บทที่ 77 หวังเหิงรับศิษย์ (ต้น)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 77 หวังเหิงรับศิษย์ (ต้น)

บทที่ 77 หวังเหิงรับศิษย์ (ต้น)

หวังเหิงโบกมือ ก่อนที่ยันต์จะหายไป

เขาหลับตาลง จมอยู่ในห้วงความคิด

ชายชราจะไม่เข้าใจความหมายที่เจ้าสำนักสาขาต้วนได้อย่างไร?

เป็นเรื่องปกติที่ตระกูลย่อยจะส่งคนมีพรสวรรค์ไปให้สำนักหลัก การที่ต้วนคงซิวส่งยันต์เช่นนั้นมา อาจอยากใช้เด็กคนนี้มาผูกมิตรก็เป็นได้

สำนักอักขระสวรรค์คัดเลือกศิษย์หลายครั้ง แต่หวังเหิงไม่เคยรับศิษย์เพิ่มอีก ถึงแม้จะไม่เคยระบุเหตุผลอย่างชัดเจน แต่ทุกคนในสำนักต่างทราบว่า ผู้อาวุโสใหญ่อุทิศแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับกู่หงเฟย

ต้วนคงซิวย่อมทราบดีเช่นกัน แต่เขายังคงส่งยันต์มาให้ นั่นหมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ส่งต่อไปถึงสำนักสาขาแล้ว

ผู้ส่งข่าวคือสองสุนัขนามเฉิงเหิงกับเฉิงหลินเป็นแน่!

จิตสังหารก่อตัวขึ้นในใจของหวังเหิง เขาเมตตาพอที่จะให้สองคนนั้นใช้ชีวิตบนภูเขา แต่คาดไม่ถึงว่าจะโดนสองคนนั้นจับตาดูอยู่

เหอะ…

หลังจากผู้อาวุโสใหญ่พ่นลมออกจมูก เขาเก็บงำความคับข้องใจนี้ไว้ แล้วกลับมาคิดถึงเด็กที่ถูกกล่าวถึงในยันต์เมื่อครู่

เส้นชีพจรวิญญาณต้องสงสัย

หากมีพรสวรรค์เช่นนี้ ต่อให้ไม่สามารถกลายเป็นเจ้าสำนักได้ เขาก็แค่อยู่ต่ำกว่าคนในสำนักหนึ่งคน แต่อยู่เหนือคนอื่นหนึ่งหมื่นคน!

หวังเหิงเริ่มครุ่นคิดในใจ

กู่หงเฟยแบกรับความคาดหวังทั้งหมดของตนมาตลอดหลายปี

เป็นทั้งเส้นทางในอนาคต… เป็นทุกอย่างของเขา

จุดยืนของตนในสำนักอักขระสวรรค์จะเป็นเช่นไร เขาฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับอนาคตของกู่หงเฟยมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้ ศิษย์เอกพลาดตำแหน่งผู้สืบทอด อย่างมากคงจะกลายเป็นผู้อาวุโสในอนาคต

หวังเหิงเองก็ต้องการเช่นนั้น เพื่อรับผลประโยชน์มากมาย

แต่ก็ไม่อาจเทียบกับสิ่งที่วาดฝันไว้มานับแรมปีได้

ยิ่งกว่านั้น ยังมีเรื่องที่กู่หงเฟยเผยสัญญาณการเป็นมารออกมาให้ต้องกังวลอีก

ผู้อาวุโสหลักหรี่ตาลง แววเนตรคู่นั้นเผยร่องรอยความซับซ้อนออกมา

ถึงแม้จะตัดขาดแหล่งกำเนิดการถูกครอบงำของกู่หงเฟยไปแล้ว แต่เมื่อหัวใจมีความดำมืด เป็นไปได้มากว่าเขาจะตกอยู่ในสภาวะสิ้นสติอีกในอนาคต

หากกู่หงเฟยกลายเป็นมาร เช่นนั้นความพยายามอย่างแสนสาหัสของเขาก็จะสูญเปล่า!

คนอื่นจะมองเขาเช่นไร?

หวังเหิงครุ่นคิดอยู่ในใจ ก่อนหยิบยันต์ออกมา ใช้มือแทนพู่กัน เขียนเส้นบางส่วนก่อนสลักลงบนยันต์นั้น

เมื่อปลายนิ้วตกลง ยันต์พลันกลายเป็นแสงสว่างสายรุ้งก่อนหายไปในพริบตา

หวังเหิงยืนขึ้น พลางเหลือบมองผ่านหน้าต่างสำนักอักขระสวรรค์ภายใต้ราตรีอันมืดมิด ในใจรู้สึกยินดี

ไจ่หลิงผู้นี้ …ข้าจะขอรับไว้ก็แล้วกัน!

ในเวลาเดียวกัน กู่หงเฟยกลับไปที่ห้องแล้วนั่งขัดสมาธิ เริ่มทำการกระตุ้นลมปราณเพื่อทำการฝึกฝน

ค่ายกลปกคลุมรอบข้าง เขาตกอยู่ในสภาพการบ่มเพาะ

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบงันในห้อง แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่าง สะท้อนใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย …เป็นลู่หยวน

บุตรศักดิ์สิทธิ์ครุ่นคิดสักพัก พลังสีดำทมิฬแพร่ออกจากร่างกายของเขา ค่อย ๆ ตรงไปทิศทางของกู่หงเฟย

เขาก้าวถอยหลัง พลางเร้นหายเข้าไปในห้วงราตรี

พลังสีดำไม่ได้ถูกกีดขวาง ค่ายกลเหล่านั้นไม่อาจตรวจจับได้แม้แต่น้อย

มันคืบคลานเข้าสู่เท้าของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ก่อนจะไหลเข้าสู่ร่างกายช้า ๆ

กู่หงเฟยผู้กำลังฝึกฝนคล้ายกับได้สติ เขาลืมตาขึ้นแล้วมองรอบข้าง… แต่กลับไม่พบอะไร

เขาคิดไปว่าเป็นภาพหลอน จึงหลับตาก่อนฝึกฝนอีกครั้ง

ทันใดนั้น เหนือหน้าผากของอัจฉริยะหนุ่ม มีลวดลายสีแดงเข้มแปลกประหลาดปรากฏขึ้น ก่อนจะเลือนหายไป

ในช่วงเช้าตรู่ ลู่หยวนเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายรอบสำนักอักขระสวรรค์ โดยมีเทียนเม่ยเอ๋อร์อยู่ในอ้อมแขน และมีฉินอี่หานเดินตามติดเขา

ศิษย์จำนวนมากเห็นพวกเขาสองคนเดินไปด้วยกันบนหมู่เมฆ ราวกับคู่เทพเซียนก็ไม่ปาน

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ส่งเฉาหงไปตรวจสอบเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋ซวงมาแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราชวงศ์อู๋ซวงเก็บตัวบ่อยครั้ง ตอนนี้จึงไม่ทราบพลังที่แท้จริงของพวกเขา”

ฉินอี่หานกล่าวว่า “ยี่สิบปีก่อน ท่านพ่อถูกท่านอาสังหาร อาของข้าเปี่ยมด้วยเล่ห์เพทุบาย ชอบกระทำการอย่างลับ ๆ เป็นที่สุด เกรงว่าคงมีกองกำลังใต้ดินอยู่มากมายเป็นแน่”

ทั้งสองสนทนากันไปมา เทียนเม่ยเอ๋อร์สับสนเมื่อได้ฟัง จึงทำได้เพียงมุดศีรษะขนาดเล็กเข้าไปในอ้อมแขนของลู่หยวน หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนงีบหลับไป

ช่วงเวลานั้นมีศิษย์จำนวนมากบินมาจากยอดเขาต่าง ๆ เวียนวนไปมา

ศิษย์คนหนึ่งผ่านลู่หยวนและฉินอี่หาน ก่อนจะหยุดนิ่งด้วยท่าทีประดักประเดิด และทำความเคารพพวกเขา “คารวะศิษย์พี่ฉิน คารวะนายน้อย”

ลู่หยวนพยักหน้า ถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมพวกเจ้าถึงรีบร้อนกันนัก?”

ศิษย์ผู้นั้นรายงานกลับว่า “สำนักสาขาส่งคนมีพรสวรรค์บางส่วนมา พวกข้ากำลังจะไปแจ้งผู้อาวุโสให้ไปคัดเลือกศิษย์”

ลู่หยวนชี้ไปยังยอดเขาซู่หยางที่ไร้วี่แววผู้ไปเยือน พลางถามว่า “ทำไมไม่มีใครไปแจ้งผู้อาวุโสใหญ่?”

ศิษย์ผู้นั้นลังเลสักพัก เขาย่อมไม่กล้าบอกเรื่องที่ทุกคนได้รับคำสั่งมาจากอาจารย์ตนเอง ว่าในช่วงไม่กี่วันนี้อย่าไปหาผู้อาวุโสใหญ่

เขาควานหาเหตุผลมาตอบว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ไม่รับศิษย์มานานแล้ว ดังนั้นเป็นธรรมดาที่พวกข้า…”

ก่อนจะทันได้กล่าวจบ เขาก็พบว่ามีร่างหนึ่งก้าวออกจากหมู่เมฆบนยอดเขาซู่หยาง กลายเป็นลำแสงสายรุ้ง มุ่งหน้าสู่ประตูสำนัก

เมื่อมองใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นหวังเหิง

ลู่หยวนหันศีรษะไปมองฉินอี่หาน นางมองกลับมาเช่นกัน ทั้งสองต่างเผยรอยยิ้ม พร้อมร่องรอยความซุกซนในแววตา

“นายท่านอยากไปดูหรือไม่? อาจจะมีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้”

“ได้ ไปดูกันเถอะ”

ทั้งสองก้าวไปข้างหน้า กลายเป็นเงาสีขาวสองกลุ่มก่อนพุ่งออกไป!

ศิษย์ผู้อยู่กับที่ตกตะลึง เขาแตะศีรษะตน ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่านายน้อยกับศิษย์พี่ฉินเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี

ทันใดนั้น เขาก็ตบศีรษะตัวเองเพื่อเรียกสติ พวกตนเกือบลืมไปแจ้งผู้อาวุโสเสียแล้ว!

เขารีบใช้งานค่ายกล มุ่งหน้าสู่ยอดเขาแห่งหนึ่ง

บนจัตุรัสตรงหน้าประตูสำนักอักขระสวรรค์ บุรุษวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีเขียวนำเด็กห้าถึงหกคนมายืนอยู่ใจกลางจัตุรัส ขณะที่ศิษย์ของสำนักจำนวนมากยืนอยู่ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ

เวลานั้นมีแสงสว่างจำนวนมากพุ่งผ่าน ก่อนตกลงบนจัตุรัส

ผู้ชายในชุดคลุมสีเขียวก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่เดิมสงบเผยรอยยิ้มออกมา “คารวะผู้อาวุโส”

ผู้อาวุโสจำนวนมากส่งเสียงอืม จากนั้นเดินผ่านคนผู้นี้ไปหาเด็กเหล่านั้น

หลายคนสำรวจเด็กที่มีพรสวรรค์จำนวนมาก จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปแทบจะพร้อมกัน ต่างจับจ้องไปหาเด็กคนหนึ่งที่สภาพดูมอมแมมเล็กน้อย สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยเปลวเพลิง

หนึ่งในเหล่าผู้อาวุโสยิ้มออกมา รีบกล่าวว่า “เด็กคนนี้ข้ารับเอง ส่วนที่เหลือ ทุกท่านค่อย ๆ เลือก!”

หลังจากนั้น เขาก็พาเด็กไป…

ผู้อาวุโสที่เหลือก้าวมาข้างหน้าเพื่อหยุดเขาเอาไว้!

ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกล่าวว่า “เหล่าอู่ เจ้าไม่มีความเมตตาเอาเสียเลย พอเจ้าบอกว่าจะเลือก ก็เลือกอัจฉริยะในรอบหนึ่งพันปีไปเลย พวกเราต่างมาพร้อมกัน ทำไมเจ้าถึงได้เลือกก่อนล่ะ?”

ผู้อาวุโสที่เหลือตอบรับเช่นกัน

ทุกคนที่นี่มองออกว่าพรสวรรค์ในตัวเด็กคนนี้คล้ายกับเส้นชีพจรวิญญาณ พรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ปรากฏขึ้นเพียงเจ็ดครั้งจากลูกหลานของสำนักอักขระสวรรค์ในรอบหนึ่งพันปี

ในเจ็ดคนนี้ คนหนึ่งเป็นบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักอักขระสวรรค์ ส่วนอีกห้าคนล้วนรับใช้ในฐานะเจ้าสำนักอักขระสวรรค์

คนเดียวที่เหลือคือฉินอี่หาน แต่เส้นชีพจรวิญญาณของนางถูกทำลายไปเมื่อห้าปีก่อน จนผู้อาวุโสจำนวนมากต่างพากันทอดถอนใจเป็นเวลาหลายปี