บทที่ 69 ถ้าอารมณ์ดีข้าก็เป็นคนดี

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

ไป๋หลี่จีหรานเหลือบสายตามองไปยังชั้นบนก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ข้าจะบอกเจ้าให้ บุรุษคนนั้นอันตรายมาก เจ้าอย่าไปข้องเกี่ยวกับเขาจะดีกว่า ไม่งั้นอาจเชิญความโชคร้ายเข้าตัวได้ ข้าบอกได้เท่านี้ล่ะ”

พูดจบเขาก็ถอยห่างออกไป แบมือปะทะกำปั้นก่อนกล่าว “หวังว่าหากชะตาฟ้าลิขิต ทั้งสองคนคงมีโอกาสมาเยือนตระกูลไป๋หลี่ ข้าน้อยจะต้อนรับเป็นอย่างดี”

หลังจากนั้นก็ไม่รอฟังคำตอบ หันหลังเดินจากไปในทันที

“แปลกคนจริง”ไป๋จือเยี่ยนส่ายหน้าก่อนเอ่ยขึ้น หากแต่เมื่อหันมามองชิงอวี่ก็คลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง “เข้ามาจิบชาด้านในเถอะ ข้าเพิ่งได้ใบชาชั้นดีมาชุดหนึ่ง เจ้าต้องชอบแน่”

“เรื่องชาไม่ต้องหรอก แต่เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงหยุดข้าไว้? เจ้าคงไม่ได้อยากนั่งจิบชารำลึกความหลังกับข้าเพียงอย่างเดียวหรอกใช่หรือไม่?” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเรียบ เอ่ยประโยคสุดท้ายขณะมองไปยังโหลวจวินเหยา

ไป๋จือเยี่ยนย่อมไม่ออกมาหานางเองแน่ คงทำเช่นนี้เพราะมีคนบอกให้ทำ

“เหตุใดเมื่อวันก่อนเจ้าถึงไม่มา?” โหลวจวินเหยาเอ่ยถาม เดินลงบันไดมาอย่างช้า ๆ มองหน้านางนิ่ง

ชิงอวี่เลิกคิ้ว “ท่านต้องการให้ข้ามา เป็นเพราะต้องการเตือนข้าว่าชิงเยี่ยหลีอาจหวังทำร้ายข้า จึงอยากให้ข้าระวังเขาไว้งั้นหรือ?”

“ถูกต้อง”

“งั้นท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวล เขาไม่มีทางทำร้ายข้า” ชิงอวี่ตอบช้า ๆ หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองโหลวจวินเหยา “ด้วยอำนาจของท่าน คงจะรู้แล้ว….. ว่าข้าไม่ได้มาจากดินแดนแห่งนี้”

แม้พวกเขาจะมีความสงสัยและคาดเดาไว้แล้ว หากแต่ยามได้ยินออกจากปากนางจริง ๆ ก็ยังคงน่าตกใจมากอยู่ดี

หากแต่สิ่งที่ทำให้โหลวจวินเหยาเริ่มสงสัยเป็นตอนที่นางหมดสติไปห้าวันเต็มหลังจากที่กลับมาจากหอคอยกั้นวิญญาณ ร่างนางเย็นเฉียบไร้ลมหายใจตลอดเวลาห้าวัน เขาใช้จิตลองสำรวจดูจึงพบว่าร่างกายของนางเป็นไร้วิญญาณ เป็นเพียงร่างกายเปล่าๆ เท่านั้น

คนที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมไม่มีเหตุการณ์วิญญาณออกจากร่างเช่นนี้ เว้นเสียแต่ร่างถูกบังคับให้วิญญาณหลุดออกไปเพื่อไปเกิดใหม่ ในขณะที่ร่างนั้นจะสูญเสียสตินึกรู้และประสาทสัมผัสทั้งห้าไป วิญญาณก็จะสามารถท่องเที่ยวล่องลอยไปได้

เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่าเด็กสาวคือผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่งที่เดินทางลงมาจากแดนเมฆาสวรรค์?

ยามที่มีความคิดเช่นนี้แล่นเข้ามาในหัว เด็กสาวกลับยกยิ้มขึ้น “แต่ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับแดนเมฆาสวรรค์ของท่าน ชิงเยี่ยหลีกับข้ามาจากโลกเดียวกัน รู้จักกันมานานแล้ว”

“เจ้าหมายถึง….. พวกเจ้าสองคนมาจากโลกอื่นงั้นหรือ?” นัยน์ตาโหลวจวินเหยาประกายวาบ ดูท่าจะคาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้ว

ในใจพลันมีความคิดบางอย่างเชื่อมต่อกัน หากแต่ถูกคำของนางสกัดกั้นไว้

โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เขาเดินทางไปยังสำนักเซียนแพทย์ ทั้งยังสิ่งที่ไป๋ชิวบอกกับเขาเมื่อตอนนั้น

หรืออาจมีสิ่งใดผิดพลาดไปตรงไหนหรือไม่?

“ถูกต้อง เรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนที่รู้”

นอกจากเสี่ยวเป่ยแล้วก็น่าจะมีเพียงสองคนนี้ที่รู้ เดิมทีนางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับพวกเขา หากแต่ในเมื่อพวกเขาเริ่มสงสัย นางจึงบอกไปตามตรง

อย่างไรนางก็เป็นเพียงคนไม่สำคัญคนหนึ่ง นางไม่คิดว่าพวกเขาจะว่างมากกระทั่งมีเวลาเอาตัวตนของนางไปเปิดเผยกับผู้อื่น

โหลวจวินเหยาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่แน่หากวันใดเจ้าเดินทางไปยังแดนเมฆาสวรรค์ ความลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่อาจได้รับคำตอบ”

ประโยคล้ำลึกนั้นของเขาไป๋จือเยี่ยนที่ปกติอ่านความคิดเขาออกอยู่ตลอดกลับไม่อาจเข้าใจได้

เขากำลังบอกใบ้อันใดกับนางกันแน่?

ชิงอวี่ได้ยินคำเขาก็ชะงักไป ไม่แน่ใจว่าเขาหมายความอย่างไรกันแน่ หากแต่หัวกลับรู้สึกปวดแปล๊บขึ้นในพลัน แสงสีแดงวาบผ่านในจิตใจอย่างรวดเร็ว เร็วจนกระทั่งนางไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด

นัยน์ตาหงส์เย้ายวนพลันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อครู่คือสิ่งใดกัน?

“ใช่แล้ว” ไป๋จือเยี่ยนนึกบางอย่างขึ้นได้ พลันคลี่ยิ้มซื่อตรงออกมา “แม่นางชิงยังมียาถอนพิษเหล่านั้นอยู่หรือไม่? ยาที่เจ้าให้มาเมื่อคราวก่อนพวกข้าใช้ไปจนหมด ข้าลืมเก็บตัวอย่างไว้ศึกษา เผื่อว่าข้าจะสามารถปรุงยาเช่นนั้นขึ้นมาได้บ้าง”

กล่องยามียาเพียงไม่กี่สิบเม็ดเท่านั้นด้วยคนปกติย่อมไม่มีความจำเป็นต้องใช้มากนัก นางไม่คิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องใช้ยามากมายเช่นนี้ หากแต่เมื่อคิดก็สงสัยอยู่เล็กน้อย ดินแดนระดับสูงย่อมไม่ขาดผู้มีฝีมือ ทั้งเหล่านักปรุงยาทั้งหลายย่อมมีฝีมือสูงส่ง หมอผีบนแดนนั้นรอบรู้เรื่องพิษและยาพิษย่อมเป็นสิ่งจำเป็น

ทว่าชิงอวี่ไม่ลังเลที่ต้องพูดความจริงอันไม่น่าฟังเท่าใดออกไป “ข้ายังมีอยู่อีก แต่ถึงแม้ข้าจะยกสูตรยาให้เจ้า เจ้าก็ไม่อาจปรุงยาที่มีผลเช่นเดียวกันออกมาได้ นักปรุงยาแต่ละคนมีวิธีปรุงยาแตกต่างกัน การควบคุมไฟยังต้องแม่นยำสูง พลาดเพียงนิดอาจทำให้ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า”

ไป๋จือเยี่ยนเถียงนางไม่ออก “…..”

เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะศึกษายานั่นมากมายเพียงไหนก็สูญเปล่าสินะ…..

โลกใบนี้ยังมีคนที่สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกเป็นคนไร้ค่าขึ้นมาได้อยู่จริง ๆ

“ตั้งแต่ที่ข้ารู้จักปีศาจเช่นเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าเวลาหลายปีที่ข้าเล่าเรียนศึกษาการแพทย์และการรักษามานั้นไร้ค่านัก” ไป๋จือเยี่ยนพูดน้ำเสียงหดหู่ จากนั้นเปลี่ยนเรื่องในพลัน “เหตุใดเจ้าไม่เดินทางมาเป็นนักปรุงยาที่แดนเมฆาสวรรค์เล่า? เจ้าต้องได้รับการนับถือเชิดชูเป็นอย่างดีแน่นอน”

ชิงอวี่ปรายตามองเขา จากนั้นเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “เจ้าจ้างข้าไม่ไหวหรอก”

ดินแดนแห่งนั้นต้องมีฮวงจุ้ยดีเท่าไรกัน จึงจะมีผู้มีความสามารถสูงส่งเช่นนี้มาเกิดได้

แม้จะโพล่งคำพูดเปิดเผยด้วยท่าทางหยิ่งยโสเช่นนั้น หากแต่คนมองกลับไม่รู้สึกโกรธ ราวกับนางเกิดมาก็สูงส่งกว่าคนผู้อื่นตั้งแต่แรกเริ่ม

“เมื่อมีเวลาข้าจะนำยาถอนพิษมาให้ แต่ในเมื่อระหว่างเราไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว ครั้งนี้ข้าจะคิดเงิน” ชิงอวี่เอ่ยพร้อมขมวดคิ้วครุ่นคิด “ยาถอนพิษเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถใช้เงินหาซื้อได้ แต่ในเมื่อเราเป็นคนรู้จักกัน ข้าคิดราคาแค่เม็ดละหนึ่งพันตำลึงทองก็แล้วกัน”

พูดจบนางก็หันไปมองโหลวจวินเหยาด้วยใบหน้าที่สื่อว่า “ราคานี้นับว่าราคาดีมาก”

สำหรับโหลวจวินเหยา เงินหนึ่งพันตำลึงทองมีค่าน้อยกว่าผมเส้นหนึ่งเสียอีก แต่แน่นอนว่าเขาไม่รู้ค่าของเงิน เป็นเพราะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เป็นไป๋จือเยี่ยนคอยจัดการ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าโดยเร็ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงใจดี “แค่หนึ่งพันตำลึงทอง”

“…..” ไป๋จือเยี่ยนได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ

ใจป้ำ! ใช้เงินมือเปิบเหลือเกิน!

“เช่นนั้นข้าขอลา ข้ายังยืนยันคำเดิม ข้าไม่อยากเชื้อเชิญปัญหาเข้าตัว หากครั้งหน้าพบกันทำเป็นมองไม่เห็นข้าเสีย ความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้เป็นเพียงผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น”

โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ต้องเป็นความสัมพันธ์เช่นนี้ก่อนที่จะเป็นเพื่อนกันได้งั้นหรือ?”

ชิงอวี่ที่ก้าวออกไปนอกประตูแล้วหนึ่งก้าวพลันหยุดชะงัก “อย่างแรกท่านต้องมั่นใจก่อนว่าจะไม่นำปัญหามาให้ข้าได้อีกเราถึงคุยกันได้ ข้าไม่อยากถูกตามรังควานอีก เรื่องแบบนั้นไม่สนุกเลยสักนิด”

ก่อนที่นางจะแข็งแกร่งนางต้องอยู่อย่างเงียบเชียบไว้ก่อน ชีวิตใหม่ที่นางคว้ามาได้ครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย แต่ละย่างก้าวของนางย่อมต้องคิดคำนวณอย่างดี

บนใบหน้าไร้ที่ติชายหนุ่ม นัยน์ตาสีม่วงพลันส่องประกายราวกับน้ำในบ่อใส น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทั้งน่าดึงดูดและล้ำลึก “เรื่องเช่นนั้นจะไม่เกิดซ้ำสอง ข้ารับปากเจ้า”

เด็กสาวไม่ได้หันหลังกลับมา นางมุ่งหน้าเดินจากไป

ไป๋จือเยี่ยนขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกถึงลางไม่ดีขึ้นมา “อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะอยู่ที่นี่เป็นการถาวร?”

“เหตุใดจึงทำไม่ได้?” เขาเอ่ยถาม แสดงสีหน้าว่าเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรแล้ว

“เราจะไม่กลับแคว้นมารแล้วหรือ? ทุกคนกำลังรอให้เจ้ากลับไปแก้แค้นให้พวกเขา กลับไปเป็นผู้นำพวกเขา ฆ่าสังหารทุกสิ่งที่ขวางทาง!”

“แก้แค้น?” โหลวจวินเหยาใบหน้าตกตะลึงนัก “แก้แค้นผู้ใด?”

ไป๋จือเยี่ยนได้ยินแล้วเกือบกระอักเลือด เขาพยายามสะกดความรู้สึกไว้ และสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ย “เจ้าลืมพวกมดปลวกจากสมาพันธ์นักล่าไปแล้วหรือ? หลายปีที่ผ่านมาพวกมันมุ่งโจมตีแคว้นมารไม่หยุดหย่อน ทั้งยังคำสาปกลืนอารมณ์ที่เจ้าถูกสาปอีก นั่นย่อมเป็นฝีมือของคนจากอารามจันทร์กระจ่าง เจ้าจะอดทนกลั้นไว้เช่นนี้หรือ?”

โหลวจวินเหยามองไป๋จือเยี่ยนนัยน์ตาสงบนิ่ง ชั่วครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “กระทั่งเจ้ายังเรียกคนเหล่านั้นว่ามดปลวก เช่นนั้นข้าต้องลงไปจัดการเรื่องด้วยตนเองด้วยหรือ? ส่วนคนที่สาปข้าก็สิ้นชีพไปแล้วนี่?”

ไป๋จือเยี่ยนทำหน้าตาสงสัย “เจ้ามีจิตใจเมตตาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“งั้นหรือ?” โหลวจวินเหยายกยิ้ม “ถ้าอารมณ์ดีข้าก็เป็นคนดีเช่นนี้”

“…..” สวรรค์โปรด! ท่านปล่อยโหลวจวินเหยาคนเดิมออกมาเถอะ!!

เห็นเขาอารมณ์ดีเช่นนี้ ข้าขนลุกจริง ๆ!

เมื่อชิงอวี่กลับจวนหย่งอันอ๋อง นางพบว่าชิงเป่ยไม่ได้อยู่ที่เรือนสงบเงียบ เมื่อถามเหล่าสาวใช้จึงรู้ว่าเขาถูกเรียกตัวไปรับประทานอาหารที่ห้องโถงใหญ่ เยี่ยนซู่ส่งคนมารับเขาไป

สาวใช้ยังถ่ายทอดคำของชิงเป่ยให้ชิงอวี่ตามไปหากกลับมาเรือนแล้วด้วยเช่นกัน เขากล่าวว่าเป็นการทานข้าวในครอบครัว ทุกคนย่อมต้องไปที่นั่น

ชิงอวี่ถอนหายใจเล็กน้อย เหตุใดจึงมีเรื่องมากเช่นนี้? ทานข้าวในครอบครัวอีกแล้ว….. โม่หานเยียนเพิ่งจะจัดงานเลี้ยงไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่หรือ? อย่างไรทานข้าวครั้งนี้ก็ต้องเจอหน้านางเป็นแน่

แต่ด้วยท่านพ่อที่นางได้มาโดยไม่ต้องแลกกับสิ่งใดมาร่วมในอาหารมื้อนี้ด้วย สตรีผู้นั้นคงไม่อาจทำเรื่องหยาบคายเกินไป

ที่ห้องโถงใหญ่ โต๊ะใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนนั่งตามลำดับยศ ที่หัวโต๊ะคือเยี่ยนซู่และโม่หานเยียนส่วนคู่พี่น้อง เยี่ยนหนิงลั่ว และเยี่ยนซีเฉิงนั่งอยู่ที่นั่งซ้ายขวาถัดมา

โม่หานเยียนพลันเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเจ็บปวด “หนิงเอ๋อร์ เหตุใดจู่ ๆ จึงอยากกลับไปเล่า? หลายปีมานี้เจ้าไม่ได้กลับมาที่บ้าน นี่ก็เพิ่งกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ ยังไม่ถึงเดือนหนึ่งด้วยซ้ำ”

อาหารมื้อเย็นกินกันพร้อมหน้าในครั้งนี้คืองานเลี้ยงลาที่เตรียมมาเพื่อเยี่ยนหนิงลั่ว

นางเป็นศิษย์สายหลักของสำนักละอองหมอก ออกมาพำนักอยู่นอกสำนักนานเกินไปแล้ว นางตัดสินใจออกเดินทางในวันพรุ่ง ดังนั้นงานเลี้ยงครั้งนี้จึงถูกจัดขึ้นอย่างรีบร้อน

เมื่อเข้าไปยังสำนักละอองหมอกแล้วจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่อาจส่งจดหมายหรือข้อมูลใด สำนักตั้งอยู่ในสถานที่ลึกลับดั่งแดนภูต เป็นสถานที่ที่คนภายนอกไม่อาจหาทางเข้าพบ ศิษย์สำนักละอองหมอกไม่อาจบอกสถานที่ตั้งของสำนักให้คนนอกล่วงรู้ได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษสถานหนัก และถูกขับไล่ออกจากสำนัก

“ใช่แล้วหนิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้กลับมาเสียนาน ท่านแม่คิดถึงเจ้ามาก” เยี่ยนซีเฉิงกล่าวขึ้น เกลี้ยกล่อมนางให้อยู่ต่อ ไม่อยากให้น้องสาวตนออกเดินทาง

เยี่ยนหนิงลั่วส่ายหน้า “เดิมทีข้าขอเจ้าสำนักลามาเพียงหนึ่งเดือน ตอนนี้เวลาเลยนานเกินไปแล้ว อีกยี่สิบวันก็จะมีการทดสอบทุกสามเดือนของศิษย์สำนักจัดขึ้น หากข้าลำดับตก ต่อไปจะออกมาข้างนอกก็ลำบากกว่าเดิม”

ได้ยินดังนั้น ไม่ว่านางจะอยากรั้งตัวลูกไว้ถึงเพียงไหนก็ไม่อาจทำได้ ด้วยไม่มีสิ่งใดสำคัญเกินกว่าความสามารถของลูกสาว

เยี่ยนซู่กวาดสายตามองรอบโต๊ะ กำลังจะเอ่ยคำเปิดงานเลี้ยง หากแต่น้ำเสียงอ่อนโยนของเด็กสาวพลันดังขึ้น “ข้ามาสาย”

เด็กสาวร่างบางเดินเข้ามา ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มสุภาพ หลังจากทำให้ทุกคนชะงักไปชั่วขณะ ทุกคนก็เห็นว่านางเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ภายในพริบตา ก่อนจะตรงเข้าไปนั่งยังที่นั่งท้ายสุดที่ว่างอยู่

ทั้งนี้มีคนสองคนที่ได้รับข้องดเว้นพิเศษ คุณหนูห้า เยี่ยนจื่ออิ๋งร่างกายอ่อนแอขี้โรค ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยออกมาข้างนอกนัก ยังมีคุณหนูคนสุดท้องที่ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ ดังนั้นจึงยังมีที่ว่างเหลืออยู่