บทที่ 101 – พายุที่คืบคลาน

 

การสะกดจิตตัวเองมันไม่ได้หมายถึงการควบคุมจิตใจหรืออะไรแบบนั้นหรอก เพราะวิธีนี้คือวิธีที่ในโลกจริงที่มิวเคยอยู่ใช้เป็นวิธีรักษาอาการผิดปกติทางจิต

โดยการทำให้ความทรงจำพวกเขาสับสนเพื่อทำให้พวกเขาจำความเจ็บปวดบางอย่างในอดีตไม่ได้นั่นแหละนะ

มันเป็นวิธีช่วยเหลือผู้เป็น PTSD ระดับรุนแรงได้ มิวเองก็ไปอ่านเจอมาในเน็ตเหมือนกันถึงรู้ว่าวิธีแบบนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน

แต่สิ่งที่มิวจะทำก็คือการทำให้ตัวเองนับถือเทพีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจริงๆ และวิธีที่มิวต้องทำคือปลูกฝังความคิด การกระทำ เดิมทุกอย่างซ้ำๆ

มันจะเป็นการหลอกร่างกายจนไปถึงหลอกความคิดตัวเองในที่สุด ผ่านการคิดและรู้สึกอะไรซ้ำๆ

อันที่จริงมันก็มีวิธีนี้อยู่จริงๆ วิธีที่เรียกว่าปลูกฝังตัวเองจนมีความรัก มิวเคยมีคนรู้จักคนหนึ่ง เขาได้ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง

แทนที่จะบอกว่าเป็นการตกหลุมรัก ต้องบอกว่าเป็นอาการหลงใหลซะมากกว่า เขาหลงใหลในท่าทาง ความงดงามของผู้หญิงคนนั้น

แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สามารถรักคนอื่นได้ ในระหว่างเดียวกันเขาคนนั้นก็มีแฟนอยู่ด้วยและความรักที่มีต่อแฟนก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด

เพียงแต่ความรู้สึกหลงใหลนั้นมันเป็นอีกความรู้สึกที่แตกต่างจากความรัก.. แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า คนคนนั้นคิดว่าตัวเองนั้นไม่รักแฟนของตัวเอง

เพราะคิดว่าความหลงใหลต่อบุคคลที่สาม เขาคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อบุคคลที่สามคือความรัก เขากำลังคิดจะนอกใจแฟนของเขาเอง

ความรู้สึกแบบนี้มันวนซ้ำไปซ้ำมาในความคิดของเขา มิวจำไม่ได้ว่ามันผ่านไปกี่เดือน หรือกี่ปี.. แต่ไม่นานความรู้สึกที่ว่าหลงใหลนั้นมันมากขึ้นจากความคิดของเขาเอง

ทั้งที่ไม่ได้คุยด้วย ไม่ได้สื่อสารด้วย เขาเพียงบอกกับตัวเองว่าตัวเองไม่ได้รักแฟนตัวเองแล้ว ซ้ำไป ซ้ำมา ซ้ำอยู่แบบนั้น

หลายวัน หลายเดือน หลายปี.. จนท้ายที่สุดความรู้สึกนั้นก็เหมือนจะแตกหน่อเป็นความรักเพราะการที่เขาคิดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาก็เท่านั้น

ในวันที่เขาตัดสินใจเลิกกับแฟนนั้น เขาไม่ได้หลงเหลือความรักที่มีต่อแฟนคนนั้นอีกต่อไป แสดงให้เห็นถึงว่าความรักที่มีให้ของเขามันเปลี่ยนไปลงกับคนที่เคยหลงใหล.. และสาเหตุมันก็เริ่มมาจากการที่เขาเข้าใจผิดคิดว่าความหลงใหลก็คือความรัก จนท้ายที่สุดมันก็พาไปเป็นความรักจริงๆ

นี่แหละคือความทรงพลังของการปลูกฝังตัวเอง.. มิวเรียกมันว่าคือการสะกดจิตตัวเองเลยก็ว่าได้ แน่นอนคนที่เล่ามาเมื่อกี้คือเพื่อนสนิทคนหนึ่งของมิว

เขาเล่าทุกอย่างให้มิวฟังเสมอ มิวจึงสามารถมองทุกอย่างในมุมมองคนนอกได้เสมอ จึงทำให้มิวเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสามัญสำนึกของคนว่ามันสามารถมีอิทธิพลได้ขนาดนี้เลยจริงๆ

สิ่งที่มิวต้องทำคือการปลูกฝังความคิด ความยิ่งใหญ่ของเทพีศักดิ์สิทธิ์ซ้ำไปซ้ำมาในหัว คิดแต่เรื่องว่ายิ่งใหญ่แบบนั้น แบบนี้

อ่านตำราสวดภาวนา คำเยินยอของคนที่นับถือศาสนา.. ทุกอย่างที่ว่ามา แต่แน่นอนว่าหากทำด้วยวิธีปกติคงจะใช้เวลานานนิดหน่อย

ดังนั้นมิวจึงต้องขอใช้พลังพิเศษช่วยนิดหน่อยด้วยแล้วกัน เพราะมิวไม่ได้มีพลังพิเศษอย่างการสะกดจิตตัวเองโดยตรงก็จริง

แต่มิววิชาที่สามารถสร้างภาพลวงตาได้.. นั่นก็คือพลังของ ‘ชินคิโร’ นั่นเอง.. พลังของชินคิโรก็เหมือนกับการหลอกจิตสำนึก

สมมุติว่าเห็นแต่ท้องทะเลเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่ทะเล ผลลัพธ์ของชินคิโรจะสามารถทำงานได้ทันที

เหมือนที่เคยอธิบายไป.. แต่ถ้ามิวเปลี่ยนมาใช้กับสมองตัวมิวเองโดยตรง.. ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจก่อนว่าสมองหรือความทรงจำของคนเรานั้นทำงานยังไง

สมองของคนเรานั้นทำงานโดยการส่งกระแสประสาทวิ่งผ่านเซลล์ประสาทหรือเส้นประสาทเป็นแพทเทิร์นต่างๆ

และการวิ่งเป็นแพทเทิร์นต่างๆ นี่แหละจะสร้างความทรงจำของคนเราขึ้นมา.. และสิ่งที่มิวต้องทำก็เพียงแค่นึกถึงเรื่องความยิ่งใหญ่อลังการของเทพีซ้ำไปซ้ำมา

นั่นหมายความว่ากระแสประสาทมันจะวิ่งในรูปแบบเดิม ซ้ำไป ซ้ำมา ซึ่งในจังหวะนั้นเองชินคิโรก็จะสามารถทำงานในระดับประสาทของมิวได้

หลอกว่า.. ความคิดที่มิวคิดซ้ำไปซ้ำมานั่นคือของจริงนั่นเอง..

แน่นอนว่ามิวเจ้าตัวไม่ได้ฉลาดถึงระดับนั้นหรอก เจ้าตัวแค่คิดว่าชินคิโรทำงานก็ต่อเมื่อมีอะไรซ้ำๆ อยู่เต็มไปหมด มิวเลยคิดว่าแค่เธอคิดอะไรซ้ำๆ ก็ทำได้แล้ว

ทว่าแน่นอนว่าแม้ความเข้าใจของมิวจะผิวเผินและไม่ถูกไปซะทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เป็นจริงแต่อย่างใด

อย่างแรกเช้าวันรุ่งขึ้นมิวรีบมุ่งหน้าไปหาเรย์น่าพร้อมกับพูดกับเธอทันทีว่า

“ฉันอยากนับถือเทพีศักดิ์สิทธิ์”

“เอ้ะ.. เอ๊ะ?? เอ๋!!?”

เจ้าตัวดูตกใจมาก ก็แน่นอนละสิ.. เรย์น่าเข้าใจว่ามิวใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้แต่แรก นั่นก็หมายความว่าแม้มิวจะจำไม่ได้แต่ก็ไม่ได้แปลว่าความศรัทธาเธอจะไม่มี

ง่ายๆ คือก่อนหน้านี้มิวควรจะนับถือเทพีศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วแต่แรก แค่ไม่ได้ร่วมกับโบสถ์เฉยๆ นั่นแหละ

แต่ไหงเจ้าตัวมาขออะไรแบบนี้ เป็นธรรมดาที่เรย์น่าจะตกใจขนาดนี้.. แต่มาคิดดูแล้ว..

“ท่านมิวจำไม่ได้นี่น่าว่าตัวเองนับถือศาสนานี้.. หมายความว่าเธอคงอยากได้พลังคืนมาเร็วๆ เลยอยากนับถือเทพีซ้ำเหรอ ไม่สิ มันไม่น่าจะช่วยอะไรนี่น่า”

เรย์น่าใช้ความคิดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าการกระทำของมิวมีความหมายอะไร.. ไม่สิ ไม่น่าจะมีความหมายหรอกเพราะเธอเสียความทรงจำอยู่

แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ เรย์น่าเลยถอนหายใจพร้อมกับคิดกับตัวเองว่า

“ช่างเถอะ.. นี่ถือเป็นเรื่องดีที่ข้าสามารถอยู่ใกล้ชิดกับท่านมิวได้นานขึ้นอีกนิดหน่อย”

เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับพยักหน้าตอบรับมิวแทบจะทันที เพราะทุกอย่างที่เธอใช้ความคิดเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

หลังจากการตอบรับของเรย์น่าแล้ว มิวก็ได้เข้าร่วมคอร์ส.. เอ่อหมายถึงวิชาภาคสวดภาวนาและปฏิบัติแสดงศรัทธาพร้อมกันทันที

ตัวของเรย์น่าเองก็ดูจะมีความสุขกับการสวดภาวนาหรือศึกษาตำราของเทพีศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเมื่อมีเพื่อน

ในระหว่างเดียวกัน ทั้งสองไม่ลืมที่จะหลอกทางโบสถ์ว่ามิวสอนวิชาศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรย์น่าอยู่ด้วย

และวันเวลาเช่นนี้ก็ไหลผ่านไปช้าๆ ตื่นเช้ามามิวก็สวดภาวนา ศึกษาตำราคำสอน ตกตอนเที่ยงก็แกล้งสอนวิชาศักดิ์สิทธิ์ให้เรย์น่า

พอเข้าช่วงท้ายวันทั้งคู่ก็กลับมาสวดภาวนาต่ออีกครั้ง.. แต่ก็มีบางครั้งที่ทั้งสองแอบลงไปเล่นด้านล่างโดยแอบอู้วิชาสวดภาวนา

แต่เหมือนทางเบื้องบนจะไม่ได้สนใจ เหมือนกับปล่อยวางไปแล้ว.. ในระหว่างนี้เองมิวก็ได้ทำความเข้าใจโครงสร้างของโบสถ์มากขึ้น

เพราะนับตั้งแต่ที่มิวมาที่นี่ แม้จะมีสายตาหลายคู่แอบกวาดมองมาที่เธอ แต่บางคู่ก็ดูปกติ ไม่ได้เกลียดหรือชอบแบบเดียวกับที่สเตทีลน่ามองมิว

แต่บางสายตาก็เหมือนระแวดระวังราวกับมองตัวประหลาดบางอย่าง.. แต่บางสายตาก็เป็นปรปักษ์กับมิวชัดเจน

ทุกครั้งที่เดินผ่านกันพวกมันก็เหมือนจะเตรียมตัวจัดการมิวแทบจะตลอด ทั้งๆ ที่ว่ากันตามพลังที่เทพธิดาวางโครงเรื่องมาให้ไม่น่าจะมีใครชนะมิวได้ก็ตาม

แต่เอาเข้าจริงต่อให้ไม่วางโครงเรื่องถ้าพวกมันลงมือจริง แม้พลังจะถูกผนึกลงไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครในโบสถ์นี้สามารถจัดการมิวได้หรอก

แน่นอนว่าวันแห่งการทำลายล้างเองก็เหมือนพายุที่คืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ.. เป็นเหมือนแรงกดดันที่มองไม่เห็นที่เกาะกุมหัวใจคนทั้งโบสถ์

แน่นอนว่ามิวเองก็เช่นกัน..

ทว่าตรงกันข้ามกับคนอื่น.. คนที่ไม่กังวล ไม่กระวนกระวายอะไรเลยทั้งที่เป็นคนแบกภาระมากที่สุดอย่างเรย์น่ากลับเป็นคนดังกล่าว

เธอเหมือนสนุกกับการใช้ชีวิตที่สุด.. นับตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาเลยก็ว่าได้.. เพราะทุกครั้งที่เธอได้พูดกับมิว

ได้อยู่กับมิว มันทำให้เธอรู้สึกมีความสุข.. ราวกับว่าทั้งสองคนนั้นถูกลิขิตมาให้พูดคุยกันอย่างไรอย่างนั้น

มิวเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองตระหนักดีว่านี่เป็นโลกในหอคอย.. คนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่คนที่มิวรู้จัก

แต่ทว่าทุกครั้งที่พูดกัน

ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน

ความคิด การกระทำ..

ทุกอย่างที่มิวกระทำมันทำให้เธอรู้สึกว่าหวงผู้หญิงคนนี้มาก

มันเหมือนกับความรู้สึกที่มิวมองไปยังเรนะแฟนของมิวเลย..

มิวทิ้งตัวลงบนเตียงพร้อมยกมือมาก่ายหน้าผาก ความรู้สึกบางอย่างในอกนี้มันทำให้หัวใจของมิวเต้นไม่เป็นจังหวะ

มืออีกข้างยกมากุมหน้าอกนึกถึงรอยยิ้มของเรย์น่าที่มันค่อยๆ ทับกับรอยยิ้มของเรนะ.. เธอคนนั้นเป็นเหมือนเรนะ เหมือนเรนะไม่มีผิดเลย

“ความรู้สึกนี่มัน.. อะไรกัน”