บทที่ 68 ชมการแสดง
“ถ้าไม่มีอะไรงั้นข้าไปก่อนล่ะ” ชิงอวี่เหลือบมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นทำท่าจะหันไปเดินกลับจวนต่อ
ไป๋จือเยี่ยนเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงหยอก “เพิ่งไปส่งคนรักมาหรือ?”
“เจ้าตามข้ามาหรือ?” ชิงอวี่หรี่ตาลงสายตาดุร้าย
“ต้องตามไปด้วยหรือถึงจะรู้ได้? พื้นที่แถบหอเมฆาเคลื่อนมีหูมีตาของข้าอยู่ ไม่แปลกที่จะมีคนเห็นเจ้าเดินผ่านมา” ไป๋จือเยี่ยนถูกจับได้หากแต่ไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิด ทั้งยังส่งยิ้มกว้างให้ “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ไม่เข้าไปจิบชาสักถ้วยเล่า?”
ชิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงขวางทางนางไม่ยอมให้นางผ่านไป
ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง หางตากลับจับภาพคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินผ่านไป ชิงอวี่หันไปมองก่อนจะชะงักไป รีบคว้าเสื้อไป๋จือเยี่ยนดึงเข้ามุมในพลัน เมื่อคนผู้นั้นเดินจากไปไกลนางถึงได้เดินออกมา นัยน์ตาซับซ้อนนัก
เยี่ยนหนิงลั่ว? นาง….. กลับมาจากที่ไหนกัน?
ไป๋จือเยี่ยนเห็นว่านางดูจิตใจล่องลอย ดังนั้นจึงมองไปยังเงาร่างที่เดินผ่านไปได้ไกลแล้วก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้จักคนนั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ที่เจ้าเดินผ่านหอเมฆาเคลื่อน ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาถัดมานางก็เดินตามเจ้ามา”
“นางตามข้า…..” ชิงอวี่เงยหน้ามองเขา “แล้วข้าก็สัมผัสไม่ได้เลยหรือ?”
นี้ไม่ใช่เรื่องตลกสักนิด
“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนเห็นสายตาดูถูกของนางก็พลันโกรธ “ข้าโกหกเจ้าไปข้าได้อะไร!? แม้ดินแดนระดับล่างแห่งนี้จะไม่อาจเทียบได้กับแดนเมฆาสวรรค์ แต่ก็ยังมีตระกูลหรือสำนักลึกลับที่มีสมบัติล้ำค่ามากมายและมีพลังแปลกประหลาดซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถปิดบังกลิ่นอายตนได้ คนส่วนมากไม่อาจจับสัมผัส เว้นเสียแต่จะเป็นปรมาจารย์ที่มีขั้นพลังสูงส่งจึงจะสามารถรับรู้ได้”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็หลุบสายตาลงสีหน้าครุ่นคิด เยี่ยนหนิงลั่วเป็นศิษย์สายหลักของสำนักละอองหมอก ทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าสำนักจะมอบสิ่งประดิษฐ์ให้กับศิษย์รักเช่นนาง
เช่นนี้ชี้ชัดว่านางยังแข็งแกร่งไม่มากพอ!
หากแต่ลองนึกย้อนกลับไป องค์รัชทายาทเป็นคนที่มาส่งชิงเยี่ยหลีที่หน้าประตูเมือง เยี่ยนหนิงลั่วที่เพิ่งประกาศถอนหมั้นไปย่อมต้องรู้สึกอึดอัดไม่กล้าเผยตน ดังนั้นนางเพียงตั้งใจจะมาส่งชิงเยี่ยหลีเงียบ ๆ หากแต่บังเอิญพบชิงอวี่และได้เห็นภาพฉากนั้นเข้า
ดูท่าชิงเยี่ยหลีจะมีความสำคัญต่อเยี่ยนหนิงลั่วไม่น้อย
ชิงอวี่อดคิดไม่ได้ว่าการถอนหมั้นในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เยี่ยนหนิงลั่ววางแผนไว้นานแล้ว เพื่อที่นางจะสามารถยืนเคียงชิงเยี่ยหลีได้อย่างเปิดเผย
หากมองดูภาพรวมสถานการณ์ เกรงว่าเยี่ยนหนิงลั่วคงมองนางเป็นคู่แข่งอยู่ในใจ…..
เมื่อเห็นชิงอวี่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดเช่นนั้น ไป๋จือเยี่ยนก็ไม่ขัดขวาง หากแต่ความสงบกลับคงอยู่ไม่นานเมื่อเสียงดังโครมด้านในร้านพลันดังสนั่นขึ้น ส่งผลให้คนทั้งคู่สะดุ้งเล็กน้อย
ชิงอวี่ตกใจเพียงเล็กน้อยไม่แสดงออกมากนัก หากแต่ชายหนุ่มผู้งดงามในชุดคลุมแดงที่แผ่ยิ้มกว้างอยู่เมื่อครู่กลับสะดุ้งเฮือกสุดตัวราวกับถูกตั้งค่าไว้ เขาพุ่งเข้าหอเมฆาเคลื่อนไปในทันที
ไม่นานหลังจากเขาพุ่งเข้าไป น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวก็ปะทุขึ้น “โหลว! จวิน! เหยา! บิดาเจ้าสิ! ข้าเพิ้งสั่งให้คนมาซ่อมราวเมื่อสองวันก่อน! นี่เจ้าเสพติดการทำลายล้างไปแล้วหรืออย่างไร?!”
ชิงอวี่ “…..”
น้ำเสียงเขาดูท่าจะโกรธเกรี้ยวมาก กระทั่งใช้คำว่า “บิดาเจ้าสิ” เช่นนี้
แม้ไป๋จือเยี่ยนจะดูเป็นคนหัวดื้อไร้ค่าคนหนึ่ง หากแต่อย่างไรก็ยังเป็นคุณชายจากตระกูลชั้นสูง ดังนั้นกิริยามารยาทเขานั้นไร้ที่ติมาโดยตลอด
สำหรับคนที่ชินชากับการปิดบังอารมณ์ตน การระเบิดอารมณ์เช่นนี้นับว่าหาได้ยาก
อีกทั้งนางยังพอรู้จักโหลวจวินเหยาอยู่บ้าง รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความยับยั้งใจอยู่บ้าง เหตุใดจู่ ๆ เขาถึงโกรธขึ้งขึ้นมามากเช่นนั้นได้?
ชิงอวี่เดินเข้าไปใกล้ประตู เยี่ยมหน้าเข้าไปมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อมองเข้าไปก็พบเข้ากับเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก
เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา นัยน์ตาเย้ายวนชั่วร้ายกว่าสตรีใดในชุดขาว ในตอนนี้อยู่ในสภาพดูไม่ได้เล็กน้อย ปอยผมข้างหนึ่งหลุดลุ่ยออกมาไม่ไปทรง
เขาคือไป๋หลี่จีหรานที่มักไปไหนมาไหนกับชิงเยี่ยหลีนั่นเอง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่บนชั้นสองคือชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหราสีม่วงกำลังยืนเอนหลังพิงกำแพง ใบหน้าดูดีนั้นราวกับถูกแกะสลักมาจากเทพเซียน ทั้งดูลึกลับและนุ่มลึก นัยน์ตาสีม่วงน่าหลงใหลหรี่ลงกว่าครึ่ง ริมฝีปากสีอ่อนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาคือความเกียจคร้านและความไม่ไยดีสายหนึ่ง หากแต่เจือแรงกดดันที่ทำให้คนไม่อาจหายใจเต็มท้องได้
ไป๋จือเยี่ยนเดินเข้าไปแล้วชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน เมื่อเห็นไป๋หลี่จีหรานที่อยู่ด้านข้างจึงเข้าใจเรื่องราว ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่พอใจในพลัน “เจ้ายังกล้ามาที่นี่อีกหรือ?”
ไป๋หลี่จีหรานหัวเราะขืนออกมา หากแต่ก่อนที่จะทันพูดอะไร ไป๋จือเยี่ยนก็เอ่ยขึ้นเสียงชั่วร้าย “เจ้าเด็กนี่รนหาที่ตายหรือ?”
“ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย! ข้าเพียงแต่ของท่านจอม…..”
“หุบปาก!” ไป๋จือเยี่ยนตวาดขึ้น “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุ? แล้วเจ้ายังจะมาถึงที่นี่อีก! หากไม่ใช่เพราะคนกลุ่มนั้นสายตาไม่กว้างไกล ล่วงเกินคนที่ไม่สมควรเข้า เจ้าคิดว่าตนยังจะมีชีวิตรอดจนถึงตอนนี้หรือ!?”
“ข้า…..”
“อย่าคิดว่าพบหกันเพียงหนเดียวจะหมายความว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ต่อกัน เรื่องเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้!”
“ข้าไม่ได้…..”
“คนที่อ่อนแอเช่นเจ้า ลูกน้องข้ายังไม่อาจเป็นได้ด้วยซ้ำ!”
“ฟังข้าก่อน…..”
“หากเจ้ายังข้ามาพูดพล่อยอันใดอีก ระวังตัวไป ข้าจะตามไปสังหารเจ้า!”
“…..”
อาจเป็นเพราะทั่วทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำดำเขียว ไป๋หลี่จีหรานจึงเหนื่อยล้าเกินกว่าจะอธิบายสิ่งใด เขานอนนิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับหญ้าต้นน้อยที่เหี่ยวเฉา รองรับคำดุด่าดูถูกจากอีกฝ่ายอย่างน่าสงสารนัก
หลังจากไป๋จือเยี่ยนพูดจนจบ เขาก็มองคนที่ยืนอยู่ชั้นบน “เจ้าจะอารมณ์เสียมากเท่าไหร่ก็เรื่องของเจ้า หากแต่เหตุใดต้องมาอารมณ์เสียบนเงินของข้าด้วย?”
หากไม่ใช่เพราะหอเมฆาเคลื่อนที่เขาเปิดกิจการมานานหลายปีทำกิจการหอเริงรมย์อยู่เบื้องหลัง อันเป็นกิจการที่ใช้เสาะหาข้อมูลและเงินตรามาให้หอเสาวคนธ์ที่เป็นกลุ่มนักฆ่าแล้ว เงินเก็บที่มีอยู่เพียงนิดของเขาคงหมดลงจนสิ้นเพราะคนผู้นี้
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงเลือกจะลงมาลำบากอยู่ที่ดินแดนระดับล่างเช่นนี้? ยังมีธุระรอให้เจ้าตามไปจัดการอยู่อีกหลายเรื่องนัก แต่เจ้ากลับวางตัวราวกับไม่มีสิ่งใดให้จัดการ มองพวกข้าวิ่งทำงานจนมือเป็นระวิง เจ้าไม่รู้สึกละอายใจหรือเสียใจบ้างสักนิดเลยหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนพูด พร้อมชี้นิ้วไปยังชายหนุ่มด้านบนใบหน้าราวกับรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักราวกับวาดหวังกับชายหนุ่มไว้มาก
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ชั้นบนยอมขยับกายในที่สุด นัยน์งามตาสีม่วงส่องประกายวาบ สีหน้าสงสัย “นั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดข้าถึงต้องรู้สึกผิด?”
เหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงทำหน้าราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องสมควรถูกต้องอย่างยิ่งแล้วเล่า!?
ไปเอาความคิดเย่อหยิ่งเช่นนี้มาจากไหนกัน!?
หากแต่บนโลกนี้ยังมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง คนที่แม้จะไม่ต้องลงมือทำสิ่งใดแต่ก็มีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนยอมศิโรราบ กลายเป็นม้าที่จะลงแส้ ใช้ให้ทำสิ่งใดก็เต็มใจไม่บ่นไม่ว่า
หลักฐานที่เห็นได้ชัดคือไป๋จือเยี่ยนผู้นี้
ไป๋จือเยี่ยนพลันถอนหายใจออกมาด้วยความสิ้นหวังยิ่ง “เมื่อไหร่ถึงจะกลับ?”
“ข้าไม่อยากกลับ” อีกฝ่ายเอ่ยเพียงคำพูดสั้น ๆ
“เพราะเหตุใด…..”
“จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”
ไป๋หลี่จีหรานก็ถูกทิ้งให้แห้งตายราวกับเศษฝุ่นไร้ค่าอยู่เช่นนั้น ชายหนุ่มทั้งสองพูดคุยกันไม่สนใจเขาแม้สักนิด ราวกับมั่นใจว่าอย่างไรเขาก็จะไม่นำเรื่องภายในออกไปภายนอก และถึงเขาจะทำ ทั้งสองคนก็สามารถปิดปากเขาก่อนความลับแพร่งพรายออกไปได้
หากแต่ในตอนที่กำลังจะจากไปอย่างโศกเศร้านั่นเอง นัยน์ตาเขาก็พลันเป็นประกายขึ้น “เอ๋? เป็นเจ้า?”
นางไม่ใช่คนรักของชิงเยี่ยหลีหรอกหรือ?
ไหนเขาบอกว่าจะพานางกลับไปด้วย? เหตุใดนางจึงยังอยู่ที่นี่เล่า?
ชิงอวี่พยักหน้าให้เขาก่อนเดินเข้าไปด้านใน “เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้?”
“เรื่องมันยาวนัก” ไป๋หลี่จีหรานถอนหายใจยาวออกมา “ข้าเพิ่งจะได้เห็นผู้ช่วยชีวิตของข้า อยากจะขอบคุณเขา แต่กลับถูกเข้าใจผิดว่ามีเจตนาร้าย”
ชิงอวี่มองนัยน์ตาโศกเศร้าหดหู่หากแต่ก็ยังคงเสน่ห์ไม่เสื่อมคลายของเขาก่อนจะพึมพำเสียงเบา “อาจเป็นเพราะหน้าตาเจ้าดูไม่ใช่คนดี”
ไป๋หลี่จีหราน “…..”
“หือ? รู้จักเด็กนี่ด้วยหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนมองคนสองคนที่ยืนคุยกันก่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“พวกเจ้า….. รู้จักกันหรือ?” ไป๋หลี่จีหรานเพิ่งเข้าใจ เพิ่งสังเกตว่าตนก้าวเข้ามาก้าวแรกก็ถูกพลังซัดหงายกลับมา หากแต่เด็กสาวผู้นี้กลับสามารถเดินเข้ามาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
ชิงอวี่ไม่ตอบ หากแต่หันไปยิ้มให้ไป๋จือเยี่ยนซึ่งเป็นคนเอ่ยตอบ “ไม่ใช่เพียงรู้จักกัน มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา! นายท่านของข้าใส่ใจแม่นางมาก”
ไป๋หลี่จีหรานตกตะลึง “เจ้า….. จริงหรือ? เจ้าไปรู้จักกับพวกเขาได้อย่างไร….. แล้วชิงเยี่ยหลีผู้นั้น…..”
ความตกตะลึงและความสงสัยบนใบหน้าของเขามีมากราวกับนางไปก่ออาชญากรรมร้ายแรงมา
ชิงอวี่ “…..” นางไม่ได้ทำอะไรเลยนี่?
“เจ้ากับท่านจอม….. ไม่ ข้าหมายถึงเจ้ามาเกี่ยวพันกับพวกเขาได้อย่างไร? เจ้าไม่ใช่คนรักของชิงเยี่ยหลีหรอกหรือ? เขาบอกว่าจะพาเจ้ากลับแคว้น แต่เจ้ากลับมาปรากฏตัวที่นี่….. เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เพราะเขาหรือ?! เจ้าทรยศชิงเยี่ยหลี!!”
จินตนาการของไป๋หลี่จีหรานเตลิดไปไกลนัก จินตนาการจนกลายเป็นเรื่องราวชวนปวดใจของชายหนุ่มที่ถูกคนรักทอดทิ้ง เก็บหัวใจที่ชอกช้ำกลับแคว้นไปด้วยความโศกเศร้า ไป๋หลี่จีหรานพลันเดือดดาลแทนชิงเยี่ยหล
ชิงอวี่ยังคงไม่เอ่ยอะไร “…..”
นางจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ยมาได้อย่างไร….. ทรยศเสี่ยวเยี่ยก่อนกระโดดเข้าอ้อมอกชายอื่น….. เจ้ากำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปนะ…..
ไป๋จือเยี่ยนและโหลวจวินเหยาได้ยินที่เขาพูดก็ชะงักไป
หลายปีที่ผ่านมาคนทั้งคู่เข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี คำที่อีกฝ่ายเอ่ยมาทั้งหมดผ่านหูไปจนสิ้น เว้นเสียแต่ประโยคที่ว่า “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เพราะเขา”
เพราะใคร…..
เพราะโหลวจวินเหยาหรือ?
ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มผู้สีหน้าเกียจคร้านเห็นเด็กสาวปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู อารมณ์หดหู่ของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อยในพลัน ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หากแต่เป็นเรื่องอัศจรรย์ใจยิ่ง กระทั่งตอนที่นางยังสวมชุดคุณชายน้อยมารักษาอาการให้เขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ยามได้เห็นนางเขาก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ความโกรธและเสียใจจากครั้งที่นางบอกว่าพวกเขานับว่าไม่ติดค้างกันอีกเหือดหายไปจนสิ้นยามเห็นนาง แทบไม่มีความโกรธใดหลงเหลืออยู่อีก
คำที่ไป๋หลี่จีหรานกล่าว “รั้งอยู่ที่นี่เพราะเขา” ทำให้บางส่วนในจิตใจของเขาพลันรู้สึกตื่นเต้นยินดี ตัวเขาเองยังไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
หากแต่รู้เพียงว่าเขารู้สึก….. ดีใจ? เช่นนี้ต้องเรียกว่าความรู้สึกดีใจเป็นแน่!
ชิงอวี่ที่อยู่อีกด้านนวดหว่างคิ้วตนอย่างสิ้นหวัง “เจ้าคงเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปแล้ว ความสัมพันธ์ของข้ากับเสี่ยวเยี่ยไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ดังนั้นเรื่องทรยศหักหลังอันใดนั่นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ไปกับเขา?”
“แล้วเหตุใดข้าต้องไปกับเขา? ข้ามีบ้านและครอบครัวอยู่ที่นี่”
หากแต่สิ่งที่ไป๋หลี่จีหรานได้ยินนั้นแตกต่างออกไป สำหรับเขาแล้ว ที่นางเอ่ยคำว่าบ้านและครอบครัวของนางนั้น รวมโหลวจวินเหยาเข้าไปด้วย