ตอนที่ 64 ฟ้าถล่มดินทลาย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 64 ฟ้าถล่มดินทลาย
“เจี่ยงหมัวมัวพาท่านแม่กลับเรือนฉางโซ่ว หมัวมัวผู้ดูแลเรือนทุกคนรีบพยุงนายของพวกเจ้าให้ลุกขึ้นยืนให้ดี ไม่ว่าเวลาใด จวนเจิ้นกั๋วกงของเราก็ห้ามอ่อนแอเช่นนี้เด็ดขาด ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ต้องยืนหยัดสู้! ฮูหยินสอง ฮูหยินสาม ฮูหยินสี่ตามข้าไปที่เรือนฉางโซ่วของท่านแม่เพื่อปรึกษาเรื่องพิธีศพของบุรุษตระกูลไป๋! ไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นถงไปดูแลท่านป้าสะใภ้ห้าของพวกเจ้า สั่งให้คนนำบัตรเชิญของข้าไปเชิญท่านหมอหลวงหวง ท่านหมอหลวงจงและท่านหมอหลวงหลิวมา! ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นจื้อ ฉินหล่าง พวกเจ้าคอยดูแลน้องๆ ให้ดี หลูผิงรีบสั่งให้คนขี่ม้าเร็วไปแจ้งข่าวการเสียชีวิตของตระกูลไป๋กับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ซั่วหยาง พ่อบ้านเหา เจ้ารับหน้าที่จัดหาบ่าวไพร่เพื่อเตรียมการเรื่องพิธีศพ องครักษ์ทั้งหมดจงฟังคำสั่งของพ่อบ้านเหา ตระกูลไป๋กำลังมีงานสำคัญ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาด หากผู้ใดก่อเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นอนุ คนทำความสะอาด หรือบ่าวรับใช้ พ่อบ้านเหาโบยให้ตายทันที ไม่ต้องมารายงานข้า!”

น้ำเสียงของต่งซื่อรวดเร็วและหนักแน่นไม่มีสับสันเลยสักนิด

องครักษ์ บ่าวรับใช้ คนทำความสะอาด และสาวใช้ของตระกูลไป๋พร้อมใจกับรับคำสั่ง จากนั้นเริ่มทำหน้าที่ของตนอย่างรวดเร็ว

ต่งซื่อจัดการเรืองในจวนเรียบร้อยจึงหันกลับไปมองบรรดาตระกูลสูงศักดิ์ที่ยังยืนอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง ย่อกายคำนับพลางกล่าวขึ้น

“ต้องขออภัยทุกท่านด้วย พวกท่านอุตส่าห์ยืนทนหนาวเป็นเพื่อนสตรีตระกูลไป๋ตั้งนานเช่นนี้ แต่บัดนี้ตระกูลไป๋มีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ไม่สามารถเชิญพวกท่านเข้าไปจิบน้ำชาในเรือนได้จริงๆ หวังว่าพวกท่านจะไม่โกรธเคือง!”

ตระกูลไป๋กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ แต่ต่งซื่อผู้เป็นนายหญิงใหญ่ของตระกูลกลับยืดกายตรงอย่างเข้มแข็ง จัดการเรื่องทุกอย่างในจวนได้อย่างเป็นระเบียบทำให้ทุกคนเคารพชื่นชมในตัวนางจริงๆ

คนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นผู้น้อย พวกเขาเข้าใจดีว่าตอนนี้ตระกูลไป๋กำลังเผชิญกับเรื่องที่ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย จะมีอารมณ์เชิญพวกเขาเข้าไปจิบน้ำชาได้อย่างใดทุกคนรีบโค้งกายคำนับตอบ

“ขอแสดงความเสียใจกับฮูหยินซื่อจื่อด้วยขอรับ!” ชาวบ้านที่มารอฟังข่าวกล่าวพร้อมๆ กัน

ต่งซื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งบัดนี้น้ำตาไหลอาบใบหน้า

“น้องสาว พี่กับน้องชายอยู่ช่วยเหลือที่นี่ดีกว่า!” ต่งชิงผิงกล่าวกับต่งซื่อด้วยตาที่แดงก่ำ

“ให้พี่กับน้องชายทำสิ่งใดบ้าง”

ต่งซื่อฝืนยืนตรง น้ำเสียงสะอึกสะอื้นอ่อนแรง “วันนี้คือวันสิ้นปี หากร่างของบุรุษตระกูลไป๋ถูกส่งกลับมา…ข้าไม่รู้ว่าจะไปหาโลงศพมากมายได้จากที่ใด”

สิ้นเสียง ไป๋ชิงเหยียนเจ็บปวดราวถูกมีดแทง

มองดูชาวบ้าน และบรรดาคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่ยังยืนอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วกง หญิงสาวคุกเข่าลง ก้มศีรษะแนบพื้นข่มความเจ็บปวดในใจ กล่าวพลางสะอื้น

“โลงศพของท่านปู่ของข้าเตรียมไว้นานแล้ว! แต่ไม่เคยคิดเลยว่าบุรุษตระกูลไป๋จะต้องสังเวยชีวิตเพื่อบ้านเมืองทั้งหมดเช่นนี้! อีกห้าวันซิ่นอ๋องจะนำร่างของบุรุษตระกูลไป๋กลับมายังเมืองหลวง ตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ ข้าเตรียมโลงศพของท่านพ่อ ท่านลุงและพวกน้องๆ ไม่ทัน หากท่านผู้ใดมีโลงศพที่เหมาะสม ไป๋ชิงเหยียนขออนุญาตยืมมาใช้! ให้บุรุษตระกูลไป๋ของข้ามีที่ฝังร่างสักหน่อยเถิด”

สิ้นเสียงหญิงสาวก้มคำนับอีกครั้งด้วยความเคารพ ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นถง ไป๋จิ่นจื้อ รีบคุกเข่าก้มคำนับตามไป๋ชิงเหยียน

ตระกูลไป๋เต็มไปด้วยความจงรักภักดี สละชีพอยู่ที่หนานเจียงเพื่อปกป้องบ้านเมือง ชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นจะปล่อยให้บุรุษตระกูลไป๋ไร้โลงศพฝั่งร่างได้เช่นใดกัน

คืนวันส่งท้ายปีเก่า เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วเมืองหลวง ร้องไห้เพราะการจากไปของวีรบุรุษ ร้องไห้เพราะความกล้าหาญของตระกูลไป๋ ร้องไห้เพราะต่อจากนี้แคว้นต้าจิ้นจะไร้ซึ่งเสาหลักที่คอยปกป้องบ้านเมืองอย่างเจิ้นกั๋วกงแล้ว

ไป๋ชิงเสวียนซึ่งโดนคุมตัวอยู่ที่เรือนชิงหมิง เมื่อได้ยินข่าวก็เด้งตัวขึ้นอย่างตกใจ กระชากข้อมือของมารดาโดนไม่สนใจบาดแผลของตัวเอง ถามอย่างร้อนใจ “ว่าอย่างใดนะ ตายหมดแล้ว! ท่านปู่ ท่านพ่อ…ตายหมดแล้วอย่างนั้นหรือ!”

“ใช่น่ะสิ เราจะทำเช่นใดดี!” สตรีกลางคนหวั่นใจมาก “กองทัพนับแสนตายอยู่ที่หนานเจียง ฮ่องเต้ต้องทรงลงโทษแน่นอน รู้อย่างนี้ข้าไม่มาที่นี่หรอก หากโดนโทษประหารทั้งตระกูลจะทำเช่นใด ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องหาวิธี พวกเราต้องหนีออกจากที่นี่!”

ไป๋ชิงเสวียนตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาก็ส่อประกายแวววาวขึ้น เด็กหนุ่มจับข้อมือของมารดาแน่น น้ำเสียงแผ่วเบาจนน่าประหลาด

“แม่! ท่านว่า…บุรุษตระกูลไป๋ตายไปหมดแล้วเช่นนี้ ตำแหน่งกั๋วกงจะตกเป็นของข้าหรือไม่”

สตรีกลางคนใบหน้ากระตุก ลำคอร้อนผ่าว แต่ความดีใจถูกกดทับไว้ด้วยความหวาดกลัว

“แต่ว่า แม่ได้ยินมาว่า…เจิ้นกั๋วกงดึงดันที่จะออกรบจนทำให้สูญเสียทั้งกองทัพ หากฮ่องเต้ทรงลงโทษ นั่นคือโทษสถานหนักเชียวนะ หากโดนโทษประหารทั้งตระกูลจะทำเช่นใด ชีวิตหรือตำแหน่งกั๋วกงสำคัญกว่ากัน แม่ว่าเรารีบหนีไปก่อนดีกว่า!”

“แล้วหากฮ่องเต้ไม่ทรงลงโทษเล่า!” ไป๋ชิงเสวียนยกยิ้มที่มุมปาก

“แม่! ต้องยอมเสี่ยงถึงจะได้โชคลาภ ท่านลองคิดดูสิหากฮ่องเต้ทรงไม่ลงโทษ จวนเจิ้นกั๋วกงที่ยิ่งใหญ่นี้ก็จะตกเป็นของเราสองแม่ลูกนะ!”

สตรีกลางคนเริ่มเห็นด้วยกับคำกล่าวของไป๋ชิงเสวียน นางทิ้งความร่ำรวยของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ลงแต่ก็กลัวตายเช่นกันนางลังเลตัดสินใจไม่ถูก

วันที่หนึ่ง เดือนหนึ่ง

จวนเจิ้นกั๋วกงซึ่งตกอยู่ในความเศร้าสร้อยมาสองวันเต็ม วันนี้เริ่มยุ่งวุ่นวายตามคำสั่งของต่งซื่อบ่าวรับใช้ที่มีหน้าที่เตรียมงานศพเดินเข้าออกประตูจวนกันอย่างอลหม่าน

ฟ้ายังไม่ทันสว่างพ่อบ้านเหาที่วุ่นวายจนไม่ได้นอนทั้งคืนมาถึงห้องขององค์หญิงใหญ่ นอกจากองค์หญิงใหญ่ที่ร่างกายรับไม่ไหวเข้าไปพักผ่อนตามคำโน้มน้าวแล้ว ฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง ฮูหยินสองหลิวซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อ และฮูหยินสี่หวังซื่อ ต่างอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา

คุณชายทั้งสิบเจ็ดคน ท่านกั๋วกง และท่านชายอีกห้าคน ใช้โลงศพรวมทั้งสิ้นยี่สิบสามโลง แน่นอนว่าไม่สามารถตั้งในห้องโถงใหญ่ได้ทั้งหมด

“กางกระโจม…” ต่งซื่อพยายามประคองสติ กล่าวกับพ่อบ้านเหาที่ไม่รู้จะจัดการอย่างใดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“กางที่ลานหญ้านั่นแหล่ะ…เปิดประตูจวนเอาไว้! ชาวบ้านในเมืองหลวง และพวกขุนนางยศสูงศักดิ์จะได้เห็นว่าตระกูลไป๋ทำเพื่อแคว้นต้าจิ้นจนมีจุดจบที่น่าสังเวชเพียงใด”

“เรียนฮูหยินซื่อจื่อ ฮูหยินสอง ฮูหยินสาม ฮูหยินสี่ บ่าวหน้าประตูมารายงานว่า…มีผู้นำโลงศพมาให้ออกันอยู่ที่หน้าจวนเต็มไปหมดขอรับ!”

ต่งซื่อลำคอตีบตัน ลุกขึ้นยืนพลางกล่าว

“ข้าจะออกไปดูเอง พวกเจ้าทั้งสามเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิดให้เต็มที่เถิด! วันที่ห้า…พวกเราจะรอต้อนรับสามีและลูกชายกลับบ้าน”

ฮูหยินสี่ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง นางเอาแต่ส่ายหน้า ทรมานจนแทบหายใจไม่ออก

ไป๋ชิงเหยียนที่ได้รับรายงานมาถึงประตูหน้าแทบจะพร้อมกับต่งซื่อ

บัดนี้โคมไฟสีแดงของจวนไป๋ถูกเปลี่ยนเป็นสีขาว ผ้าไหมสีแดงภายในเรือนก็ถูกเปลี่ยนเป็นผ้าสีขาวดำเช่นเดียวกัน

ด้านนอกประตูจวน ชาวบ้านยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ มือจูงเกวียน และรถม้าซึ่งบรรทุกโลงศพอย่างดีไว้บนนั้น ตระกูลสูงศักดิ์เองก็ให้บ่าวนำโลงศพมามอบให้เช่นกัน

ชายชราผมขาวโพลนจูงเกวียนเอาไว้พลางคำนับต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียน

“ฮูหยินซื่อจื่อ คุณหนูใหญ่ไป๋ นี่คือโลงศพไม้อย่างดีของข้า มิรู้ว่าเหมาะสมพอจะให้ซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพหรือบรรดาคุณชายใช้ได้หรือไม่ขอรับ”

“นี่คือโลงศพไม้ชั้นดีของข้า! ไม้คุณภาพดีมาก! ฮูหยินซื่อจื่อ คุณหนูใหญ่ไป๋ ใช้โลงศพไม้ของข้าเถิด”

“ของข้าก็ดี! ของข้าก็ดีขอรับ! ของข้าคือโลงศพไม้สนแท้เลยนะขอรับ แข็งแรงทนทานมากขอรับ”

“ฮูหยินซื่อจื่อ บ้านข้าเป็นร้านขายโลงศพขอรับ! โลงศพที่ข้านำมาล้วนเป็นโลงศพที่ตระกูลมั่งคั่งสั่งทำไว้เมื่อปีที่แล้ว ข้านำมาหมดเลยขอรับ เป็นไม้หนานมู่ทั้งหมดเลยนะขอรับ แม้จะไม่ใช่ไม้หนานมู่ชั้นเลิศแต่สมฐานะของคุณชายตระกูลไป๋แน่นอนขอรับ!…”

ต่งซื่อและไป๋ชิงเหยียนยืนน้ำตาคลออยู่หน้าประตู ย่อกายคำนับชาวบ้านที่ต่างแย่งกันมอบโลงศพให้

———————————————

[1] ไม้หนานมู่ ต้นไม้เก่าแก่หายากอายุประมาณ 1,300 ปี เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดของจีน ราคาสูงและโด่งดังเพราะมีเนื้อสีทองระยิบระยับเมื่อนำไปขัดเกลา ชาวบ้านเชื่อกันว่าต้นไม้โบราณนี้เป็นต้นไม้ที่นำโชคลาภและสิ่งดีๆ มาสู่หมู่บ้าน