บทที่ 84 ปล่อยเธอไปงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!

ลูกซื้อพ่อให้แม่

บทที่ 84 ปล่อยเธอไปงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!

ชายที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นคือหานซือฉีที่กำลังมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ!

“ท-ทำไมถึงเป็นนายล่ะ!?”

สีหน้าของฝูเจิ้งเเจิ้งซีดเผือดและรีบผลักกระเป๋าเดินทางของตนให้หลบสายตาของอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว

“แล้วคิดว่าจะเป็นใครล่ะ?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

ฝูซิงที่เห็นดังนั้นก็วิ่งเข้ามาขวางระหว่างฝูเจิ้งเจิ้งและอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับเงยหน้ามองด้วยความกล้าอีกด้วย เขาตะโกน “ห้ามตามพวกเรา! พวกเราจะไม่พาคุณลุงกลับบ้านไปด้วยหรอก! หม่ามี๊กับฝูซิงตัดสินใจจะไม่คุยกับคุณลุงอีกแล้ว!”

เมื่อต้องเผชิญกับฝูซิง หานซือฉีก็เปลี่ยนกลับไปเป็นคนใจเย็นและสุภาพดังเดิม เขาย่อตัวลงและจับมือฝูซิงไว้ “ซิงซิง ป๊ะป๋าน่ะ…”

“คุณลุงไม่ใช่ป๊ะป๋า! คุณลุงโกหก!” เด็กน้อยสะบัดมือออกในทันทีพร้อมกับร้องไห้ออกมา “คุณลุงบอกว่าจะไม่แต่งงานกับน้าเฉียว แต่ท้ายสุดคุณลุงก็จะไปมีลูกกับเธอ! โกหก! ออกไปเลย! พวกเราไม่อยากเห็นหน้าคุณลุงอีกแล้ว!”

โดนกล่าวหาเช่นนั้น สีหน้าของหานซือฉีก็ดูจะมืดมนลงไปมากๆ เขาอ้าปากเพื่อจะอธิบาย แต่ถ้อยคำทั้งหลายมันก็ติดอยู่ในลำคอ สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดแล้วยืนขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความเศร้า

“ฝูซิงพูดแทนฉันไปหมดแล้ว เพราะงั้นกลับไปเถอะค่ะ คุณหาน” ฝูเจิ้งเจิ้งยอมรับเลยว่าประโยคนั้นเป็นประโยคที่เธอไม่กล้าพูดออกมา ต้องยกความดีความชอบให้ฝูซิงจริงๆ

หานซือฉีแสยะยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกให้หมินจงจู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเข้าไป “จงจู่ พาซิงซิงกลับไปก่อน”

หมินจงจู่วิ่งพรวดเข้ามาทันที

ฝูเจิ้งเจิ้งที่ได้ยินดังนั้นก็เตรียมจะเข้าไปคว้าฝูซิงกลับมาแต่เหมือนการกระทำของเธอนั้นจะช้าเกินไป เพราะหานซือฉีใช้จังหวะที่เร็วกว่าดึงตัวฝูซิงไปทางเขาและส่งต่อให้หมินจงจู่ไปอย่างรวดเร็ว

“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งร้องออกมาด้วยความตกใจเธอวิ่งตามไปติดๆ แต่หานก็โดนซือฉีขวางทางไว้ เขาคว้าแขนของเธอไว้ด้วยมือข้างเดียว

“ปล่อยฝูซิงนะ! หม่ามี๊!” เด็กน้อยพยายามใช้มือเล็กๆ ทุบไปที่หมินจงจู่หลายครั้ง

“ไม่ต้องห่วงนะเจิ้งเจิ้ง ฉันจะดูแลซิงซิงให้ดีที่สุดเลย” หมินจงจู่เองก็อยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน เขาจำใจต้องแยกสองแม่ลูกนี้ออกจากกันตามคำสั่งของหานซือฉีแล้วรีบลงลิฟต์ไป

“ฝูซิง—” เมื่อพลาดจากการไล่ตามฝูซิง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ถีบเข้าไปที่หานซือฉีเต็มแรง ทว่าเขากลับหลบได้และกดเธอลงไปกับกำแพงด้วยแรงที่เหนือกว่าจนอีกฝ่ายไม่สามารถดิ้นหลุดได้

เสียงประตูลิฟต์ที่ปิดลงนั้น เสมือนคมมีดที่ปักลงมากลางใจเธอ เมื่อไม่สามารถขยับไปไหนได้ หญิงสาวก็ตะโกนออกมาด้วยความโมโห “หานซือฉี! ปล่อยฉัน! เอาฝูซิงคืนฉันมา!”

“ปล่อยเธอเหรอ?” เขาเย้ยหยัน “ฝันไปเถอะ!”

“หานซือฉี! นายจะหมั้นอยู่แล้ว นายจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ!”

“อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันก็ต้องได้!” หานซือฉียิ้มอย่างเลือดเย็น

“นายมันบ้าไปแล้ว หานซือฉี!”

แม้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะพยายามขัดขืนขนาดไหน แต่หานซือฉีก็ไม่สนใจ ในที่สุดเขาก็ลากเธอเข้าลิฟต์ไปจนได้

เมื่อทั้งสองออกมาจากลิฟต์ ยามรักษาความปลอดภัยที่ได้ยินเสียงโวยวายก็รีบวิ่งเข้ามาและยืนขวางหน้าพวเขาเอาไว้ ทว่าเมื่อเห็นแววตาที่แข็งกร้าวของหานซือฉีก็ต่างพากันหวาดกลัว ชายหนุ่มตะโกนไล่ด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความโกรธ “อย่ามายุ่ง!”

เพียงแค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ทุกๆ คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันหวาดกลัวได้แล้ว ในตอนที่พวกเขาได้แต่ยืนแข็งทื่อด้วยความช็อกกันนั้น หานซือฉีก็ดึงฝูเจิ้งเจิ้งไปยังรถของเขาและยัดตัวเธอเข้าไปด้านในอย่างไม่ใยดี

คิดเหรอว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะยอมง่ายๆ? เธอรอจังหวะที่เขาสตาร์ทรถก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วกระโจนลงจากรถไปในทันที

อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ร่างของเธอร่วงหล่นลงไปบนพื้น ความเจ็บปวดก็ถูกรับรู้ได้จากร่างกายที่ปะทะกับพื้น มันรุนแรงมากจนทำให้ขาของเธออ่อนแรงไปหมด ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่นั้น เธอก็กลิ้งหลบออกไปด้านข้างด้วย

บ้าเอ้ย! ไม่คิดเลยว่าการที่ชะล่าใจ ห่างหายจากการฝึกซ้อมเป็นเวลาไม่กี่เดือนจะทำให้เธอพลาดท่าได้ขนาดนี้!

ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันแน่นและก่นด่าตนเองอยู่ในใจ

“โธ่เว้ย!” หานซือฉีเหยียบเบรคทันทีเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เขาลงมาจากรถแล้วคุกเข่าเพื่อประคองฝูเจิ้งเจิ้งเอาไว้ขณะที่มืออีกข้างก็สัมผัสแผลที่ขาของอีกฝ่ายไปด้วยความกังวล “เจ็บมากหรือเปล่า?”

“โอ๊ยๆๆ! เจ็บนะ! เบาๆ หน่อยสิ!” เธอหลุดปากร้องออกมาขณะที่พยายามข่มความเจ็บไว้

“ถ้ารู้ว่าเจ็บแล้วจะกระโดดลงมาหาเรื่องตายทำไมน่ะ?” ระหว่างที่เขาอุ้มเธอกลับเข้าไปในรถ หานซือฉีก็ดุเธอไปด้วย

“ฉันจะหาเรื่องตายมันก็เรื่องของฉัน!” ฝูเจิ้งเจิ้งต่อต้านเขาอีกครั้ง แต่ทันทีที่เธอขยับ ความเจ็บปวดมันก็เริ่มออกฤทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งจนท้ายที่สุดเธอต้องยอมนั่งนิ่งๆ

หานซือฉีพยายามไม่สนใจเธอเพราะกลัวเธอจะได้ใจ เขาจับเธอรัดเข็มขัดไว้ให้แน่นแล้วขู่ว่า “อย่าหาเรื่องให้ตัวเองแขนหักขาหักจะดีกว่านะ เพราะฉันจะไม่ยอมให้ซิงซิงมีแม่พิการแน่ๆ !”

ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ดีว่าหานซือฉีน่ะเด็ดเดี่ยวในคำพูดเสมอ เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีต่อต้านแล้ว รถคันหรูก็มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลส่วนตัวในทันที เขาอุ้มเธอขึ้นมาอีกครั้งและส่งตัวเธอเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ทำแผลเสร็จแล้ว ร่างของฝูเจิ้งเจิ้งถูกนำมาวางนอนไว้ที่เตียง เธอค่อยๆ ก้มหน้าไปมองผ้าพันแผลที่ข้าซ้ายก่อนจะเหลือบมองไปยังหานซือฉี

เขารู้ว่าเธอตั้งใจจะพูดอะไร เพราะงั้นจึงเป็นฝ่ายพูดดักไว้ก่อน “ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้ แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปดูแลซิงซิง?”

เธอลุกพรวดขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นไม่เป็นไร แต่หานซือฉีก็เดินมาแล้วกดหัวไหล่เธอลงไปนั่งบนเตียงดังเดิมพร้อมกับจับมือที่โดนเข็มน้ำเกลือเจาะไว้ “นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวสายน้ำเกลือหลุด!”

บางทีอาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่เธอนั้นลุกเร็วเกินไป มันเลยทำให้ในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นเกิดอาการมึนงงนิดหน่อย เธอรีบนั่งลงไปตามแรงกดและเหลือบไปเห็นเข็มน้ำเกลือที่แทงอยู่ที่แขนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

หญิงสาวแสดงสีหน้าเหยียดหยามความไม่รู้ของชายหนุ่มพร้อมกับพูด “ฉันต้องให้น้ำเกลือเพียงเพราะขาเป็นแผลเนี่ยนะ? บ้าไปแล้วหรือไง!”

“สมองขาดน้ำตาลหรือไงถึงได้ขี้โวยวายขนาดนี้? เห็นทีแค่อินซูลินเข็มเดียวจะไม่พอแล้วมั้ง?” หานซือฉีกลอกตาไปยังอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆ วางมือของเธอลงไปบนเตียงและมองดูความเรียบร้อย “พักผ่อนซะ ไว้เธอดีขึ้นแล้วเราค่อยคุยกัน”

ท่าทีของเขายังคงหนักแน่น แต่น้ำเสียงที่พูดกับเธอนั้นอ่อนโยนลงแล้ว

ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่แม้แต่จะมองเขาเสียด้วยซ้ำ เธอยกแขนขึ้นมาและมองไปยังนาฬิกาข้อมือ นี่มันก็เที่ยงแล้วด้วย หยางเต๋าน่าจะรู้แล้วว่าเธอโดนหานซือฉีลักพาตัวออกมาจากโรงแรม เขาจะต้องเป็นห่วงพวกเธอแน่ๆ…

แล้วถ้าเกิดเขามาถึงที่นี่…เขาจะเจอกับหานซือฉีหรือเปล่า?

ไม่ เธอต้องรีบหาทางติดต่อหยางเต๋าก่อน เขาจะไม่โล่งใจแน่ๆ ถ้ายังไม่รู้ว่าเธอปลอดภัยดี

เธอเริ่มหันมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหากระเป๋าของตน แต่พอนึกย้อนเหตุการณ์กลับไป ภาพจำมันก็ฟ้องให้เธอรู้ว่าของทุกอย่างที่ต้องการนั้นยังอยู่ที่โรงแรมหมดเลย และเมื่อคิดได้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ได้แต่ถอนหายใจ

หานซือฉีดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงสีหน้าและอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของฝูเจิ้งเจิ้งนี้ด้วย และด้วยท่าทีนี้ของเธอ มันก็พลอยทำให้สีหน้าที่เพิ่งจะผ่อนคลายลงไปของเขานั้น เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นอีกครั้งหนึ่งไปด้วย

เมื่อคืนนี้เขาไม่สามารถหาโอกาสที่จะกลับไปหาฝูเจิ้งเจิ้งได้เลย เพราะเเบบนั้นเขาจึงรีบกลับมาในตอนเช้า ทว่าเมื่อกลับมาถึงก็พบว่าพวกเธอนั้นออกมาจากบ้านแล้ว หานซือฉีไม่รีรอให้เสียเวลาเขาใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีในการเฟ้นหาว่าฝูเจิ้งเจิ้งไปอยู่ที่ไหนจนกระทั่งพบเจอร่องรอยของเธอ

เขาพบว่ามีชายคนหนึ่งที่ชื่อ มู่อวี่ เป็นคนเช็คอินห้องโรงแรมให้เธอ หานซือฉีไม่เพียงแต่ไล่หาห้องที่ฝูเจิ้งเจิ้งพักเท่านั้น เขายังไปขอดูกล้องวงจรปิดเพื่อที่จะได้เห็นชายคนนั้นด้วย แต่เพราะว่าอีกฝ่ายสวมหมวกที่บังองศากล้องได้พอดิบพอดี เขาเลยไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน

ไม่รู้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งและชายคนนี้รู้จักกันได้อย่างไร และมีความสัมพันธ์กันระดับไหน แต่การที่ได้เห็นฝูเจิ้งเจิ้งยืนใกล้ชิดกับอีกฝ่ายผ่านกล้องวงจรปิด มันก็ทำให้เขาร้อนใจขึ้นมาได้ราวกับกำลังถูกไฟเผา

ทั้งๆ ที่วันก่อนยังอยู่บนเตียงกับเขาแท้ๆ แต่ในวันนี้กลับพาตัวเองและลูกชายหนีมาอยู่กับชายอื่น!

ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดมันทำให้หานซือฉีรู้ได้ว่า การที่ฝูเจิ้งเจิ้งดูเวลาเช่นนี้ นั่นหมายถึงนี่ถึงเวลาที่นัดไว้กับชายคนนั้นแล้ว!

ในขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้นเอง ประตูห้องพักผู้ป่วยก็เปิดออกพร้อมกับจูหลิงหลงที่เดินเข้ามา

เธอผู้เข้ามาใหม่ถึงกับผงะเมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งบาดเจ็บขนาดที่ต้องมีผ้าพันแผลพันแทบจะทั้งขาเช่นนี้ “เกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ย? เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามจัดแจงให้ตนเองสามารถยิ้มตอบได้

“ไม่เป็นไรงั้นเหรอ? งั้นวันหลังก็กระโดดลงจากรถบ่อยๆ ก็แล้วกัน เก่งนักนี่ แค่กระโดดลงไปคงไม่ตายหรอก” หานซือฉีพูดประชดขึ้นมาทันที

“กระโดดลงจากรถ!? เธอบ้าไปแล้ว!” ยิ่งได้ยินแบบนั้น จูหลิงหลงก็ยิ่งช็อกเข้าไปอีก เธอมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความเห็นอกเห็นใจก่อนจะเริ่มปลอบ “ทำไมเธอถึงคิดสั้นแบบนั้นล่ะ?

สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นดูเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าจูหลิงหลงจะเข้าใจว่าเธอคิดสั้นเพราะงานหมั้นของหานซือฉีแน่ๆ

ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นเพื่อผู้ชายที่ไม่ซื่อสัตย์แบบนี้ด้วยนะ?

หานซือฉีรู้สึกได้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นกำลังก่นด่าเขาอยู่แน่ๆ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงแค่มองนาฬิกาแล้วลุกขึ้น

“หลิงหลง ดูแลเธอให้ดีแล้วก็โทรหาฉันถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น”

“เข้าใจแล้ว เอ้อ ซือฉี” จูหลิงหลงหันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ครู่หนึ่ง “พี่ใหญ่น่ะ ตามหานายไปทั่วเลยนะ แถมยังโทรหาฉันด้วย แต่ฉันบอกไปว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายอยู่ไหน”

“โอเค” หานซือฉีพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นเขาก็หันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงจากไป

หลังจากที่หานซือฉีออกไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบจับมือของจูหลิงหลงไว้ทันที เธอถามด้วยความร้อนใจ “คุณหลิงหลง ได้โปรด ช่วยฉันติดต่อผู้จัดการหมินด้วยเถอค่ะ ฉันอยากรู้ว่าฝูซิงอยู่ที่ไหน”

จูหลิงหลงมองตาฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความอึดอัดใจก่อนจะพูด “เจิ้งเจิ้ง ฉันคิดไว้แล้วว่าเธอจะต้องถามคำถามนั้น ท้ายสุดเธอก็ถามจริงๆ ขอโทษด้วยนะฉันเองก็ไม่ได้ถามจงจู่ไว้เหมือนกัน แต่ฉันบอกได้แค่ว่า ซิงซิงน่ะจะไม่ลำบากแน่นอน ดีไม่ดีเขาจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเธออีก”

ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ ปล่อยมือของอีกฝ่ายออก ถึงแม้ว่าเธอจะคาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง

ครั้งนี้จูหลิงหลงเป็นฝ่ายจับมือฝูเจิ้งเจิ้งบ้าง “เจิ้งเจิ้ง ฉันรู้ว่าการที่ซือฉีจะหมั้นน่ะมันเป็นอะไรที่บั่นทอนจิตใจของเธอมากๆ แต่ก็อยากให้เธอได้รู้ไว้ ว่าเขาน่ะเป็นฝ่ายเลือกที่จะหนีผู้หญิงคนอื่นมาโดยตลอด รวมถึงหนีฉันด้วย แต่คนคนนั้นกลับเลือกที่จะเข้าหาเธอ เขาน่ะรักเธอจริงๆ นะ เธอคงยังไม่รู้ใช่ไหมว่าวันนี้เขาพยายามขนาดไหนกว่าจะหาตัวเธอพบน่ะ?”

พยายามอย่างหนักที่จะหาฉันเพื่อพาฝูซิงกลับไปล่ะสิ แบบนี้เรียกเพื่อฉันตรงไหน? ตลก

ใบหน้าสวยนั้นแสดงให้เห็นว่ากำลังไม่พอใจชายหนุ่มอยู่ แต่เธอไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น ยังคงนอนนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม จูหลิงหลงไม่ได้รู้ด้วยว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ เธอยังคงพยายามอธิบายต่อเพื่อช่วยลดทอนความผิดของหานซือฉีให้ “ฉันรู้ว่าเธอน่ะคงผิดหวังในตัวซือฉี แต่เขาไม่มีทางเลือกนี่นา แต่เดิมแล้ววันนี้งานหมั้นจะเริ่มตอน 11 โมงครึ่ง ทุกๆ คนในงานต่างเป็นกังวลกันมากๆ ที่เขายังไม่ปรากฏตัว แถมโทรไปก็ยังไม่รับอีก โดยเฉพาะ เฉียวเค่อเหริน ยัยคนนั้นน่ะแทบจะร้องไห้เลยล่ะ! ฉันเห็นด้วยตาตัวเองเลยนะ! แต่แปลกจัง ฉันดันรู้สึกมีความสุขซะงั้น เอ้อ แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สึกแย่อะไรหรอกนะ เพราะตอนที่เห็นว่าซือเซียนกับคุณลุงหน้าซีดไปพร้อมๆ กันน่ะ ฉันก็กลัวว่าการกระทำที่เอาแต่ใจของซือฉีจะทำให้ตระกูลเสียหายไม่น้อยเลย อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าทั้งพี่ใหญ่แล้วก็คุณลุงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซือฉีจะสนใจยัยเค่อเหรินนั่นหรือเปล่า”

เธอพยายามโน้มน้าวทุกวิถีทางโดยหวังจะให้ฝูเจิ้งเจิ้งตอบสนองอะไรบ้าง แต่มันก็ดูไร้ผล อีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรเลยจนเธอเริ่มเบื่อและหยุดพูดไป

ภายในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งตอนนี้กำลังคิดว่า การที่หานซือฉีไปถึงงานหมั้นช้าน่ะ ยังไงก็ต้องกระทบกับตระกูลเฉียวอยู่แล้ว โดยเฉพาะเฉียวหยวนหานที่มีชื่อเสียงในมือง B เป็นอย่างมาก ตัวเฉียวหยวนหานเองอาจจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เฉียวเค่อเหรินน่ะต้องรู้แน่ๆ และความเกลียดชังที่เธอมีต่อฝูเจิ้งเจิ้งก็จะยิ่งต้องมากขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน

ยังไงก็ตาม เธอไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะโกรธจะเกลียดเธอแค่ไหน แต่เพราะตอนนี้ฝูซิงอยู่ในมือหานซือฉี หากอีกฝ่ายรู้ว่าฝูซิงเป็นลูกแท้ๆ ของหานซือฉี มันอาจจะทำให้ชีวิตของฝูซิงอยู่ในอันตรายก็ได้

ลูกชายของเธอจะเป็นอันตราย! เมื่อคิดได้แบบนั้นจิตใจของผู้เป็นแม่ก็เจ็บปวดเสียเหลือเกินมันเจ็บเสียยิ่งกว่าแผลกายที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้เสียอีก

ไอ้ผ้าพันแผลน่ารังเกียจนี่!

“ไม่ต้องกังวลไปนะเจิ้งเจิ้ง แค่ขาพลิกน่ะ อีกไม่นานเธอก็หายแล้ว” จูหลิงหลงเห็นฝูเจิ้งเจิ้งมองไปยังผ้าพันแผลที่ขา ก็อดไม่ได้ที่จะพูดปลอบ

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เสียงประตูก็ดังขึ้นมา จูหลิงหลงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูทันที

แต่ทันทีที่ประตูเปิด ชายคนหนึ่งก็แทรกตัวเข้ามา

“เฮ้ นายจะท—” ไม่ทันทีจูหลิงหลงจะได้พูดจบประโยค เธอก็โดนสับหลังคอจนสลบไปเสียก่อน

“นายเป็นใคร!?” ฝูเจิ้งเจิ้งที่เห็นเหตุการณ์นั้นตื่นตัวขึ้นมาด้วยความตกใจทันที!

————————————————————————————————————–

คุยกับผู้แปล

หานซือฉีกลายเป็นตัวร้ายไปซะแล้ว หรือว่าจริงๆ เรื่องนี้หยางเต๋าจะเป็นพระเอกนะ?