บทที่ 99 – ดัสก์

 

กิ่งก้านแห่งความตาย

ภัยพิบัติที่น่ากลัวหากมันเพาะเลี้ยงสัตว์ประหลาดบางอย่างจนสำเร็จขึ้นมา สิ่งนั้นจะสามารถควบคุมฝูงปีศาจจิตมรณะทั้งหมดได้

แน่นอนว่านั่นแค่ในส่วนที่พอจะคาดเดาออกก็เท่านั้น เพราะว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นแน่ๆ

เนื่องจากตัวของสัตว์ประหลาดหรือสิ่งมีชีวิตนั้นถูกหล่อเลี้ยงภายใต้จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตมากมาย หากมองในกรณีที่เป็นไปได้มากที่สุด

มันอาจจะสามารถต้านทานพลังศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดได้ เพราะเดิมทีพลังศักดิ์สิทธิ์ก็คือพลังเกี่ยวข้องกับจิตใจ ความเชื่อของผู้ใช้ที่อยู่เหนือสามัญทั่วไป

แต่สัตว์ประหลาดดังกล่าวเกิดจากการหลอมรวมจิตสำนึกจำนวนมากให้กลายเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทางที่พลังในการบิดเบือนความจริงจากจิตสำนึกของคนคนเดียวจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้แน่ๆ

แน่นอนว่าเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น แต่หากเป็นแบบนั้นจริง คราวนี้แหละที่เป็นการล่มสลายของสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง

“เอาเป็นว่า.. หากสิ่งมีชีวิตนั้นเกิดออกมาจากกิ่งก้านแห่งความตายเมื่อไหร่.. ทุกอย่างเป็นอันจบค่ะ”

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรับมือเลย”

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า

“นั่นก็คือเรย์น่างั้นสินะ..”

“ใช่ค่ะ”

พูดถึงจุดนี้สเตทีลน่าก็เงียบลง สีหน้าเผยแววซับซ้อนออกมาราวกับอยู่ในอารมณ์ที่ยุ่งเหยิง แต่เธอก็เหมือนจะพอเข้าใจบางอย่างขึ้นมา

เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “แบบนี้เองสินะ.. เรย์น่า” เธอพึมพำแบบนั้นก็ก้าวเดินพร้อมกับอธิบายต่อไป

ทิ้งให้มิวได้แต่งุนงงกับท่าทางอันเป็นปริศนานั้นของตัวเธอเอง แน่นอนว่ามิวก็ไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้น คนพวกนี้คงไม่คิดจะบอกทุกอย่างเธอหรอก

เพราะยังไงซะสำหรับคนพวกนี้แล้ว มิวก็ถือเป็นแค่คนนอกเท่านั้น แม้มิวจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ตามที

จุดแตกหักระหว่างมิวกับคนกลุ่มนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่ประวัติของมิวบอกไว้ว่าถูกคนพวกนี้ตามล่าแล้ว

“อย่างที่บอกว่า เรย์น่าคือไพ่ตายใบสุดท้ายของพวกเรา”

อย่างที่มิวได้รู้ก่อนหน้านี้ว่ากิ่งก้านแห่งความตายคือเหมือนกับต้นตอของปีศาจจิตมรณะที่คอยดูดกลืนจิตสำนึกของผู้อื่น

นั่นหมายความว่าเพียงแค่แตะหรือเข้าใกล้กิ่งก้านแห่งความตายได้.. จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตก็จะถูกดูดกลืนเข้าไปภายในนั้นและกลายเป็นความบ้าคลั่งไปในที่สุด

แต่นั่นจะแตกต่างจากเรย์น่าผู้ที่ครอบครอง ‘กายาไร้จิต’ ผู้ซึ่งไม่มีเจตนารมณ์แรกเริ่มเป็นของตัวเองนั่นแหละ

เรย์น่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากกิ่งก้านแห่งความตายโดยเด็ดขาด ที่เหลือก็แค่ให้เธอได้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในการเข้าไปใกล้กิ่งก้านแห่งความตาย

“และทำลายกิ่งก้านแห่งความตาย.. ไปด้วยวิชาสุดยอดที่สุดที่ท่านมิวครอบครองอยู่”

“เพียงแค่นั้นจิตสำนึกก็จะไม่สามารถเพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตอะไรได้อีกเลย นี่จึงเป็นหนทางเดียวที่พวกเราเหล่ามนุษยชาติจะรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้ได้”

“อันที่จริง.. เมื่อสิบกว่าปีก่อนข้าก็ได้เห็นเหมือนกัน วิชาสุดยอดที่ท่านมิวช่วยเมืองพวกเราเอาไว้ พลังนั้นมันคือพลังเพียงอย่างเดียวที่จะสามารถทำลายกิ่งก้านแห่งความตายได้”

“เพราะงั้น ได้โปรดสอนทุกอย่างให้กับเด็กคนนั้นด้วยเถอะ”

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย.. พอเข้าใจความยากของสถานการณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ที่เธอสงสัยคือวิชาสุดยอดที่มิวใช้เมื่อหลายสิบปีก่อน

ความจริงที่ว่านั่นเป็นแค่การวางเซตติ้งแทรกแซงเรื่องราวให้กับมิวจากเทพธิดาไม่ผิดแน่อยู่แล้ว

แต่คำถามคือมันคือวิชาอะไร.. บางทีโจทย์ในเควสครั้งนี้อาจจะไม่ใช่แค่การต้องศึกษาบางอย่างมาเพื่อสอนเรย์น่า

แต่ต้องตามหาว่า ‘เมื่อสิบปีก่อน’ มิวใช้ท่าอะไรไปตามเซตติ้งนั่นแหละนะ.. ซึ่งจากคำพูดของผู้หญิงตรงหน้านี้แม้จะมีช่องโหว่ที่เหมือนเจ้าตัวเลี่ยงจะอธิบายอยู่หลายจุด

และมิวก็ไม่ได้ฉลาดพอที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวที่กระจัดกระจายได้ เธอรู้แค่ว่ามีหลายส่วนที่คนเหล่านี้ปกปิดเธออยู่

แม้แต่เรย์น่ายังปิดหลายเรื่องกับเธอ มิวไม่ได้ว่าอะไร.. ยังไงซะนี่ก็เป็นเควสที่มิวต้องเผชิญอยู่แล้ว

อันที่จริง ข้อมูลที่ได้รับมาคราวนี้มันเยอะกว่าตอนชั้นสามเสียอีก.. ในความเห็นมิวคือง่ายกว่าชั้นสามแน่ๆ 

อันที่จริงแล้วมิวก็พอจะมีแผนการและแนวทางอยู่ในใจเงียบๆ แล้วแค่ต้องทบทวนเพิ่มอีก เพราะข้อมูลที่เธอมีมันยังไม่พอ มันยังขาดอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง

นิดหน่อยที่ว่านี่คือนิดหน่อยจริงๆ มันเหมือนจิกซอว์ไม่กี่ตัวสุดท้ายที่มิวยังคิดไม่ออก…

เมื่อเดินมาถึงห้อง.. สเตทีลน่าก็หยุดลงพร้อมกับกล่าวกำชับกับมิวว่า

“ฝากเด็กคนนั้นด้วยนะคะ..”

“อืม…”

มิวทำได้เพียงแค่พยักหน้าแล้วก็แยกจากเธอ มิวเข้าไปในห้องที่ตัวเองตื่นขึ้นมาก่อนจะมานั่งทบทวนความคิดกับตัวเอง

และแยกแยะข้อมูลที่ได้รับมาตลอดวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นปีศาจจิตมรณะ พลังศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่กายาไร้จิตของเรย์น่า

เธอนั่งทบทวนข้อมูลตลอดทั้งคืน.. ในมือของมิวมีพลังรูปแบบหนึ่งไหลเวียนอยู่.. นี่คือพลังมังกรของมิว

มิวไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่มันคือพลังที่เผ่ามังกรต้องการมันมากยิ่งกว่าอะไร ไม่ว่ามิวจะอยู่ที่ไหนก็จะมีพลังนี้อยู่เสมอ

เหมือนกับว่ามีเพื่อมังกรยังไงยังงั้น แม้อัตลักษณ์นิรันดร์ของมิวจะถูกปิดกั้นไปบางส่วนและมีพลังหลายอย่างที่ถูกปิดกั้นไป

แต่ทว่ามีแค่เจ้าพลังมังกรนี้นี่แหละที่อยู่อย่างที่เป็น ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ แม้ในตอนแรกมิวจะคิดว่ามันเหมือนกัน

แต่มันกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง พลังมังกรนี้ของมิวทำได้แค่รวบรวมแล้วปลดออกในรูปแบบของพลังงานสูง

แต่ทว่าพลังศักดิ์สิทธิ์คือพลังที่มีผลในระดับจิตสำนึก ไม่สามารถสร้างดาเมจทางกายภาพได้โดยตรง

ซึ่งมันอยู่คนละระดับกับพลังมังกรของมิวเลย.. เพราะรูปแบบพลังมันดูคล้ายกันเท่านั้นเอง ทำให้มิวได้แต่ถอนหายใจ

“แต่จะว่าไป.. นายมองฉันมาสักพักแล้วนะ อันที่จริงที่ไม่สนใจก็เพราะไม่มีจิตสังหารหรอก แต่ถ้าจะให้คนมาจ้องตอนเปลี่ยนเสื้อผ้านี่มันออกจะไม่ไหวนะ”

จู่ๆ มิวที่ถอนหายใจออกมาก็พูดขึ้น พร้อมกับคว้ามือไปกลางอากาศก่อนจะเหวี่ยงลงพื้นพร้อมกับกดลงและนั่งบนตัวของบางสิ่งบางอย่าง

โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัวหรือหลบหลีก ดาบสีดำเล่มหนึ่งที่เป็นแค่ดาบธรรมดา แต่ถ้าอยู่ในมือมิวมันคงตัดได้ทุกอย่างก็ถูกวางพาดลงตรงคอของอีกฝ่าย

เงาร่างอีกฝ่าย.. ค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้ามิว เป็นคนสวมผ้าคลุมสีดำสนิทสีหน้าดูแตกตื่นที่มิวสังเกตเห็นอยู่พอสมควร

อันที่จริงมิวไม่กล้าผิดพลาดเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว นับตั้งแต่เธอลืมตาตื่นเธอก็ใช้อาณาเขตจิตมังกรระยะแคบทันที

และเธอก็สัมผัสได้ว่ามีคนหนึ่งยืนมองอยู่ตลอด มิวสามารถวิเคราะห์ได้แม้แต่พลังหรือความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย

ซึ่งมิวมั่นใจว่าต่อให้มิวหลับอยู่อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะทำอะไรมิวได้ แถมไม่มีจิตสังหารอะไร มิวเลยไม่ได้สนใจ

อีกอย่างมิวนึกว่าเป็นผู้ดูแลให้กับเรย์น่าด้วยแหละ แต่เรย์น่าไม่ได้อยู่กับมิวแล้วมันยังตามติดมิวแทนที่จะเป็นเรย์น่า

นั่นหมายความว่าเป้าหมายของมันเป็นมิว ดังนั้นมิวจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องปรานีอีกต่อไป แม้จะไม่มีจิตสังหารแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่เป็นศัตรู

“แล้ว.. นายเป็นใคร?”

มิวถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ เธอไม่ได้มีประสบการณ์ที่ดีกับการถูกซุ่มมองแบบนี้เท่าไหร่ ครั้งก่อนก็เอริเนียถูกลักพาตัว

การที่มิวไม่จัดการอีกฝ่ายก็ถือว่าเพราะเธอยังมีความเป็นมนุษย์มากกว่าความเป็นมังกรเลยก็ว่าได้

“เดี๋ยวๆๆ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า ข้าสาบานได้”

ชายหนุ่มคนดังกล่าวที่ตื่นตระหนกก็รีบพูดขึ้นด้วยความไว ก่อนจะยกมือขึ้นมาเปิดผ้าคลุมออกแทบจะทันที

มิวที่เห็นใบหน้าอีกฝ่ายก็เบิกกว้างเล็กน้อย

“….นาย…”

“ข้าไม่ได้เป็นศัตรูของเจ้าจริงๆ แล้วข้าก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย จริงๆ นะ”

มิวยกมือออก พร้อมกับถอยหลัง

“ข้ามีชื่อว่าดัสก์ เป็นเพื่อนของท่านหญิงเรย์น่าน่ะ.. ขอโทษที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย”

“หือ เพื่อนเหรอ?”

“ใช่ ทำไมเหรอ?”

“ไม่สิ..”

มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็ประหลาดใจ อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเหรอ ไม่สิ.. ต่อให้มิวไม่ได้รู้จักเรย์น่าหรือชายคนนี้นานนัก

แต่มิวก็แทบจะรู้ทันทีว่า..

ผู้ชายคนนี้หน้าเหมือนเรย์น่าไม่มีผิดเลย ยังไงก็พ่อลูกไม่ใช่เหรอ

แล้วไอ้เพื่อนนั่นมันหมายถึงอะไร?