บทที่ 100 – วิธีชนะของมิว
หลังจากนั้นดัสก์ก็รีบอธิบายว่าตัวเองคือเพื่อนหรือพันธมิตรกับเรย์น่า.. ซึ่งดัสก์หรือพวกของดัสก์เป็นกลุ่มที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นพันธมิตรกับเรย์น่า
จะพูดให้ถูกก็คือเพราะมีเรย์น่า กลุ่มนี้จึงถูกสร้างขึ้นมากกว่า.. เพราะเรย์น่าก็มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน
ช่วงที่เธอลงไปด้านล่าง เธอไม่ได้เพียงแค่เที่ยวเล่นไปวันๆ เท่านั้น.. แต่เธอยังใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลและตามหาพวกพ้องเช่นกัน
เพราะว่าทางโบสถ์นั้นไล่ล่ามิว เธอไม่ได้ต้องการจะเป็นศัตรูกับมิวจึงหาคนที่คิดเห็นแบบเดียวกับเธอ
และดัสก์ก็เป็นหนึ่งในนั้นนั่นแหละนะ และการที่ดัสก์อยู่กับเรย์น่าก็เพราะเพื่อรอช่วยเหลือเรย์น่าในบางเวลานั่นแหละนะ
จะบอกว่าเรย์น่าเป็นหัวหน้ากลุ่มก็ไม่แปลกเท่าไหร่นัก
พูดให้ง่ายกว่านี้ก็คือไอ้กลุ่มนี้ก็คือกลุ่มที่นับถือมิวนั่นแหละนะ แน่นอนว่านั่นมันในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนในกลุ่มต่างมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น
จนกลายเป็นว่าเรื่องตามหามิวหรือสืบหาเรื่องของมิวก็เป็นเรื่องรองไปแล้ว.. เพราะตอนนี้กลุ่มพวกเธอเหมือนจะมีไว้เพื่อรับปัญหากับปีศาจจิตมรณะมากกว่า
“แม้พวกเราจะไม่รู้ว่าทางโบสถ์วางแผนจะใช้ท่านเรย์น่ายังไง.. แต่ว่าพวกเรากลุ่มภาคีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางยัดเยียดภาระทุกอย่างให้ท่านเรย์น่าแน่นอน”
“พวกเราจะร่วมช่วยกันหาทางออกที่ดีที่สุดกว่าโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์”
มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากคำพูดของดัสก์ มิวค่อนข้างมั่นใจว่าดัสก์คงไม่ชอบโบสถ์นี่สักเท่าไหร่ และบางทีคงไม่ใช่แค่เขาแต่รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มอีกด้วย
แต่จากที่เขาพูด คือเขาไม่รู้เรื่องของกิ่งก้านแห่งความตายและสาเหตุที่ทำไมโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องให้เรย์น่าช่วยงั้นเหรอ
เรย์น่าก็ไม่ได้บอกพวกเขาเหมือนกันงั้นสิ.. ไม่สิ เจ้าหมอนี่มันตามมิวมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว ควรจะได้ยินคำพูดของสเตทีลน่าเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไมยังทำเหมือนไม่รู้อยู่อีกล่ะ มิวที่สงสัยก็ถามขึ้นว่า
“นายไม่ได้ยินที่สเตทีลน่าคนนั้นพูดเหรอ?”
“หือ.. หมายความว่าไงเหรอ ข้าไม่มีทางได้ยินอยู่แล้วนะ”
“ห้ะ?”
“หือ … ข้าเข้าใจแล้ว เป็นเพราะท่านไม่ได้เป็นพวกแบบนั้นสินะ คือว่า.. ที่จริงแล้วไอ้พวกโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ เวลาพวกเขาพูดหรือทำอะไรพวกเขาจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยน่ะ”
“หมายความว่าไง?”
มิวเอียงคอด้วยความสงสัย ดัสก์จึงกล่าวอธิบายต่อว่า.. พวกนี้ไม่ได้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว
สิ่งที่พวกนั้นทำเพื่อยืนยันตัวตนหรือตำแหน่งของตัวเองว่า ตัวเองมีพลังศักดิ์สิทธิ์เยอะหรือน้อยโดยการปล่อยมันออกมาอยู่ตลอดเวลา
และแน่นอนว่าด้วยความพิเศษของพลังศักดิ์สิทธิ์มันจึงทำให้บางอย่างอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนทั่วไปที่ไม่สามารถมีพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับนั้นได้
และหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ภาษา’ นั่นแหละ.. ในมุมมองของคนนอกที่ไม่ใช่ผู้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงจะได้ยินภาษาที่พวกเขาพูดออกมาเป็นภาษาที่ไม่รู้เรื่อง
แน่นอนและเพราะการปลดปล่อยพลังเหล่านี้ออกในระดับที่เบาบางสุดๆ ก็จริงแต่มันก็ยังเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ผลข้างเคียงอย่างอื่นก็ตามมา เช่น..
บรรยากาศที่สูงส่ง ดูมีมารยาทราวกับองค์ราชินี.. ไอ้บรรยากาศสูงส่งที่มิวแทบจะปรับตัวตามไม่ด้วยคือผลลัพธ์จากการปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาแบบบางๆ นี่แหละ
“พวกระดับสูงของโบสถ์นี้ทำแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละครับ ไม่ใช่ทั้งเพื่อการปิดบังข้อมูลอะไรหรอก แต่เพราะทำแบบนั้นแล้วมันดูสูงส่งกว่าคนอื่นน่ะแหละครับ”
“เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดสุดๆ ไอ้พวกที่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าใครๆ ทั้งที่ไม่เคยทำอะไร วันๆ อวดแต่บารมี แอวะ”
ดัสก์ไม่ปกปิดทัศนคติที่มีต่อโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เลยสักนิด บางทีต่อให้คนตรงหน้าไม่ใช่มิว แต่เป็นคนอื่นหรือเป็นคนจากโบสถ์ เขาก็คงเป็นแบบนี้อยู่ดีนั่นแหละ
“นี่นายทำไมถึงเกลียดพวกนั้นขนาดนั้นได้เนี่ย?”
“ข้าเองก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอก.. แต่ข้าเกลียดพวกนี้มาตั้งนานจนลืมเหตุผลไปแล้วว่าทำไมถึงเกลียดพวกมัน”
“ลืมเหตุผลเหรอ…”
มิวได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ไอ้คนที่เกลียดคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลนี่ก็ดูแย่ไม่ต่างกันหรอกมั้ง เหมือนกับเป็นความอคติเฉยๆ แล้วนั่นน่ะ
แต่เมื่อมิวมาคิดดูอีกที..มิวไม่ใช่ผู้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงเข้าใจภาษาของอีกฝ่ายได้ล่ะ
มิวไม่ค่อยมั่นใจเรื่องนี้เท่าไหร่ พอคิดไปคิดมาก็ได้แต่ข้อสรุปอย่างเดยวที่นึกออก เพราะเทพธิดาเป็นคนเซตติ้งให้เธอเป็นผู้ใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้เสียความทรงจำไปแล้วก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเธอเลยทำให้มิวสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้โดยไม่มีปัญหาแบบที่ดัสก์เจอนั่นเอง
นี่เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นที่สุดในหมู่ความคิดของมิวแล้ว
“แต่ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ท่านมิวอยากให้พวกเราช่วยอะไรก็เรียกหาพวกเราได้เสมอนะ”
“กลุ่มพวกนายมีกันกี่คน?”
“นั่นสินะครับ.. ประมาณสิบกว่าคนละมั้งครับ แต่ละคนเป็นผู้ใช้วิชายุทธ์และเวทมนตร์ทั้งหมดนะครับ แต่เพราะนับถือเทพีศักดิ์สิทธิ์เลยพอมีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่นิดหน่อยด้วย”
มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย เป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่และไม่เล็กมาก แต่ก็น่าจะช่วยเหลืออะไรได้
มิวไม่มั่นใจในความสามารถตัวเองตอนนี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นการที่มีกลุ่มคนที่สามารถพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ตลอดเวลาก็คงช่วยเธอได้เยอะ
นอกจากนี้ทางโบสถ์ก็ไม่ใช่มิตรแท้ร้อยส่วนกับมิวขนาดนั้น หากเป็นไปได้มิวไม่ค่อยอยากเผยจุดอ่อนให้เห็นเท่าไหร่
“เข้าใจแล้ว.. จะว่าไปฉันมีเรื่องอยากถามนิดหน่อย ทำไมพวกนายถึงนับถือฉันขนาดนั้นน่ะ”
“แน่นอนว่าเพราะท่านมิวเคยช่วยชีวิตพวกเราไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนไงล่ะครับ”
“อืม…”
เทพธิดานี่ก็วางบทมาได้แย่เกิน วางบทตัวของมิวมาให้มีบทบาทสำคัญขนาดนี้ก็กลายเป็นว่ามันสามารถเดินเรื่องได้ง่ายเกินกว่าที่คิดไว้อีกล่ะ
เพราะตอนนี้มิวค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเธอนั้นเข้าใกล้ฉากจบของชั้นนี้ไปอีกก้าวแล้ว ส่วนผสมต่างๆ ค่อยๆ ลงตัวอย่างช้าๆ
เกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์.. จากคำพูดของดัสก์ที่บอกเอาไว้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นต้นเหตุทำให้บรรยากาศสูงส่งถูกปล่อยออกมาจากสเตทีลน่า
ผสมผสานกับข้อมูลที่มิวไปอ่านมา ทำให้มิวคิดว่า.. บางทีถ้าเป็นมิว ถ้าเป็นมิวคงไม่จำเป็นต้องศึกษาวิชาศักดิ์สิทธิ์อะไร
เพราะ..ความคิดของเธอที่มาจากต่างโลก มันอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนบนโลกนี้แต่แรกอยู่แล้วนั่นเอง
จริงๆ ความเข้าใจนี้หากไม่มีดัสก์ ไม่มีเรย์น่า ไม่มีสเตทีลน่า กว่ามิวจะงมซ้าย งมขวาจนหาต้นตอของเรื่องราวเจอ
บางทีคงใช้เวลานานกว่าชั้นที่สามซะอีก แต่เพราะเซตติ้งที่เทพธิดาวางมาให้เลยทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นเยอะเลย
ปัญหาเพียงอย่างเดียวของมิวในตอนนี้เลยคือเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์ เธอต้องศรัทธาในเทพีศักดิ์สิทธิ์เพื่อหยิบยืมพลังศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน
แต่ว่าเพราะข้อดีก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเพราะเธอไม่ใช่คนของโลกนี้ เลยทำให้สามัญสำนึกมิวไม่ถูกจำกัดกรอบเหมือนสามัญสำนึกคนอื่นในโลกนี้
ข้อเสียของมันก็คือเทพีศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ก็เป็นเหมือนกับคนที่ถูกเทพธิดาหรือเจ้าของหอคอยสร้างขึ้นมาอีกทีเท่านั้น
ดังนั้นความนับถือที่เธอมีต่อเทพีจึงไม่อาจมากพอที่จะหยิบยืมพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ มิวจึงต้องคิดหาวิธีมา วิธีที่จะสามารถได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์มา
เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์คือพลังที่อยู่ในจิตสำนึก อยู่ภายในจิตใจ
มันคือพลังที่ต้องเกิดจากความศรัทธาจริงๆ เท่านั้น
หลังจากมิวไล่ดัสก์ออกไปจากห้องเธอก็จมดิ่งกับความคิดตัวเองว่าทำยังไงถึงจะสามารถใช้พลังได้ ทำยังไงถึงจะใช้พลังจากจิตใต้สำนึกได้
จนเวลาไหลผ่านล่วงเลยไปหนึ่งคืน.. ดวงตะวันค่อยๆ โผล่พ้นจากพื้นดิน จันทราค่อยๆ จางหายไปกับพร้อมท้องฟ้ามืดมิดมากหมู่ดาว
มิวได้ข้อสรุปจากการใช้ความคิดมาทั้งคืนว่า..
“ฉันคงต้อง.. เสียความทรงจำจริงๆ แล้วมั้งเนี่ย”
เพื่อที่จะให้ตัวเองศรัทธา.. เพื่อที่จะให้ได้รับพลังมา
มิวจะต้องละทิ้งความคิดและความเข้าใจเดิมๆ ออกไปให้หมด
ปลูกฝังตัวเอง สะกดจิตตัวเอง.. ให้ตัวเองนับถือเทพีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
นี่ก็คือวิธีชนะของมิว.. เป็นวิธีที่เร็วที่สุด..ในตอนนี้!!