บทพิเศษ (2)

ความแปลกประหลาด

 

ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ว่ามันมีจุดสิ้นสุดหรือเปล่า

เพราะในที่แห่งนี้ ในโลกแห่งนี้ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย จุดเริ่มต้นก็ดี จุดจบก็ช่าง ทุกอย่างล้วนไม่สามารถดำรงอยู่ในที่แห่งนี้ได้

มันไม่ใช่สถานที่ที่เรียกว่าสถานที่ มันเป็นแค่อะไรบางอย่างที่มากกว่าอะไรบางอย่าง แม้จะบอกว่าเป็นอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นอะไรสักอย่าง

หากจะให้นิยามที่แห่งนี้ให้เห็นภาพมากที่สุด.. มันก็คงเป็นความว่างเปล่าอันเคว้งคว้าง

จะเวลา จะพื้นที่ จะความเป็นจริง จะจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ วังวนแห่งโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่มีอยู่ในที่แห่งนี้

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสิ่งเหล่านั้นยังไม่มีอยู่เลยด้วยซ้ำในตอนนี้ ที่ที่ไม่ควรจะมีอะไรนี้มีเพียงหญิงสาวที่ไม่สามารถมองเห็นหน้าได้กำลังเดินอยู่

พวกเธอยังคงเดินต่อไปไม่รู้เหน็ดไม่รู้เหนื่อย ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีปลายทาง ไม่มีแม้แต่ระยะทางในการเคลื่อนไหว

แต่พวกเธอก็ยังคงเดินต่อไป เดินไม่เคยหยุด

ในโลกที่อ้างว้าง โดดเดี่ยว เดียวดายแห่งนี้มีเพียงสองคนนั้นเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว อีกคนมีท่าทางที่ดูร่าเริง

อีกคนมีท่าทางที่เหมือนกับครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เป็นคู่หูที่ดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่ก็เข้ากันกว่าที่คิดไว้เป็นไหนๆ

คนที่ดูร่าเริงก็มีหมอกที่มองไม่เห็นล้อมรอบอยู่จนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าหรือรูปร่างของเธอได้ชัดเจนนัก แต่เสียงนั้นแสดงให้เห็นถึงความสดใสและร่าเริง

ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยตั้งคำถามกับอะไร เป็นสิ่งมีชีวิตแรกเกิดที่เคยเห็นเพียงแง่บวกของโลกใบนี้

ไม่มีใครจะเหมาะกับคำว่า ‘หญิงสาวผู้ร่าเริง’ ไปกว่าเธอคนนี้อีกแล้ว ต่อไปนี้เราจะเรียกเธอว่าหญิงสาวผู้ร่าเริงแล้วกัน

ต่างจากที่ดูใช้ความคิดและดูเหม่อลอย.. เธอไม่ค่อยปากไม่ค่อยจา แน่นอนว่ามีหมอกที่มองคลุมจนมองไม่เห็นทั้งหน้าตาหรือรูปร่าง

แต่ทุกคำพูด ทุกการกระทำของเธอนั้นต่างจากคนที่ดูร่าเริง เธอมักตั้งคำถามกับทุกอย่าง แต่ก็ไร้คำตอบกับทุกๆ คำถาม

เธอเป็นเหมือนด้านตรงกันข้ามกับหญิงสาวผู้ร่าเริง เพราะเธอเหมือนกับคนที่เคยผ่านอะไรมาบ้างหลายอย่างแล้ว

แต่กลับจำอะไรไม่เคยได้.. การจะเรียกเธอว่า ‘หญิงสาวผู้ใช้ความคิด’ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ไม่ควรอันใด

ทั้งสองเดินไปพร้อมกันแบบนี้มานานแล้ว.. หากให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกมาอธิบายยางทีคงใช้เวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ในการมานั่งอธิบายถึงเวลาที่ทั้งสองก้าวเดิน

หรือท้ายที่สุดมันอาจจะพึ่งก้าวไปข้างหน้าไปเพียงก้าวเดียวนับจากที่พวกเธอเริ่มเดินก็ได้ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้แม้แต่พระเจ้าที่แท้จริง

“เป็นอะไรเหรอ เงียบมาสักพักแล้วนะ”

หญิงสาวผู้ร่าเริงหันมาถามหญิงสาวผู้ใช้ความคิด

“ฉันก็พึ่งพูดไปเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ?”

“แต่นั่นมันผ่านมาแล้วไม่ใช่หรือไง”

“ใจคอนี่เธออยากจะให้ฉันพูดตลอดเวลาหรือไง”

หญิงสาวผู้ใช้ความคิดถามกลับด้วยอารมณ์สับสน เธอเหมือนจะไม่เข้าใจนิยามการพูดขึ้นมาแล้ว เพราะถ้าแค่เงียบไปพริบตาเดียวก็คือเงียบมาสักพัก

“แน่นอนสิ เสียงของเธอไพเราะจะตายนี่น่า”

“ถ้ามันไพเราะเท่าของเธอก็คงดีหรอก”

หญิงสาวผู้ร่าเริงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับว่าเธอต้องการจะฟังเสียงของหญิงสาวผู้ใช้ความคิดตลอดเวลา

หญิงสาวผู้ใช้ความคิดจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกชื่นชอบในเสียงของหญิงสาวอีกคนเช่นกัน

ทว่าหญิงสาวผู้ร่าเริงกลับขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่สักหน่อย เธอเสียงดีกว่าฉันไม่ใช่หรือไง”

“พอเถอะ.. เธอจะชวนฉันเถียงเรื่องเสียงมากี่ล้านรอบแล้วถามหน่อย”

“ล้านคืออะไร?”

“ไม่รู้สิ มันพูดออกมาเอง”

จู่ๆ ที่เหมือนจะเริ่มเถียงกันแต่เรื่องก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างง่ายดาย อันที่จริงการที่พวกเธอมีช่วงเวลาแบบนี้นี่ไม่ใช่ครั้งแรก

และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน.. แน่นอนว่าคำพูดแปลกประหลาดที่หลุดออกมาจากปากของหญิงสาวผู้ใช้ความคิดอีกครั้ง

เธอก็เริ่มใช้ความคิดอีกครั้ง..ว่า ‘ล้าน’ คืออะไร.. ตลอดเวลาที่ผ่านมามักมีคำพูดแปลกๆ ที่พูดออกมาตามสัญชาตญาณของหญิงสาวผู้ใช้ความคิด

ซึ่งเธอมักจะไม่เข้าใจความหมายของมัน..

“ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอเคยพูดว่า ‘รอบ’ นี่หมายถึงครั้งที่เป็นจำนวนใช่ไหม? งั้นล้านหรือจะหมายถึงจำนวนของรอบหรือเปล่า?”

หญิงสาวผู้ร่าเริงถามขึ้นด้วยความสงสัย แน่นอนว่าคำถามของเธอไม่ได้เกิดจากการกลั่นกรองอะไรมาก

เธอเพียงแค่เอาคำพูดของหญิงสาวผู้ใช้ความคิดมาพูดซ้ำอีกรอบเท่านั้นเอง.. เพราะต่างจากหญิงสาวผู้ใช้ความคิดที่ไม่ค่อยจำคำพูดตัวเอง

เพราะหญิงสาวผู้ร่าเริงจำคำพูดของหญิงสาวผู้ใช้ความคิดได้ทุกคำพูด

“งั้น..ก็หมายความว่าล้านหมายถึงจำนวนที่เยอะมากๆ ละสินะ?”

หญิงสาวผู้ใช้ความคิดทวนคำพูดเพราะว่าช่วงเวลาที่เถียงเรื่องเสียง เธอเถียงกับหญิงสาวผู้ร่าเริงบ่อยมาก บ่อยจนนับไม่หมด

ดังนั้นล้านอาจจะหมายถึงจำนวนที่มากมหาศาลก็ได้..

“หรือก็คือถ้าเราเข้าใจว่าเจ้าจำนวนล้านนี่หมายถึงจำนวนที่เยอะมากๆ ก็หมายความว่าถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับว่าพวกเราเดินมาแล้วล้านรอบใช่ไหม?”

หญิงสาวผู้ร่าเริงถามด้วยความสงสัย แต่หญิงสาวผู้ใช้ความคิดก็ตอบ

“ไม่สิ.. เดินมาแล้วล้านรอบมันไม่ถูกเท่าไหร่ ฉันรู้สึกแบบนั้น.. รอบหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ แต่พวกเรากำลังเดินไปข้างหน้าไม่ใช่เหรอ?”

“เดินไปข้างหน้า?หมายถึงไปที่ไหนสักแห่งน่ะเหรอ เราไม่ได้ไปไหนสักหน่อยนี่น่า?”

“นั่นสิ.. เพราะการจะไปที่ไหนสักที่ต้องมีสถานที่ให้ไป..”

หญิงสาวผู้ร่าเริงรู้สึกครั้งแรกว่าตัวเองเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดทุกอย่างที่อยู่ในหัวออกมาให้หมด

“แล้วเธออยากไปไหนเหรอ?”

หญิงสาวผู้ร่าเริงถามขึ้นด้วยความสงสัย และในตอนนั้นเองในช่วงเวลาที่ไม่มีใครรู้สึกตัว ไม่มีใครสัมผัสได้

ห่างไกลออกไป.. ห่างไกลออกไปมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นมันเหมือนจะเป็นขอบเขตของจักรวาลหรืออะไรสักอย่าง

เพราะมันยังไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน ไม่มีอะไรที่แน่นอน แต่รับรู้ได้เพียงแค่ว่ามันเหมือนจะเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางในครั้งนี้..

หญิงสาวผู้ใช้ความคิดไม่ได้ตอบกับคำถามของหญิงสาวผู้ร่าเริงทันที เธอใช้ความคิดอยู่นานแสนนานก่อนที่จะส่ายหน้า..

“ไม่ได้อยากไปไหนหรอก?”

“งั้นเหรอ.. ฉันเองก็เหมือนกัน ฉันอยากอยู่กับเธอ”

“ฉันก็อยากอยู่กับเธอเหมือนกัน”

หญิงสาวผู้ร่าเริงที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สถานที่จุดมุ่งหมายของการเดินทาง จุดสิ้นสุดของการเดินทางก็เหมือนจะสลายหายไปพร้อมกับคำพูดของหญิงสาวผู้ร่าเริงและหญิงสาวผู้ใช้ความคิด

“กลับมาเรื่องเดิม.. ถ้าไม่ใช่ล้านรอบแล้วจะเป็นอะไรล่ะ เราก็เดินมานานแล้วนี่น่า ใช่ไหมล่ะ?”

“ทุกครั้งที่เราเดินก็จะเป็นการก้าวขา? .. ถ้างั้นก็เป็นล้านก้าวหรือเปล่า เพราะล้านเป็นจำนวนของอะไรบางอย่าง ถ้ารอบหมายถึงการทำอะไรซ้ำๆ และล้านคือจำนวน”

“อืม.. ฟังดูน่าสนใจดี พวกเราเดินมาล้านก้าว!”

หญิงสาวผู้ร่าเริงเหมือนดีใจที่ได้รับความรู้ใหม่นี้ และในชั่ววินาทีนั้นเองรอยเท้าก็ปรากฏขึ้น.. ไม่สิ มันอยู่มาตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า

เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครทราบแม้แต่หญิงสาวผู้ใช้ความคิด สำหรับหญิงสาวผู้ร่าเริงเธอเพียงมองไปที่รอยเท้าด้วยสีหน้าสับสน

ก่อนจะถามขึ้น

“เอ้ะ เจ้านี่มันอะไร?”

“หือ ก็รอยเท้าไง เราพึ่งคุยกันไปเมื่อกี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าล้านคือจำนวน งั้นหมายความว่าพวกเราเดินมาล้านก้าวแล้ว และทุกก้าวการที่เราจะมีรอยเท้ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่เหรอ?”

“มัน..มีตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ?”

หญิงสาวผู้ร่าเริงยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น.. หญิงสาวผู้ใช้ความคิดได้แต่งุนงงกับหญิงสาวผู้ร่าเริงก่อนที่เธอจะชี้นิ้วไปด้านหลังที่พวกเธอก้าวเดินมา

ในพื้นที่ที่ว่างเปล่า ไม่คนมีรอยเท้าหรืออะไรนั้น.. แต่ทว่ามันมีรอยเท้าทอดยาวมาตั้งนานแล้ว.. นานแสนนาน

และรอยเท้าของคนทั้งสองก็ประทับลงความว่างเปล่าเหล่านั้นมานานแล้ว..

“ถามอะไรแปลกๆ มันก็อยู่มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ ดูรอยเท้าพวกเราสิ”

“เอ้ะ… เป็นแบบนั้นเหรอ?”

หญิงสาวผู้ร่าเริงมองหน้าหญิงสาวผู้ใช้ความคิด.. หญิงสาวผู้ใช้ความคิดก็มองกลับไปที่หญิงสาวผู้ร่าเริงด้วยความสงสัย

“อืม… ถ้าเธอว่าแบบนั้นก็คงเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละมั้ง ช่างเรื่องน่าปวดหัวไปเถอะ มาคุยกันต่อดีกว่า”

“ถึงจะบอกแบบนั้น แต่จะคุยอะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิ.. แค่ฉันได้คุยกับเธอก็สนุกแล้วล่ะ ไม่เคยสนุกขนาดนี้มาก่อนเลย”

“นั่นสินะ.. ฉันก็คิดเหมือนกับเธอเลย”

การก้าวเดินของทั้งสองนั้นยังคงทิ้งรอยเท้าไว้เพิ่มเติม.. แต่หากมองย้อนกลับไป ย้อนกลับไปอีก.. ย้อนกลับไปตลอดกาล

ก็ไม่มีทางได้พบกับจุดเริ่มต้นของรอยเท้าทั้งสอง

ราวกับว่า..

สองคนนี้.. ดำรงอยู่ที่แห่งนี้มามากกว่าที่จำนวนใดๆ บนโลกจะสามารถนิยามได้…

 

………

[เสาร์-อาทิตย์ น่าจะไม่มีตอนใหม่นะครับ ช่วงนี้ค่อนข้างหมดไฟเลย แต่จะพยายามมาใหม่ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ — ผู้เขียน]