อารามจันทร์กระจ่าง
สตรีท่าทางงามสง่าผู้หนึ่งในชุดกระโปรงสีเมฆกำลงนั่งนิ่งอยู่ในห้องอันมืดมิด มีเพียงไฟสีน้ำเงินส่องแสงวิบวับ
สิ่งที่ล้อมรอบจุดไฟสีน้ำเงินอยู่คือแผ่นหยกทรงสี่เหลี่ยมมากมาย แต่ละชิ้นส่องแสงกะพริบเป็นระยะ ราวกับมีดวงตานับไม่ถ้วนแขวนลอยอยู่ในอากาศ
ทันใดนั้น เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เป็นแผ่นหยกที่อยู่ด้านซ้ายสุดกำลังสั่นไหว ก่อนที่จะร่วงลงมากระแทกพื้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นสลายกลายเป็นผุยผง
เห็นดังนั้นคิ้วเรียวงามของหญิงสาวและนัยน์ตาจึงเจือด้วยรอยยิ้มบาง จากนั้นน้ำเสียงรื่นหูก็ดังขึ้นแผ่วเบา “ป้ายวิญญาณของอินชือ….. สลายไปเสียแล้ว นางจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนานัก”
แผ่นหยกนับหมื่นชิ้นในที่แห่งนี้เป็นตัวแทนชะตาชีวิตของผู้คน ความเข้มข้นของแสงคือพลังชีวิต หากแสงมอดลงหมายความว่าคนผู้นั้นหมดลมหายใจ
ความเสียหายของป้ายวิญญาณบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับก่อนตาย หากคนผู้นั้นจากไปอย่างสงบ ป้ายวิญญาณก็จะสูญเสียแสงแห่งชีวิตไปเท่านั้น หากหักครึ่งหมายความว่าตายอย่างผิดธรรมชาติ หากป้ายวิญญาณแตกและสลายเป็นผุยผงหมายความว่าคนผู้นั้นถูกทรมานจนสิ้นใจ เศษป้ายวิญญาณของอินชือกลายเป็นผุยผงเช่นนี้ย่อมหมายถึงร่างวิญญาณนางดับสลาย ไม่หลงเหลือแม้จิตส่วนใดของนางอีกต่อไป
“ท่านเจ้าอาราม ข้าเกรงว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิด อินชือตายไปนานแล้ว หากแต่วิญญาณเพิ่งถูกทำลาย ข้าว่าอีกฝ่ายต้องจงใจทำเช่นนี้เพื่อทำให้พวกเราสับสนเป็นแน่” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวเดินขึ้นมาด้านหน้าก่อนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงนบน้อม
“ฮ่า ๆ” นางหัวเราะเสียงเบา ดูมีความสุขนัก “ท่านจอมมารเดินทางออกจากแคว้นมาร ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ใช่หรือไม่?”
หนุ่มในชุดคลุมขาวชะงักไป ราวกับตกใจกับคำถามของนาง “ขอรับ ท่านจอมมารเดินทางออกจากแคว้นมารไปเมื่อเจ็ดวันก่อน”
“ดูท่าผู้ที่อินชือต้องการล้างแค้นจะมีความเกี่ยวข้องกับท่านจอมมาร เห็นเขาออกหน้าเองเช่นนี้ ดูท่าจะใส่ใจคนผู้นั้นนัก!”
“ท่านเจ้าอาราม ต้องการให้ข้าไปตรวจสอบหรือไม่? เราไม่อาจดูถูกคนผู้นี้ได้ หากต่อไปเขาเดินทางมายังแดนเมฆาสวรรค์อาจทำให้เราเสียเปรียบได้” ชายในชุดขาวถามลองเชิง
หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองไปยังเขา “เจ้าอย่าจุ้นจ้าน คนที่ท่านจอมมารต้องการปกป้องหาใช่คนที่เจ้าสามารถล่วงเกินไม่”
“แต่อย่างไรอินชือก็เป็นคนในอารามจันทร์กระจ่าง แม้จะเป็นคนทรยศ แต่ก็สมควรถูกลงโทษโดยพวกเรา อีกฝ่ายเป็นเพียงคนจากดินแดนระดับล่าง ทำเช่นนี้นับเป็นการท้าทายอำนาจของอารามศักดิ์สิทธิ์ของเรานะขอรับ!” ชายชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“โง่เง่า!” นางสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ส่งร่างชายหนุ่มกระเด็นออกไปไกล พลังรุนแรงส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด
“คำสาปที่อินชือร่ายใส่เขาไว้ถูกถอนออกแล้ว เขามีสติปัญญาล้ำเลิศถึงเพียงนั้นจะไม่รู้ตัวผู้สมรู้ร่วมคิดได้อย่างไร? ตอนนี้เราเหมือนพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ทั้งยังเกือบจะพ่ายแพ้ในสงคราม! เจ้ายังคิดจะล่วงเกินเขามากกว่านี้อีกหรือ!? แม้อารามจันทร์กระจ่างของข้าจะกุมชะตาชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนใต้แดนสวรรค์ และถึงแคว้นมารในวันนี้จะไม่เหมือนกาลก่อน ตราบใดที่บุรุษผู้นั้น โหลวจวินเหยา ยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรแคว้นมารก็ไม่มีทางตกต่ำง่ายๆ! เข้าใจหรือไม่?”
ใบหน้าชายชุดขาวซีดราวกระดาษ เหยียดร่างนอนแผ่กับพื้น เขาพยายามกดความเจ็บปวดที่หน้าอกตนก่อนกล่าว “ข้าน้อยโง่เขลา ท่านเจ้าอารามโปรดลงโทษ”
“ช่างเถอะ! เจ้าออกไปได้!” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินจากไป ไม่หันมามองเขาอีก
ร่างบางยืนเหยียดหลังตรงอยู่ตรงนั้นชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ภายใต้แสงเรืองสีน้ำเงินของป้ายวิญญาณนับไม่ถ้วนมีแสงเรืองสีแดงจางผสมอยู่ โดดเด่นออกจากแสงสีอื่น
มุมปากหญิงสาวพลันโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหนึ่ง
——————–
สุดท้ายชิงเยี่ยหลีก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้ชิงอวี่เดินทางไปกับเขาได้
เขาอาจเห็นต่างกับคนอื่น ๆ ดื้อดึงฝืนทำตามตนเองคิด หากแต่ไม่อาจไม่ใส่ใจความคิดของชิงอวี่
แม้ชิงอวี่จะไม่ยอมเดินทางไปกับเขา หากแต่ชิงเยี่ยหลีก็ไม่รั้งอยู่ที่แคว้นชิงหลานอีก หลังจากไปทูลลาฮ่องเต้ชิงหลานแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางกลับแคว้นตนในทันที
วันที่แคว้นหลินยวนจะเดินทางกลับก็ยังดูยิ่งใหญ่เหมือนตอนมา ชาวบ้านต่างพากันออกมามุงดูคณะเดินทาง
องค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อเป็นตัวแทนฮ่องเต้ชิงหลานมาส่งคณะเดินทาง ชาวบ้านหลายร้อยยืนเรียงกันอยู่สองฝั่งถนนเพื่อชมขบวน ราวกับดีใจนักที่ในที่สุดเทพสังหารผู้นี้ก็เดินทางออกไปได้เสียที
ขบวนขนาดใหญ่เคลื่อนตัวออกไปตามทางขรุขระ หากแต่พลันหยุดชะงักเมื่อมีเสียงของทหารผู้หนึ่งดังขึ้น “เจ้าเป็นใคร!”
หัวหน้าทหารคุ้มกันที่นั่งอยู่บนหลังม้าจำคนผู้นั้นได้ เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นหันไปเอ่ยเสียงเบากับคนในรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นแม่นางชิงขอรับ”
มือข้างหนึ่งยกขึ้นเปิดม่านรถม้า แววตาภายใต้หน้ากากส่องแววสดใสขึ้นทันทีขณะที่จับจ้องร่างสีขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า คือเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง ลมที่พัดผ่านมาพัดผมนางพลิ้วไสว ตอนที่นางหันมามองทางเขา ปอยผมสองข้างก็เคลียแก้มนางแผ่วเบา เป็นภาพเย้ายวนชวนมอง
ทหารนำขบวนหลายคนพลันตกตะลึง ยืนอึ้งไปอยู่นาน
ท่ามกลางป่าเขาพงไพรกลับมีสาวงามปรากฏขึ้นตรงหน้า หรือจะเป็นนางปีศาจที่กินแก่นพลังชีวิตมนุษย์หรือ?
ชิงเยี่ยหลีลงมาจากรถม้า จ้องมองนางนิ่ง “เจ้าเปลี่ยนใจงั้นหรือ?” เจ้าเต็มใจจะ….. ไปกับข้าแล้วงั้นหรือ?
ชิงอวี่ขยิบตาให้ จากนั้นยกมือขึ้นทำท่ายักไหล่อย่างขี้เล่น “ข้าเปล่า”
แววสดใสในนัยน์หม่นลงในพลัน ในสายตานาง สีหน้าเช่นนั้นเหมือนกับหมาป่าตัวน้อยที่เห็นกระดูกฉ่ำเนื้อชิ้นหนึ่ง แต่กระดูกชิ้นนั้นกลับหายไปต่อหน้าต่อตา
ชิงอวี่จึงหัวเราะออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าชิงเยี่ยหลีพร้อมกับสายตาตกตะลึงของเหล่าทหาร “ข้ามาส่งเจ้า แล้วก็นำของสิ่งนี้มาให้เจ้าด้วย”
พูดแล้วมือขาวราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบก็แบออก เผยให้เห็นขวดเล็กสองขวด ขวดหนึ่งสีเขียว ขวดหนึ่งสีขาว
ชิงเยี่ยหลีรับขวดสองขวดมา “ของเหล่านี้คืออะไร?”
“เจ้าบอกว่าฮ่องเต้หลินยวนสุขภาพร่างกายอ่อนแอไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่าร่างกายอ่อนแอของเขาเป็นเพราะป่วยมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ในขวดสีเขียวคือยาบำรุงเลือดที่ข้าปรุงขึ้น ใช้น้ำผสานจิตที่อยู่ในขวดสีขาวผสมลงในน้ำอาบ หยดลงไปเพียงครั้งละสองหยดเท่านั้น จำไว้ว่าห้ามมากไปกว่านี้ ไม่เช่นนั้นร่างกายอ่อนแอของเขาจะไม่อาจทนแรงยาได้” ชิงอวี่ถ่ายทอดคำแนะนำอย่างระมัดระวัง
ชิงเยี่ยหลีกำขวดยาทั้งสองไว้แน่น นัยน์ตาแปรเปลี่ยน เขาทำท่าอยากพูดบางอย่าง หากแต่สุดท้ายกลับไม่เอ่ยคำใดออกมา
“ใช้เจ้านี่ช่วยฟื้นฟูหล่อเลี้ยงพื้นฐานร่างกายของเขาไปก่อน หากข้ามีโอกาสได้ไปเยือนแคว้นหลินยวน ข้าจะช่วยล้างพิษออกจากร่างเขาเพื่อให้อาการหายเป็นปกติ ถือเป็นค่าตอบแทนที่เขาเคยช่วยชีวิตเจ้าในครั้งนั้น” ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองเขา คำพูดของนางถูกเอ่ยออกมาช้า ๆ “ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องถูกผูกติดอยู่กับที่ใด เจ้าสมควรเป็นอิสระ”
ชิงเยี่ยหลีในอดีตไม่รู้จักสิ่งใด แม้กระทั่งพื้นฐานการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็ไม่อาจเข้าใจได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นท่านอ๋องแห่งแคว้น ควบคุมกองทัพทั้งหมดของแคว้นหลินยวน ไม่รู้ว่าต้องสูญเสียสิ่งใดไปบ้าง
ด้านหนึ่งของเขาเหมือนกับนางมาก ไม่ต้องการติดค้างผู้ใด และพยายามหาทางชดใช้หนี้บุญคุณเป็นร้อยเป็นเท่า
หลังจากฟังชิงอวี่พูดจนจบ ร่างชิงเยี่ยหลีก็แข็งเกร็ง จากนั้นน้ำเสียงเย็นชาที่เจือแววโหยหาก็เอ่ยขึ้น “หากเป็นไปได้ ข้าเพียงอยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม ได้อยู่ข้างกายเจ้า แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในองครักษ์เงานับร้อยที่คอยปกป้องเจ้า แต่การได้คอยเฝ้ามองเจ้าตลอดเวลาคือสิ่งที่ข้าปรารถนาที่สุด”
ในช่วงเวลาจากลาสุดท้าย ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มค่อย ๆ ก้มลงซบหน้าลงบนไหล่บางของเด็กสาวอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่เย็นชาเป็นปกติกลับเจือด้วยความอ่อนโยนเบาบาง
“ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่าพวกเราไม่มีทางแยกจากกัน ดังนั้นข้าจึงไม่เคยเอ่ยเช่นนี้”
“หากแต่ตอนนี้ที่พวกเราหวนกลับมาพบกันอีกครั้งหลังผ่านอุปสรรคมามากมาย ข้าอยากบอกเรื่องนี้กับเจ้า เสี่ยวอวี่ ในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ที่มีเพียงเราสองคน สำหรับข้าแล้ว โลกที่มีชิงเยี่ยหลีจำเป็นต้องมีเจ้าอยู่ มันต้องการเพียงเจ้าเท่านั้น”
“เจ้าบอกว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งข้า ดังนั้นต้องรับผิดชอบคำพูดด้วย”
ไม่รู้ว่าชายหนุ่มพูดไม่เก่งผู้นี้ สามารถเอ่ยคำพูดอ่อนโยนอบอุ่นที่เต็มไปด้วยความรักความผูกพันลึกซึ้งเช่นนี้ออกมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เช่นเดียวกันกับอสูรตาหยกข้ามสูญที่จะไว้ใจและมีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับผู้เป็นคู่หูเท่านั้น
ชิงอวี่ถอายหายใจราวกับไม่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ของเขา นิ้วเรียวงามยกขึ้นวางที่ท้ายทอยชายหนุ่มแผ่วเบาก่อนจะตบปลอบเบา ๆ
ขบวนแคว้นหลินยวนตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพตรงหน้า
ได้เห็นท่านอ๋องที่มีนิสัยเย็นชาราวน้ำแข็ง ผู้ที่เกลียดการถูกผู้อื่นสัมผัสตนในด้านเช่นนี้แล้ว ได้เห็นเขาเชื่อใจในตัวเด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้ กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างของเขาพลันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบายที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความเหน็บหนาวที่เคยแผ่ออกมาจางหายไปสิ้น
ได้เห็นภาพที่ชายหนุ่มร่างสูงซบหน้าลงบนไหล่เด็กสาวเช่นนี้ ไม่เพียงไม่รู้สึกไม่สบายใจแม้เพียงนิด ทั้งยังรู้สึกปลอบโยนสงบเงียบนัก
ร่างสูงกำยำหัวหน้าทหารคุ้มกันค่อย ๆ ขยับไปยืนข้างอาจิ่น จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา “เด็กสาวคนนี้เป็นใครกันแน่? เหตุใดท่านอ๋องจึงดูสนิทสนมกับนางนัก?”
อาจิ่นกลอกตาใส่เขา “เห็นชัดเช่นนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?” เจ้าปัญญาอ่อนหรือไร!?
แน่นอนว่าอาจิ่นไม่ได้พูดประโยคหลังออกมา เพราะอย่างไรบุรุษย่อมรักหน้าตาของตนยิ่งกว่าสิ่งใด
ไม่ว่าจะไม่เต็มใจเพียงไหน ชิงเยี่ยหลีก็ต้องออกเดินทางเสียที ฮ่องเต้หลินยวนสุขภาพย่ำแย่นัก เขาไม่อาจรั้งรอนานเกินไปได้
ขบวนแคว้นหลินยวนจึงค่อย ๆ เคลื่อนต่อไปจนลับหายไปจากสายตา
ชิงอวี่ยืนอยู่ที่ป่านอกเมืองอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
หากแต่ทันทีที่นางจากไป คนผู้หนึ่งกลับเดินออกมาจากเงามืด คนผู้นั้นอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนงดงาม ใบหน้างดงามหาผู้ใดเทียม ทั้งยังมีใบหน้าเย็นชานัก ที่กลางหน้าผากมีรอยดอกไม้สีชมพูจางประดับอยู่ ส่งผลให้ใบหน้างามที่เรียบเฉยยิ่งดูมีเสน่ห์
คนผู้นั้นคือเยี่ยนหนิงลั่ว
นางเห็นฉากเมื่อคู่เต็มสองตา
นางยังไม่ลืมสายตาของชิงเยี่ยหลีที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำแผ่วเบา นางไม่คิดว่าชิงเยี่ยหลีจะกลายเป็นคนที่อ่อนโยนดูน่าเข้าหาได้เช่นนั้น
และทั้งหมดนี่ เป็นเพราะผู้หญิงคนเดียว เยี่ยนชิงอวี่
หึ พวกเขาต้องบังคับนางเช่นนี้เลยหรือ?
นัยน์ตาใสกระจ่างพลันมีแววชั่วร้ายปรากฏ เล็บยาวที่ได้รับการตัดแต่งอย่างสวยงามกรีดเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ด้านข้างจนเป็นรอยนิ้วห้านิ้ว
ระหว่างที่เดินทางกลับจวนหย่งอันอ๋อง ชิงอวี่ไม่อาจเลี่ยงหอเมฆาเคลื่อนได้
ช่างบังเอิญนักที่เมื่อนางเดินผ่านที่แห่งนั้น น้ำเสียงร่าเริงของชายหนุ่มผู้หนึ่งกลับดังขึ้นไล่หลังนางมา “โอ้ ช่างบังเอิญเสียจริง พบกันโดยบังเอิญนี่ดีกว่านัดหมายกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
ฝีเท้าชิงอวี่หยุดชะงักลง ตรงหน้านางคือชายหนุ่มในชุดสีแดงฉูดฉาด ที่มุมปากมีรอยยิ้มพราวเสน่ห์ประดับอยู่ นัยน์ตาดอกท้อยิ้มตาหยี “นายน้อยชิง ไม่เห็นท่านเสียนาน!”
“…..”
เจ้าปีศาจนี่มายืนรอนางอยู่ที่นี่เพื่อจงใจเอ่ยเยาะนางเช่นนี้ใช่หรือไม่?
ชิงอวี่ไม่มีอันใดรีบร้อน นางยกแขนขึ้นกอดอก สีหน้าเรียบเฉย “เจ้าต้องการสิ่งใด?”
“พวกเราคุยกันธรรมดาไม่ได้หรือ? พวกเราเป็นสหายกันไม่ใช่หรือไง?” ไป๋จือเยี่ยนพูดพร้อมส่งยิ้มใสซื่อให้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อไหร่ที่นางเห็นเจ้าหนุ่มผู้นี้ นางอดคิดถึงคำกล่าวหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
คำประจบที่ไม่ได้ร้องขอย่อมมาจากปากคนที่มีใจคิดร้าย!