ไกลๆ ใจของเขากระตุกวูบในทันที เมื่อขี่ม้าเข้าใกล้อีกหน่อยจึงเห็นว่าองค์หญิงใหญ่และบรรดาสตรีตระกูลไป๋ก็รออยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นเดียวกัน

ขันทีไม่รอช้ารีบลงจากม้า ก้าวเท้าไปยังบันไดอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่ มีข่าวกองทัพจากหนานเจียงพ่ะย่ะค่ะ ท่านกั๋วกงเอาตัวเองเป็นใหญ่ดึงดันที่จะรบจนทำให้กองทัพพ่ายแพ้ เจิ้นกั๋วกง…และบุรุษตระกูลไป๋ล้วนเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียงทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ! อีกห้าวันซิ่นอ๋องจะทรงนำศพกลับมา…”

ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นในทันที ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอาฆาตอย่างรุนแรง ท่านกั๋วกงเอาตัวเองเป็นใหญ่ดึงดันที่จะรบอย่างนั้นหรือ!

ข่าวอันน่าตกตะลึงที่ได้รับทำให้องค์หญิงทรงตัวไม่อยู่แทบล้มลงบนพื้น ยังดีที่ไป๋ชิงเหยียนและ

เจี่ยงหมัวมัวคอยประคองอยู่

ต่งชิงผิงและต่งชิงเยว่ชาวาบไปทั้งร่าง พวกเขาเดาได้ว่าตระกูลไป๋อาจมีคนเสียชีวิตลงที่หนานเจียง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะทั้งหมด…

“เจ้ากล่าววาจาบ้าบออันใดกัน!” คุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อตวัดแส้ขึ้นรัดไปที่ลำคอของขันทีที่มาส่งสารอย่างแน่นหนา ก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าว เหยียบลงบนแผ่นอกของขันทีผู้นั้น ดวงตาวาวโรจน์ ความโกรธทำให้นางไม่มีสติหลงเหลืออยู่อีกต่อไป “ท่านปู่ของข้าพร่ำสอนอยู่เสมอว่าความไม่ประมาทคือสิ่งที่สำคัญที่สุด! ท่านปู่รอบคอบมาทั้งชีวิต! จะดึงดันออกรบอย่างที่เจ้ากล่าวมาได้เช่นไรกัน!”

ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงกระดูก ดึงดันออกรบอย่างนั้นหรือ! โอรสของฮ่องเต้และฮองเฮาอย่างซิ่นอ๋องไม่ได้เรื่อง อยากได้จวินกงมากจึงบังคับให้ท่านปู่ของนางต้องออกไปเสี่ยง สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าท่านปู่ของนางดึงดันที่จะออกรบอย่างนั้นหรือ!

โยนความผิดทั้งหมดให้แก่ขุนนางผู้กล้าหาญที่สละชีพไว้ที่หนานเจียง ขุนนางที่เสียสละอุทิศตนเพื่อแคว้นต้าจิ้นมาทั้งชีวิต ซิ่นอ๋องไม่กลัวว่าดวงวิญญาณของวีรบุรุษตระกูลไป๋จะมาเข้าฝันเอาชีวิตของเขาไปหรืออย่างไร!

หญิงสาวแทบอยากนำม้วนไม้ไผ่ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ให้แก่ท่านปู่และตระกูลไป๋ ทว่า…มันยังไม่ถึงเวลา นางต้องวางแผนให้ดีก่อนแล้วค่อยจัดการคนพวกนั้น ต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมจึงจะได้ชัยชนะมาครอบครอง

ความแค้นที่แลกมาด้วยเลือดในครั้งนี้ ไป๋ชิงเหยียนจะจดจำไว้จนขึ้นใจ!

ความโกรธที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้หญิงสาวต้องกัดฟันกรอด นางกล้ำกลืนฝืนข่มอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ ตะโกนออกมา “ไป๋จิ่นจื้อ! ถอยกลับมา! ท่านย่ายังถามไม่จบ ผู้ใดสั่งให้เจ้าลงมือกัน!”

ไป๋จิ่นจื้อแทบอยากเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว นางเก็บแส้ น้ำตาไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย

ขันทีผู้ส่งสารเกือบถูกรัดคอตาย เขาไออย่างหนักอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นรีบคลานไปอยู่แทบเท้าองค์หญิงใหญ่หวังให้ท่านช่วยคุ้มครอง

องค์หญิงใหญ่สีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นเทา ในใจยังมีความหวังสุดท้ายอยู่ เอ่ยถาม “ทั้งหมด?! ข้าฟังผิดไปหรือไม่ หลานชายที่อายุสิบขวบของข้าก็ไปที่หนานเจียงด้วย เขาอายุแค่สิบขวบเท่านั้น…”

ฮูหยินสี่หวังซื่อที่ปกติเป็นคนอ่อนแออยู่แล้ว บัดนี้ขาอ่อนแรงเซถลาไปด้านหน้า คุกเข่าลงจับเสื้อของขันทีเอาไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวด “เจ้าสิบเจ็ด…เจ้าสิบเจ็ดของข้าก็ตายแล้วเช่นนั้นหรือ! เจ้าสิบเจ็ดของข้าเพิ่งอายุสิบขวบ! สิบขวบเท่านั้น! เขาจะตายได้อย่างไรกัน! เขาแค่ไปเปิดโลกกว้างเท่านั้น…จะตายได้อย่างไร เจ้าหลอกข้า! เจ้าหลอกข้า!”

“องค์หญิงใหญ่ คุณชายสิบเจ็ดก็เสียชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีก้มศีรษะแนบพื้นพลางร้องไห้

“เป็นไปไม่ได้! เอ้อร์หลาง รับปากข้าว่าจะปกป้องลูกของเรา!” เสียงร้องไห้ของฮูหยินสองหลิวซื่อดังก้องไปทั่ว นางกระชากคอเสื้อของขันทีผู้ส่งสาร “เจ้ากล่าววาจาเหลวไหล! เหลวไหลสิ้นดี!”

พริบตาเดียว หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกงที่เมื่อครู่ยังเงียบสงบ บัดนี้เต็มไปด้วยความอลหม่าน เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่ว

“ลูกชายข้า ซานหลาง…ท่านใจร้ายมาก! ท่านพาลูกชายไปทั้งหมดได้อย่างไรกัน! ท่านจะให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร” ฮูหยินสามหลี่ซื่อร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

สองแฝดยืนอยู่ข้างกายของฮูหยินสี่ผู้เป็นมารดาซึ่งร้องไห้จนอ่อนแรง มีสาวใช้สองคนคอยพยุงอยู่แต่ก็แทบพยุงไม่ไหว สองแฝดกัดฟันกรอด ภาวนาให้มารดาเข้มแข็ง

ฮูหยินห้าฉีซื่อกัดริมฝีปากแน่น มือกุมท้อง…ภาพตรงหน้าดำสนิท ร่างทั้งร่างเซล้มไปด้านหลัง

“ฮูหยินห้า! ฮูหยินห้า!” ต่งชิงเยว่รีบประคองฮูหยินห้าที่เป็นลมหมดสติไว้อย่างรวดเร็ว

“ท่านอาสะใภ้ห้า!” ไป๋จิ่นถงรับตัวฮูหยินห้ามาจากต่งชิงเยว่ กอดนางแน่น “ท่านอาสะใภ้ห้า ท่านฟื้นสิเจ้าคะ!”

ชาวบ้านรู้สึกสะท้อนใจกับความเศร้าโศกเสียใจของสตรีตระกูลไป๋ ต่างพากันคุกเข่าร้องไห้เอ่ยเรียก “ท่านกั๋วกง”

“กองทัพไป๋”

เสียงดังกระหึ่มไปทั่วเมืองหลวง

“เร็วเข้า รีบไปตามท่านหมอหงมา!” ไป๋จิ่นซิ่วตะโกนเร่งทั้งน้ำตา “พ่อบ้านเหารีบตามคนมาพาท่านอาสะใภ้ห้าเข้าไปในเรือนเร็วเข้า”

ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไป เห็นต่งซื่อมารดาของตนยืนหน้าซีดเซียวอยู่กับที่ หญิงสาวรีบเข้าไปประคอง เอ่ยเรียกอย่างยากลำบาก “ท่านแม่เจ้าคะ!”

ต่งซื่อได้สติ น้ำตาไหลพราก นางกัดฟันแน่นรีบหมุนกายหันหน้าเข้าหาจวนเจิ้นกั๋วกง

———————————————

[1] เอ้อร์หลาง สรรพนามเรียกสามี บุตรชาย หรือบุรุษที่โตเป็นลำดับสอง

[2] ซานหลาง สรรพนามเรียกสามี บุตรชาย หรือบุรุษที่โตเป็นลำดับสาม