บทที่ 78 หวังเหิงรับศิษย์ (ปลาย)

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 78 หวังเหิงรับศิษย์ (ปลาย)

บทที่ 78 หวังเหิงรับศิษย์ (ปลาย)

ตอนนี้มีเส้นชีพจรวิญญาณปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับเทพเจ้ามอบต้นกล้าพันธุ์ดีหนึ่งต้นให้กับสำนักอักขระสวรรค์!

ใครบ้างไม่ต้องการศิษย์ผู้มีอนาคตเช่นนี้?

ขณะที่หลายคนหัวหมอ ไม่มีใครยอมใคร ทันใดนั้นแสงสว่างสายรุ้งพลันพุ่งลงมา หวังเหิงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันน่ะ ช่างมีชีวิตชีวาเหลือเกิน ขอข้าร่วมฟังด้วยคนสิ”

เมื่อหลายคนเห็นหวังเหิง พวกเขาต่างพากันตกตะลึง ก่อนยกมือขึ้นทำความเคารพ

ผู้อาวุโสใหญ่ก้มศีรษะเล็กน้อยเช่นกัน

โดยไม่รอให้คนอื่นพูด หวังเหิงมองดูเด็กที่มีสภาพมอมแมม ก่อนก้าวไปข้างหน้าทันที เขานั่งลงตรงหน้าอีกฝ่าย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ “เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร?”

“ไจ่หลิง” เสียงของเด็กคนนั้นหนักแน่นมั่นคง ไม่มีความขลาดกลัวแต่อย่างใด

หวังเหิงเห็นดังนี้ ยิ่งรู้สึกถูกชะตามากขึ้น

“เจ้าเต็มใจติดตามข้า เพื่อเป็นศิษย์หรือไม่?”

เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา ผู้อาวุโสคนอื่นต่างก้าวมาข้างหน้าทันที “ผู้อาวุโสใหญ่ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เห็นได้ชัดว่าพวกข้ามาก่อน!”

หวังเหิงกลอกตา “เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ ควรได้รับการบ่มเพาะที่ดี ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใดเลย แค่ทรัพยากร ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ใครบ้างจะสามารถให้ได้มากกว่าข้า?”

หลายคนพลันตกอยู่ในความเงียบ ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นความจริง ในด้านทรัพยากร พวกเขาจะมีมากเท่ากับผู้อาวุโสใหญ่ได้อย่างไร

แต่พวกเขาไม่เต็มใจ!

ต้นกล้าดีเช่นนี้ จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร?!

ไกลออกไป ลู่หยวนและฉินอี่หานมองดูทุกการเคลื่อนไหว

บุตรศักดิ์สิทธิ์ลดเสียงลงแล้วกล่าวว่า “สุนัขเฒ่าหวังเหิงเริ่มแย่งคนแล้ว”

ผู้ฝึกกระบี่หญิงพยักหน้า “กู่หงเฟยมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นมารอยู่แล้ว ขอเพียงหวังเหิงไม่ได้โง่ เขาย่อมอยากหาศิษย์เพิ่มอีกคน แถมคนผู้นี้มีเส้นชีพจรวิญญาณ เขาจะอดใจไม่ฉกฉวยไว้ได้อย่างไร”

“บอกข้าที หากกู่หงเฟยเห็นหวังเหิงกำลังแย่งคนอื่นแบบนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น?”

ลู่หยวนถามอย่างมีนัยบางอย่าง

ฉินอี่หานเข้าใจทันที ก่อนยกมือขึ้นแล้ววาดยันต์

ยันต์ค่อย ๆ หายไป สาส์นบนยันต์ถูกส่งต่อไปหาอัจฉริยะหนุ่ม

“นายท่านไม่ต้องห่วง อีกไม่ช้ากู่หงเฟยจะมา”

“เจ้าเขียนอะไรลงไปหรือ?”

ลู่หยวนสงสัยเล็กน้อย ทำไมฉินอี่หานถึงมั่นใจว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะมา?

นางตอบว่า “เขียนว่าหวังเหิงรับศิษย์ที่นี่ แถมถึงขั้นทะเลาะกับผู้อาวุโสคนอื่นด้วย!”

“ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าต้องสุมไฟเพิ่มเสียหน่อยแล้ว”

เมื่อกล่าวจบ บุตรศักดิ์สิทธิ์เองก็วาดยันต์เช่นกัน หลังจากยันต์กระจายออกไปไม่นาน ร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานมาที่บนยอดเขาหลักด้วยความเร็วสูง

ขณะร่างดังกล่าวกำลังบิน พลันมีเสียงฟ้าร้องดังก้องในท้องนภา!

ผู้อาวุโสจำนวนมากสัมผัสการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ ก่อนหันมองกลับไป พวกเขาเห็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ปรากฏร่างผู้คุมกฎอาวุโสเหลยโม่ร่อนลงบนจัตุรัสอย่างมั่นคง!

เขาขมวดคิ้ว ก่อนเดินตรงไปหาไจ่หลิง

ร่างสูงกำยำเมินเฉยผู้อาวุโสคนอื่น และคว้าเข้าที่มือขนาดเล็กของเด็กชายทันที “นับจากวันนี้ไป ข้าผู้นี้คืออาจารย์ของเจ้า ไปกันเถอะ”

หวังเหิงรีบคว้าตัวเหลยโม่ไว้!

“ผู้คุมกฎเหลยทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? แย่งคนหรือ? หลักของการเลือกศิษย์คือใครมาก่อนได้ก่อน!”

สิ่งที่หวังเหิงกล่าวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ผู้อาวุโสคนอื่นต่างชำเลืองมองและก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ เจ้ามันหน้าไม่อายจริง ๆ แล้วใครล่ะที่เมื่อครู่ตรงมาแย่งคน?! ทีนี้เจ้ายังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกหรือ?!

เหลยโม่ยื่นมือขวาออกไปตรงหน้าผู้อาวุโสใหญ่ “ผังอสนีนิพพาน”

หวังเหิงตกตะลึงสักพัก “เจ้าว่าอะไรนะ?”

ผู้คุมกฎอาวุโสตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ส่งผังอสนีนิพพานมา แล้วข้าจะไม่แย่งกับเจ้า”

คนฟังเดือดดาลจนพ่นลมออกมาพลางจ้องตาเขม็ง “เจ้ากล้าขอให้ข้าจ่ายอย่างนั้นหรือ?!”

เหลยโม่หันศีรษะกลับอย่างเย็นชา เขาอุ้มไจ่หลิงขึ้นบ่า ก่อนจะเดินตรงไปที่ยอดเขาของตัวเอง

ดวงตาของหวังเหิงมืดครึ้ม เขากำลังจะลงมือ ทว่าเหลยโม่พลันชักกระบี่ยาวออกมาทันที หันหลังแล้วชี้ปลายกระบี่ไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ น้ำเสียงเคร่งขรึมเปี่ยมด้วยจิตสังหาร “หวังเหิง อย่ามาเล่นตุกติกกับข้า ขืนสู้กันขึ้นมา ผลลัพธ์ไม่มีอะไรดีหรอก!”

คนอื่นเห็นดังนี้ต่างก็หวาดกลัวว่าพวกเขาทั้งสองจะสู้กันจริง ๆ พวกเขาจึงรีบพุ่งเข้ามาโน้มน้าว “ทำไมทั้งสองคนต้องทำแบบนี้ด้วย? ยังมีศิษย์คนอื่นอีกไม่ใช่หรือ? คนอื่นก็มีพรสวรรค์ดีเช่นกัน”

เหลยโม่ตอบตามตรงว่า “มีหลายคนที่มีพรสวรรค์ดี แต่มีคนเดียวที่มีเส้นชีพจรวิญญาณ!”

น้อยคนนักที่จะไม่รู้ถึงความล้ำค่าของเส้นชีพจรวิญญาณนี้

ใบหน้าของหวังเหิงมืดมน ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะเหลยโม่คนนี้ได้ แต่ถ้าพวกเขาสองคนต่อสู้กันขึ้นมา เป็นไปได้ว่าไจ่หลิงจะตกอยู่ในมือของคนอื่น

สุดท้ายแล้ว… เขาจะไม่ได้อะไร แถมยังถูกหัวเราะเยาะอีกด้วย!

ผ่านไปหลายอึดใจ หวังเหิงหยิบคัมภีร์ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า “รับไปเสีย ผังอสนีนิพพาน”

เหลยโม่รับมาแล้วกวาดตามอง เมื่อมั่นใจว่าใช่ของจริงจึงเก็บมันไป ก่อนส่งไจ่หลิงไปที่อ้อมแขนของชายชรา และสาวเท้าจากไป

เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ได้เด็กชายมาครอง สีหน้าพลันผ่อนคลาย ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะมาแย่งไปอีก จึงรีบพาไจ่หลิงไปลงทะเบียนศิษย์

ไกลออกไปในจุดที่เขาไม่ทันสังเกต กู่หงเฟยซ่อนอยู่หลังต้นหลิวขนาดใหญ่ มองดูหวังเหิงกำลังพุ่งไปที่สำนักทะเบียนพร้อมเด็กน้อยในอ้อมแขน

กร๊อบ!

กู่หงเฟยเค้นพละกำลังออกมา ทำให้ต้นหลิวที่หนาเท่ากับสามคนโอบถูกหักโค่นไปครึ่งต้น!

อัจฉริยะหนุ่มหลับตา คำพูดที่อาจารย์กล่าวตอนที่รับเขาเป็นศิษย์ยังคงดังก้องอยู่ในใจ

“ชั่วชีวิตนี้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียว ในอนาคต เจ้าต้องฝึกฝนให้หนัก อย่าทำให้เสียชื่อข้า!”

“หงเฟย เจ้าต้องอุทิศตัวเองเพื่อการบ่มเพาะ ความคาดหวังของข้าทั้งหมดอยู่ที่เจ้าเพียงคนเดียว”

“เจ้าคือศิษย์คนเดียวของข้า เจ้าต้องต่อสู้เพื่อให้ประสบความสำเร็จ!”

คำพูดเหล่านี้ยังคงดังก้องในหูของกู่หงเฟย สถานการณ์เหล่านี้คล้ายกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ ในใจรู้สึกเจ็บปวดนัก

อาจารย์ยอมแพ้ในตัวเขา แล้วไปหาศิษย์คนอื่นอย่างนั้นหรือ?

เขาหันหลังเดินตรงไปที่ยอดเขาซู่หยาง

จากมุมสูง ลู่หยวนและฉินอี่หานเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ทั้งสองหันหลังแล้วจากไปเช่นกัน

อีกด้าน เมื่อชื่อของไจ่หลิงอยู่ใต้ชื่อของหวังเหิงแล้ว ชายชราจึงโล่งอกอย่างสมบูรณ์

เขาพาไจ่หลิงไปที่ยอดเขาซู่หยางอย่างมีความสุข

ระหว่างทาง เขาให้ของดีมากมายกับไจ่หลิง เด็กชายรับพวกมันไว้โดยไม่ปริปากเท่าไหร่นัก

หวังเหิงชอบนิสัยแบบเด็กผู้นี้ที่มีความเงียบขรึม ไม่ดื้อด้าน เป็นเมล็ดพันธุ์ดีที่จะอุทิศตนเพื่อการฝึกฝน!

เมื่อกลับถึงยอดเขาซู่หยาง เขาก็เห็นศิษย์อีกคนกำลังรออยู่นอกห้องโถงหลัก

หวังเหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นถามทันทีว่า “หงเฟย ตอนนี้เจ้าไม่ได้กำลังฝึกฝนอยู่หรือ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

กู่หงเฟยยกมุมปากขึ้นพลางทำความเคารพ ความผิดหวังในดวงตาหนักอึ้งมากขึ้น สีหน้าของชายชราเมื่อครู่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา

“อาจารย์ ทรัพยากรการบ่มเพาะของข้าเหลือน้อย ดังนั้นข้าจึงมาขออาจารย์บางส่วน”

หวังเหิงส่งเสียง ‘อืม’ ก่อนหยิบถุงเก็บของออกมามอบให้กับกู่หงเฟย จากนั้นกล่าวว่า “จะว่าไป นี่คือศิษย์น้องของเจ้า ชื่อไจ่หลิง ในอนาคตเจ้าดูแลเขาให้ดีล่ะ”

กู่หงเฟยพยักหน้าด้วยความเคารพ หลังจากหวังเหิงพาเด็กชายไปแล้ว เขาจึงเปิดถุงเก็บของ ทรัพยากรที่อยู่ข้างในมีเพียงสี่ในสิบของปริมาณเดิมที่เคยได้รับ

ดวงตาของอัจฉริยะหนุ่มแดงก่ำ หัวใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

จากมุมที่เขาไม่รู้ เส้นสีดำบนหน้าผากปรากฏขึ้นทันที ดูเครียดขมึงยิ่งนัก